แคลร์หันไปก็เห็นไป๋ตี้ค่อยๆ ลืมตาขึ้น

 

 

“จิ๊บๆ …” ไป๋ตี้อ้าปาก ลุกขึ้นยืนเขย่าตัว และปีนไปที่ด้านข้างของแคลร์อย่างอ้อนๆ

 

 

แคลร์กอดไป๋ตี้ที่ขนปุยๆ เอาไว้แล้วหัวใจของนางก็ว้าวุ่นมากยิ่งขึ้น ทำไมนางถึงรู้สึกเหมือนเป็นแหล่งรวมตัวของสัตว์ประหลาดเลยล่ะ? ร่างไร้วิญญาณของวัลโด ดอกบัวสีทองผู้หยิ่งผยองที่เรียกตนว่าท่านแม่ และไป๋ตี้ที่มีขนปุยๆ แถมเจ้าตัวน่ารักนี้ยังเป็นนายของตนเองอีกด้วย!

 

 

แคลร์จ้องไป๋ตี้ ในใจก็กระวนกระวาย รอก่อนแล้วกัน วันหนึ่งคงจะทำลายพันธะได้แน่นอน นางจะต้องกลายเป็นนายของไป๋ตี้ได้อย่างแน่นอน!

 

 

“วัลโด” แคลร์ร้องเรียก

 

 

“อะไรหรือ?” วัลโดรีบตอบ

 

 

“ในเมื่อเจ้าอยากมีร่าง เช่นนั้นนอกจากการหาร่างที่เหมาะสมมาผสานด้วยแล้ว ยังมีวิธีอื่นอีกหรือไม่?” แคลร์ขมวดคิ้วแล้วถาม

 

 

“มีก็เหมือนกับไม่มี” วัลโดพูดอย่างจนใจ

 

 

“หมายความว่าอย่างไร?”

 

 

“มีของบางสิ่งที่สามารถสร้างเนื้อหนังใหม่ขึ้นมาได้ แต่ของสิ่งนั้นเป็นสมบัติของวิหารแห่งแสง ว่ากันว่าเทพีได้มอบสิ่งนั้นให้กับสมเด็จพระสันตปาปา และเก็บไว้ในห้องโถงใหญ่ของวิหารแห่งแสง แบบนั้นใครจะไปเอามาได้ล่ะ? นี่ไงที่เรียกว่ามีวิธีก็เหมือนไม่มี” วัลโดพูดด้วยเสียงกระซิบ “แน่นอนว่าข้าไม่ชอบร่างกายของคนอื่นหรอก ข้ายังต้องการมีความรู้สึกของร่างกายตัวเองอยู่ แต่ว่าสิ่งนั้น ลองคิดดูเล่นๆ ก็พอได้หรอก แต่จะไปเอามาจริงๆ ได้อย่างไรล่ะ? “

 

 

แคลร์ขมวดคิ้วแล้วคิดเรื่องอื่นต่อ

 

 

“ถ้าเจ้าเกิดใหม่จะมีคนจำเจ้าได้หรือไม่? อย่างเช่นบุตรแห่งแสงที่เป็นผู้ฆ่าเจ้า? ” แคลร์ถามอย่างสงสัย

 

 

“ไม่หรอก ตอนที่ข้าทะเลาะกับไอ้หน้าขาวในวันนั้น ข้าคลุมร่างไว้มิดทั้งหมด แล้วข้าก็ไม่ได้พูดอะไรเลยด้วย” วัลโดตอบตามความเป็นจริง

 

 

แคลร์นั่งไขว่ห้างโดยไม่พูดอะไรและเริ่มคิด

 

 

“แคลร์! เจ้า เจ้าคงไม่คิดจะไปขโมยของจากวิหารแห่งแสงหรอกใช่หรือไม่? เจ้าไม่รู้หรือว่ามันอันตรายแค่ไหน เจ้าอาจจะไม่สามารถเข้าไปได้อย่างปลอดภัยเลยด้วยซ้ำ หรือหากแม้ว่าเจ้าจะเข้าไปได้ เจ้าก็ไม่สามารถนำมันออกมาได้หรอก! ” วัลโดโวยวายแล้วพูดอย่างเป็นห่วง “แม้ว่าข้าจะต้องการร่างกายของข้ามาก แต่ข้าก็ไม่ต้องการให้เจ้าไปเสี่ยงหรอกนะ”

 

 

“อื้อ” แคลร์พูดอย่างพอเป็นพิธี แต่นางก็ยังคงคิดอยู่

 

 

“เจ้า… เจ้าอย่าเข้าใจผิดนะ ข้าไม่ได้กลัวว่าเจ้าจะประสบเหตุร้ายอะไรหรอก แต่หากเจ้าประสบเหตุร้ายขึ้นมา ข้าจะทำอย่างไรล่ะ? ข้าก็เป็นแค่ก้อนหินน่ะสิ” วัลโดรีบอธิบาย แต่ยิ่งพูด คำพูดของเขาก็ยิ่งอ่อนแอลง วัลโดรู้สึกรำคาญอยู่ในใจ ทำไมถึงรู้สึกยิ่งพูดยิ่งแย่นะ? หรือว่าเขาจะชอบปีศาจน้อยตัวนี้? เห้ย! จะเป็นไปได้อย่างไรล่ะ?! เด็กหญิงตัวเล็กๆ ผู้นี้ยังไม่โตเต็มที่เลย แถมนิสัยของนางก็แย่มากและมักจะทำไม่ดีใส่เขาเสมอ เขาจะชอบคนน่าเกลียดแบบนี้ได้อย่างไรล่ะ?

 

 

“โอ้” แคลร์ยังคงใจลอยคิดอะไรอยู่

 

 

วัลโดผ่อนคลายลง ดูเหมือนว่าปีศาจน้อยไม่ได้คิดถึงเรื่องที่เขาพูด ดีมาก ดีมากเลย

 

 

“วัลโด” ทันใดนั้นแคลร์ก็เปล่งเสียงออกมาทำให้เขาสะดุ้ง

 

 

“อะ อะไร?” วัลโดถามอย่างระมัดระวัง

 

 

“สมบัติที่สามารถสร้างร่างขึ้นใหม่ที่เจ้าว่ามันมีลักษณะอย่างไร?” แคลร์ถามด้วยใบหน้าที่จริงจัง

 

 

“เจ้า เจ้าคิดจะทำอะไร?” วัลโดถามอย่างแปลกใจ

 

 

“ข้าจะช่วยไปเอาออกมาให้เจ้า เพื่อที่เจ้าจะได้สร้างร่างกายขึ้นมาใหม่ไงล่ะ” การที่เจ้ามีร่างกายจะช่วยข้าได้มากกว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้มากทีเดียว ประโยคท้ายสุดนี้แคลร์ไม่ได้พูดออกไป แต่จะให้วัลโดไม่ได้มีร่างกายไปตลอดนั้น ก็ไม่ใช่เรื่องถูกต้องเช่นกัน

 

 

“อะไรนะ!? ” วัลโดร้อง “เจ้ารู้หรือไม่ว่ามันอันตรายแค่ไหน?! เจ้ายังมีตราประทับของเทพเจ้าแห่งความมืดอยู่ที่หลังมืออยู่นะ ถ้ามีคนในวิหารแห่งแสงพบเจ้าเข้า รู้หรือไม่ว่าผลที่ตามมาจะเป็นอย่างไร? ” วัลโดกระวนกระวายและพยายามหยุดนางในทันที

 

 

“แค่ไม่ถูกพวกเขาพบเข้าก็พอแล้วสินะ” แคลร์ตอบพร้อมกับยักไหล่อย่างไม่ไยดี

 

 

“เจ้าพูดง่ายๆ เช่นนี้ เจ้าคิดว่าวิหารแห่งแสงเข้าง่ายมากหรือ? เจ้าคิดว่าของที่อยู่ข้างในนั้นหยิบมาได้ง่ายๆ หรือ วิหารแห่งแสงมีผู้เชี่ยวชาญเก่งกาจมากมาย และของสิ่งนั้นจะต้องถูกเก็บเอาไว้ในห้องโถงใหญ่แน่นอน” วัลโดกังวลมาก เขารีบบอกถึงความเก่งกาจเพื่อป้องกันไม่ให้แคลร์ไป

 

 

“ข้าไม่ได้บอกว่าข้าจะเข้าไปนี่นา” แคลร์เลิกคิ้วขึ้นเบาๆ “อีกอย่างนะ ข้าสงสัยมากเลยว่าของสิ่งนั้นมันมีค่ามากไม่ใช่หรือ? เช่นนั้นมันก็ควรถูกเก็บไว้ในที่ลับไม่ใช่หรือ? ” แคลร์ครุ่นคิด

 

 

“นั่นเป็นเพราะผู้คนในวิหารแห่งแสงนั้นเจ้าเล่ห์และหยิ่งผยอง นั่นคือสิ่งที่เทพีมอบให้ ดังนั้นพวกเขาจึงต้องเอามาแสดงให้ทุกคนได้รับรู้ว่าวิหารแห่งแสงนั้นเป็นที่โปรดปรานของเทพี เหตุผลอีกประการหนึ่งก็คือวิหารแห่งแสงมั่นใจในความแข็งแกร่งของตัวเองมาก เจ้าคิดดูสิว่าใครในโลกนี้จะกล้าขโมยของจากห้องโถงใหญ่นั่นล่ะ” วัลโดขมวดคิ้วแล้วพูด

 

 

“ข้าไงที่กล้าไป” รอยยิ้มแปลกๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของแคลร์

 

 

“เจ้า! เจ้าอยากตายหรือ! ” วัลโดตะคอกอย่างกังวล “เจ้ารู้ไหมว่ามันอันตรายแค่ไหน?! “

 

 

“สิ่งนั้นมันมีลักษณะอย่างไร? มันต้องมีอะไรป้องกันอยู่ด้วยใช่หรือไม่? ” แคลร์ลูบคางแล้วคิด

 

 

“ไร้สาระ! แน่นอนว่าต้องมีเขตกั้น แต่คงไม่ได้มีพลังมากนัก เพราะวิหารแห่งแสงเย่อหยิ่งอวดดีเอามากๆ เลยนะสิ” วัลโดตะคอก จากนั้นเขาก็จ้องมองแคลร์ ในดวงตาของเขามีความหยาบโลนอยู่ “แคลร์ ที่เจ้าอยากฟื้นคืนร่างให้ข้าเป็นเพราะเจ้าตกหลุมรักข้าใช่หรือไม่? เจ้าแอบรักข้าตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?”

 

 

แคลร์หยิบหินจิตวิญญาณออกมาแล้วบีบมันโดยไม่พูดอะไรทั้งสิ้น วัลโดกระตุกแล้วเงียบไป

 

 

แคลร์ไม่ปล่อยให้เสียเวลาอีกต่อไป นางนั่งขัดสมาธิหลับตานึกถึงจุดสำคัญในขั้นที่สามของกระจกดอกบัวและเริ่มฝึกฝน

 

 

ไม่มีเสียง ไม่มีรูปร่าง ไม่มีตัวตน ไม่มีหัวใจ

 

 

แคลร์รู้สึกเพียงว่านางเข้าสู่สภาวะที่แปลกประหลาดมาก ทุกสิ่งรอบตัวหายไป เหลือเพียงความอบอุ่น มีเพียงความรู้สึกอบอุ่นที่ผิดปกติเท่านั้น

 

 

วัลโดที่เป็นลมไปไม่ได้เห็นว่าร่างของแคลร์นั้นถูกล้อมรอบไปด้วยแสงสีทองจางๆ ในขณะนี้นางดูศักดิ์สิทธิ์และสวยงามมาก

 

 

ไป๋ตี้ซึ่งนอนอยู่ด้านข้างเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยและเฝ้าดูแคลร์ไม่ขยับไปไหน

 

 

ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน ในที่สุดแคลร์ก็ลืมตาขึ้น แสงสีทองหายไปและรอยยิ้มพึงพอใจก็ปรากฎขึ้นที่มุมปากของแคลร์ การรวมจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้และธาตุวิเศษเข้ากับพลังของดอกบัวนั้นมีประสิทธิภาพมากกว่าปกติมาก อีกไม่เท่าไหร่ นางก็ใกล้จะบรรลุขั้นที่สามแล้ว ไม่ใช่ว่านางบรรลุไม่ได้ แต่แคลร์ไม่อยากพบกับสายฟ้าฟาดที่นี่แล้วทำลายบ้านของคามิลล์จนพังเสียหาย

 

 

“ท่านแม่ ยิ่งผลัดไปวันหลังก็จะยิ่งบรรลุยากนะ ระดับพลังเวทย์และพลังยุทธ์ในตอนนี้ของท่านแม่สามารถช่วยให้ท่านแม่ไปถึงขั้นที่เจ็ดได้อย่างรวดเร็วเลยนะ หากผลัดไปในภายหลังจะเป็นเรื่องยากแล้ว” ทันใดนั้นเสียงของดอกบัวสีทองก็ดังขึ้นในใจของแคลร์ “แต่ว่าท่านแม่ไม่ต้องกลัว ข้าจะป้องกันสายฟ้าให้ท่านแม่เอง”

 

 

“เจ้าช่วยเปลี่ยนการเรียกข้าได้หรือไม่? ” แคลร์พูดอย่างอ่อนแรง

 

 

“ท่านแม่ ราตรีสวัสดิ์” ดอกบัวสีทองยังคงทำเป็นไม่ได้ยินการประท้วงของแคลร์ เขากล่าวราตรีสวัสดิ์และไม่มีเสียงใดๆ อีก

 

 

แคลร์พูดไม่ออก ไม่รู้จะทำอย่างไรกับเจ้าดอกบัวสีทองนี่เลยจริงๆ แคลร์หลับตาลงช้าๆ รอยยิ้มเล็กๆ ปรากฏขึ้นที่มุมปากของนาง ตอนนี้เมื่อหลับตา นางก็สามารถที่จะขยายขอบเขตในการรับรู้ได้ไกลมากขึ้น ข้างนอกเป็นเวลาเย็น แคลร์จึงค่อยๆ ขยายขอบเขตไปที่ห้องโถง และรับรู้ได้ถึงสถานการณ์ที่ห้องโถง ทุกคนกำลังเตรียมกินข้าวกัน แต่ซัมเมอร์พึมพำว่าทำไมแคลร์ยังนั่งสมาธิไม่เสร็จ จะไปเรียกดีหรือไม่ คามิลล์ห้ามไว้ว่าอย่าไปรบกวนนักเวทย์เวลานั่งสมาธิจะดีกว่า

 

 

แคลร์รู้สึกประหลาดใจอย่างมาก วิชากระจกดอกบัวเพียงแค่กำลังจะบรรลุขั้นที่สามเท่านั้นก็มีผลที่น่าอัศจรรย์เช่นนี้แล้ว ถ้าไปไกลยิ่งกว่านี้ล่ะ? นี่คือจิตวิญญาณหรือ? คำนั้นแวบขึ้นมาในความคิดของแคลร์ แต่มันก็หายไปทันที

 

 

ในช่วงเวลาต่อมา คามิลล์ จินเหยียน และมังกรดำต่างก็รู้สึกแปลกๆ

 

 

“ทำไมข้ารู้สึกเหมือนมีคนแอบดูอยู่เลย” คามิลล์หันหน้าไปมองรอบๆ อย่างสงสัย แต่ก็ไม่พบสิ่งผิดปกติใด

 

 

“ข้าก็รู้สึกเช่นกัน เหมือนกับมีใครบางคนกำลังดูเราอยู่” เบนพูดพร้อมกับสูดอากาศเข้าที่จมูกของเขา

 

 

จินเหยียนเฝ้าดูสภาพแวดล้อมโดยรอบอย่างระมัดระวัง แต่ก็ไม่พบเบาะแสอะไร

 

 

แคลร์ค่อยๆ ดึงสติของนางกลับคืนมาด้วยความพึงพอใจ หลังจากคิดได้ คำว่าจิตวิญญาณก็แวบขึ้นมาในความคิด นางรู้สึกคุ้นเคยเป็นอย่างมากและก็มีความรู้สึกแปลกๆ แต่บอกไม่ได้ว่าทำไมกัน?

 

 

แคลร์ลุกขึ้น ไป๋ตี้ที่อยู่บนหลังของแคลร์ร้องเจื้อยแจ้ว จากนั้นมันก็ปีนขึ้นไปบนไหล่ของแคลร์และขึ้นไปบนหัวครองบัลลังก์ที่เดิมของมันอีกครั้ง

 

 

แคลร์เดินไปที่ห้องโถง คามิลล์และคนอื่นๆ กำลังเตรียมกินข้าว เมื่อเห็นว่าแคลร์มา ซัมเมอร์ก็หยิบตั๋วสองสามใบไว้และชูขึ้นอย่างมีความสุข “แคลร์ ท่านปู่ของเจ้ายอดเยี่ยมมาก สุดยอดไปเลย เราได้ตั๋วมาอย่างรวดเร็วแล้วก็ได้สิ่งนี้มาด้วย”

 

 

แคลร์รู้ว่าสิ่งที่ซัมเมอร์พูดถึงคืออะไร มันคือผงย้อมสีที่ใช้เปลี่ยนรูปลักษณ์ของไข่มุกนั่น

 

 

“แคลร์ กินข้าวกันเถอะ” คามิลล์ยิ้มอย่างใจดี “เจ้านั่งสมาธิในห้องมานาน คงจะหิวแล้ว กินเยอะๆ สิ”

 

 

แคลร์พยักหน้าและเดินเข้ามา เมื่อนางเข้าไปใกล้คามิลล์ เขาก็พูดลอดไรฟันของเขาด้วยน้ำเสียงที่มีเพียงสองคนเท่านั้นที่ได้ยิน “ข้าล่ะอยากจะให้เจ้าอดตายอยู่ในนั้นจริงๆ เลย”

 

 

“ความปรารถนาของท่านจะไม่มีวันเป็นจริงหรอก” แคลร์ยิ้มและพูดลอดไรฟันของนาง

 

 

มื้ออาหารมื้อนี้มีความอบอุ่นอย่างมาก อย่างน้อยก็ที่เห็นกันภายนอกนี้

 

 

หลังอาหารค่ำ แคลร์กลับไปที่ห้องนอนและหยิบหินจิตวิญญาณออกมาถูในมือของนาง วัลโดตื่นขึ้นมาทันทีและจ้องมองท่าทางของแคลร์ หินจิตวิญญาณเป็นเหมือนร่างกายของวัลโดจึงทำให้เขารู้สึกได้ทุกอย่าง แคลร์ถูหินแบบนี้ก็หเมือนกับว่าถูไปทั่วร่างกายของเขา

 

 

“แคลร์ หยุด เจ้าทำอะไรอยู่เนี่ย? ” วัลโดบอกให้หยุดอย่างรวดเร็ว “ข้าตื่นแล้ว”

 

 

“โอ้” แคลร์หยุดและมองไปที่วัลโด “พูดมา อะไรคือสมบัติที่สามารถสร้างร่างกายของเจ้าใหม่ได้ หืม ทำไมเจ้าถึงหน้าแดงล่ะ? “

 

 

“เจ้า! ” วัลโดกลืนคำพูดที่อยากจะกล่าวกลับไป เจ้าถูขนาดนั้น หน้าจะไม่แดงได้อย่างไรล่ะ? ยังไงข้าก็เป็นผู้ชายธรรมดาคนหนึ่งเหมือนกันนะ!

 

 

……………………………………………………………………………..