“แคลร์ แคลร์ เจ้ามาดูนี่สิ ของดี มีของดี” เสียงของซัมเมอร์ดังมาแต่ไกล 

 

 

“ห้ะ? อะไรกัน? ” แคลร์ไม่ได้เงยหน้าขึ้นและถามอย่างไม่จริงจังนัก ซัมเมอร์ออกไปข้างนอกกับเบนตั้งแต่เช้า พวกเขาบอกว่าจะไปเดินเล่นและซื้อของอร่อยๆ กลับมา ตอนนี้น้ำเสียงของนางตื่นเต้นขนาดนี้ คงจะได้ของอร่อยอะไรกลับมาหรือเปล่า? 

 

 

“เจ้าดูนี่สิ ฮิฮิ” ซัมเมอร์รีบวิ่งไปหาแคลร์ หยิบลูกปัดขนาดเท่าไข่ออกมาแล้วยื่นไปตรงหน้าแคลร์ 

 

 

แคลร์เหล่ตาโดยไม่สนใจแล้วพูด “มันแค่อัญมณีไม่ใช่หรือ? แค่มันใหญ่กว่าลูกปัดอื่นๆ เท่านั้นเอง” 

 

 

“สิ่งที่มหัศจรรย์ไม่ใช่อันนี้! ” ซัมเมอร์เป็นหัวขโมยคนหนึ่ง นางเห็นสมบัติมามากมาย แต่ตอนนี้กลับดึงแคลร์ไปที่ห้องนอนของนางอย่างตื่นเต้นและทิ้งเบนกับจินเหยียนไว้ข้างหลัง 

 

 

“มหัศจรรย์อะไรกัน?” แคลร์ถามอย่างรำคาญ ในมือนางยังถือถ้วยชาอยู่ 

 

 

“มาเถอะน่า เดี๋ยวก็รู้เอง” ซัมเมอร์กระตือรือร้นลากแคลร์เข้าไปในห้อง จากนั้นปิดผ้าม่านและประตูอย่างแน่นหนา แล้วก็เอาลูกปัดออกมา 

 

 

แคลร์จิบชาโดยไม่ได้สนใจและมองลูกปัด ทันใดนั้นลูกปัดก็ค่อยๆ เปล่งแสงในห้องที่อึมครึม 

 

 

ไข่มุกเรืองแสงงั้นหรือ? แคลร์แปลกใจเล็กน้อย 

 

 

“เจ๋งไหมล่ะ? ยิ่งมืดเท่าไหร่แสงก็ยิ่งสว่างเท่านั้น มันสามารถใช้เป็นโคมไฟในตอนกลางคืนได้ด้วยนะ” ซัมเมอร์พูดอย่างมีความสุขขณะที่มองไข่มุกในมือ 

 

 

“เจ้าได้มาจากไหน?” แน่นอนว่าแคลร์ไม่คิดว่าซัมเมอร์จะใช้เงินไปกับของแพงขนาดนี้หรอก 

 

 

“ข้าหยิบติดมือมา” ซัมเมอร์เก็บไข่มุก บิดเอว และพูดอย่างหงอยๆ 

 

 

“ใครเป็นผู้โชคร้ายเช่นนี้นะ?” แคลร์ถามเรียบๆ 

 

 

“เถ้าแก่เจ้าของโรงประมูลหงกวาง” ซัมเมอร์พูดอย่างภาคภูมิใจ 

 

 

“พรวด…” แคลร์พ่นน้ำชาออกมา 

 

 

“ไอ้อ้วนผู้นั้นถือของดีเช่นนี้ติดตัวด้วย” ซัมเมอร์อวด พอเห็นการแสดงออกของแคลร์ก็พูดอย่างสงสัย “เจ้าเป็นอะไรไป? ของสิ่งนี้มันมีอะไรแปลกหรือ? มันก็ดูแปลกไปหน่อยนะ นี่เป็นครั้งแรกเลยข้าที่ได้เห็นไข่มุกที่เรืองแสงได้ในตอนกลางคืน ตอนแรกข้าคิดว่ามันเป็นลูกปัดธรรมดาเสียอีก” ซัมเมอร์พูด 

 

 

แคลร์เหงื่อตก “ซัมเมอร์ ทำไมเจ้าขโมยมาเช่นนี้? เจ้ารู้หรือไม่ว่าในอีกสองวันโรงประมูลหงกวางจะมีงานประมูลสมบัติล้ำค่าสามชิ้น หนึ่งในนั้นคืออัญมณีที่สามารถส่องแสงได้ในเวลากลางคืน การประมูลนี้อาจกล่าวได้ว่าได้รับความสนใจเป็นอย่างมากและหาตั๋วได้ยากมากด้วยนะ” 

 

 

“ฮ่าๆ เช่นนั้นอีกสองชิ้นคืออะไรล่ะ? ” ซัมเมอร์ตื่นเต้นแล้วถามต่อ 

 

 

“อีกสองชิ้น…” แคลร์นึก 

 

 

สิ่งที่แคลร์และซัมเมอร์ไม่รู้ในเวลานี้ก็คืออัญมณีนี้จะนำพาอันตรายและการผจญภัยแบบไหนมาให้พวกนาง 

 

 

แคลร์และซัมเมอร์นั่งคุยกันเป็นเวลานาน ในที่สุดแคลร์ก็บอกกับซัมเมอร์ “จำเอาไว้ว่าสิ่งนี้ห้ามเปิดเผยเด็ดขาด” 

 

 

“แน่นอน ฮ่าๆ ข้าจะเก็บมันไว้อย่างดีเลย” ซัมเมอร์เก็บลูกปัดและพูดอย่างกระตือรือร้น “เราสามารถไปดูการประมูลนั้นได้หรือไม่? เจ้าจะต้องมีวิธีอย่างแน่นอน แคลร์ พาข้าไปดูหน่อยสิ” 

 

 

แคลร์มองซัมเมอร์และยิ้ม “ได้สิ ข้าจะไปหาท่านปู่และขอตั๋วเข้าไปดู” 

 

 

“อื้ม ไปหาท่านปู่ของเจ้าได้ แต่ถ้าบอกว่าจะไปหาท่านพ่อของเจ้า ข้าก็จะบอกว่าช่างมันเถอะ ข้ายอมไม่ไปดีกว่า” ซัมเมอร์เบ้ปากพูด 

 

 

“รู้หรอกน่า” แคลร์ยัดถ้วยชาใส่มือของซัมเมอร์ “อาจารย์อูมาริเคยบอกข้าว่าหากมีอะไรให้ไปหาเขา ท่านปู่จะทำตามคำขอของข้า ครั้งนี้เราต้องการตั๋วกี่ใบ ไปบอกท่านปู่ก็น่าจะได้ตั๋วมาอย่างง่ายดาย” 

 

 

“ฮ่าๆ งั้นก็ยอดเยี่ยมไปเลย” ซัมเมอร์พูดอย่างมีความสุข 

 

 

“ลูกปัดนี้ เจ้าก็คิดหาวิธีจัดการหน่อย ไม่อย่างนั้นถ้ามีคนจำได้ขึ้นมา มันจะไม่ดี” แคลร์ลูบคางแล้วคิด 

 

 

“ไปหาอาจารย์คลิฟเพื่อย้อมสีมันสิ อาจารย์คลิฟทำได้ดีมาก คนอื่นคงจะจำไม่ได้หรอก แล้วเราก็เอาผงราคาถูกๆ มาทาทับมันซะ” ซัมเมอร์พูด “ข้าใช้วิธีนี้อยู่บ่อยๆ แล้วคนอื่นๆ ก็จะคิดว่ามันเป็นสิ่งของที่ราคาถูก” 

 

 

“ดี เดี๋ยวข้าจะให้จินเหยียนไปขอตั๋วที่ท่านปู่ของข้าก่อน แล้วเราค่อยไปหาอาจารย์ของข้ากัน” แคลร์พูดถึงตรงนี้ก็นิ่งไป เพราะตั้งแต่กลับมาคลิฟก็ขังตัวเองอยู่ในสภาเวทมนตร์ตลอดไม่เคยออกไปไหนเลย คลิฟต้องการที่จะก้าวขึ้นไปอีกขั้นโดยเร็วที่สุด และนั่นก็เพื่อนางเช่นกัน… 

 

 

“เดี๋ยวเจ้าไปหาจินเหยียน ขอให้เขาและเบนช่วยเจ้า ข้าจะกลับไปที่ห้องก่อน อย่าเพิ่งมารบกวนข้านะ ข้าอยากนั่งสมาธิ ช่วงนี้ละเลยไปมากแล้ว” แคลร์คิดว่าคลิฟพยายามถึงขนาดนั้น นางจะอยู่อย่างสบายก็คงไม่ได้ กระจกดอกบัวขั้นที่สองได้บรรลุไปแล้ว ตอนนี้ถึงเวลาต้องศึกษาขั้นที่สามแล้ว 

 

 

“โอ้ ได้เลย เจ้าสามารถนั่งสมาธิได้อย่างสบายใจเลย ฮ่าๆ รีบบรรลุเป็นจอมเวทย์เร็วๆ จากนั้นก็เป็นจอมเวทศักดิ์สิทธิ์ แล้วก็เป็นจอมเวทย์ชั้นเซียน แล้วต่อไปเส้นทางของข้าก็จะสบายจริงๆ แล้ว” ซัมเมอร์เหล่ตาและยิ้ม 

 

 

แคลร์ยิ้มอย่างไม่รู้จะทำอย่างไร ความคิดของเด็กหญิงผู้นี้คืออะไรกันเนี่ย… 

 

 

เมื่อกลับเข้ามาในห้อง แคลร์ก็กางเขตกั้นแล้วหยิบหนังสือกระจกดอกบัวออกมา ในเวลานี้วัลโดก็พูดขึ้นมา “แคลร์ ทำไมเจ้าถึงเข้าใจภาษาที่อยู่ในนี้ได้ล่ะ? “ 

 

 

“วัลโด เจ้าคิดว่าข้าเหมือนหญิงบ้าผู้ชายโง่เง่าหรือไม่? ” แคลร์ไม่ตอบแต่ย้อนถามแทน 

 

 

“มันไม่ใช่ว่าเหมือนหรือไม่เหมือน แต่ว่าไม่ใช่เลยสักนิด” วัลโดตอบอย่างมั่นใจ 

 

 

“เช่นนั้นก็ดีแล้ว เจ้าแค่อยู่เงียบๆ และอย่ารบกวนข้าก็พอ” แคลร์โบกมืออย่างรำคาญเพื่อส่งสัญญาณให้วัลโดหลบออกไป 

 

 

วัลโดลอยไปอยู่ด้านข้าง เขาขมวดคิ้วและนึกถึงคำพูดของแคลร์ นับตั้งแต่ที่เขาติดตามแคลร์มาก็มักจะได้ยินคนรอบข้างพูดเสมอว่านางเป็นหญิงงี่เง่าบ้าผู้ชายและไร้ประโยชน์ แต่ปีศาจน้อยตัวนี้เป็นคนชั่วร้าย มีความเมตตาจอมปลอม ร้ายกาจ และไร้ยางอาย นางเป็นถึงนักรบเวทย์ ตอนนี้ก้าวไปสู่การเป็นจอมเวทย์แล้ว เปลวไฟของนางกลายเป็นสีทองแปลกประหลาดอีกด้วย คนแบบนี้จะเป็นหญิงงี่เง่าบ้าผู้ชายได้งั้นหรือ? แคลร์เจตนาซ่อนจุดแข็งเอาไว้ก่อนหน้านี้หรือเปล่า? 

 

 

วัลโดคิดจนหัวแทบระเบิด แต่เขาก็ยังคิดเหตุผลไม่ออกเลย 

 

 

ในทางกลับกัน แคลร์ใช้พลังดอกบัวในการหลอมรวมเข้ากับหนังสือ ตัวอักษรบนหน้าหนังสือเคลื่อนไหวช้าๆ และเปลี่ยนแบบอักษร เนื้อหาทั้งหมดก็ค่อยๆ ถูกแทนที่ด้วยเนื้อหาของขั้นที่สาม 

 

 

แคลร์ไม่คิดอะไรมากแล้วขมวดคิ้วในขณะที่อ่านหนังสืออย่างระมัดระวัง ตอนที่แคลร์บรรลุกระจกดอกบัวขั้นที่สองนั้น แคลร์ถูกลงโทษด้วยสายฟ้าฟาดเพราะนางให้กำเนิดดอกบัวสีทองขนาดใหญ่ที่ปรากฏขึ้นอย่างกะทันหัน ในนั้นยังบันทึกไว้ว่ามีคนจำนวนน้อยมากที่ได้รับการดูแลจากดอกบัวสีทอง สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือลักษณะของดอกบัวสีทองจะได้รับอิทธิพลอย่างมากจากลักษณะของผู้ปฏิบัติ กล่าวได้ว่าไก่ให้กำเนิดไก่ เป็ดให้กำเนิดเป็ด เจ้าของเป็นแบบไหน ดอกบัวสีทองก็จะเป็นแบบนั้นนั่นเอง 

 

 

เมื่ออ่านถึงตรงนี้แคลร์ก็รู้สึกอายเล็กน้อยแล้วถามตัวเองว่านิสัยของนางไม่ได้หยาบคายมากใช่หรือไม่? ก่อนหน้าที่เทพเจ้าแห่งความมืดจะลงมา ดอกบัวสีทองได้สบถคำด่าออกมาประมาณว่า’ มีคนมาช่วยเจ้าแล้วข้ายังจะต้องออกมาทำบ้าอะไรอีก เสียแรงเปล่า’ น่าจะประมาณแบบนี้ใช่ไหมนะ? นั่นคือสิ่งที่ดอกบัวสีทองนั่นพูดออกมาหรือ? ไร้สาระ! แคลร์สบถ นี่มันอะไรกัน? 

 

 

“ท่านแม่ ท่านสบถอะไร ข้าคือสิ่งที่ท่านให้กำเนิดนะ” ทันใดนั้นเสียงก็ดังขึ้นในใจของแคลร์ แคลร์สะดุ้งจนหนังสือในมือของนางตกลงที่พื้น สถานการณ์ในครั้งที่แล้วมันรวดเร็วมากจนนางได้ยินเสียงไม่ชัดเจนนัก แต่ตอนนี้นางได้ยินชัดเจนแล้ว มันเป็นเสียงที่ไร้เดียงสาแต่ก็เย่อหยิ่ง 

 

 

ท่านแม่??? แคลร์อ้าปากกว้างแล้วเอื้อมมือชี้ไปที่จมูกของนางอย่างเงียบๆ เรียกนางงั้นหรือ? 

 

 

“ข้ากำลังเรียกท่านนั่นแหละ” เสียงที่ยังเด็กดังขึ้นอย่างเย็นชา “เพื่อนที่น่าสมเพชที่ชื่อวัลโดชอบพูดเรื่องไร้สาระกับท่านอยู่เรื่อย ข้าจึงไม่อยากออกมา” 

 

 

“เช่นนั้น เจ้าช่วยอธิบายให้ข้าฟังหน่อยได้หรือไม่ว่าเกิดอะไรขึ้น? ” แคลร์ถาม “แล้วก็ช่วยเปลี่ยนการเรียกได้หรือไม่ แม้ว่าข้าอาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับการให้กำเนิดเจ้า แต่ว่าเรียกท่านแม่เช่นนี้ มันแปลกไปหน่อย” 

 

 

“ได้สิ ท่านแม่ ฟังข้านะ ขั้นที่สองของกระจกดอกบัวเป็นขั้นที่สำคัญมากที่สุด ถ้าข้าไม่ได้กำเนิดออกมาจากท่านในเวลานั้น ท่านก็จะจบสิ้นการฝึกเวทมนตร์ชุดนี้ไปเลย ถึงแม้ท่านจะไปถึงขั้นที่สิบ ท่านก็ไม่สามารถเข้าใจระดับความคิดที่สูงขึ้นในระดับเทพได้” น้ำเสียงนั้นจริงจังมากขึ้น “ท่านจำได้หรือไม่ว่ามีกลีบดอกบัวสิบสองกลีบที่หลังของท่าน?” 

 

 

แคลร์พยักหน้าแล้วพูด “เจ้าไม่ต้องเน้นย้ำถึงการกำเนิดของเจ้าได้หรือไม่? “ 

 

 

ดอกบัวสีทองไม่สนใจการประท้วงของแคลร์และพูดต่อ “ครั้งนั้นท่านบรรลุขั้นที่สองในช่วงวิกฤตและให้กำเนิดข้าออกมาได้อย่างราบรื่น นั่นคือสาเหตุที่ท่านถูกลงโทษ แต่ข้าไม่สนใจเรื่องสายฟ้าอะไรนั่นหรอก หลังจากที่ท่านให้กำเนิดข้า ท่านจะสามารถไปถึงขั้นที่สิบได้ และจากนั้นก็สามารถบรรลุไปถึงขั้นที่สิบเอ็ดและสิบสองได้ กลีบทั้งหมดบนหลังของท่านก็จะบานสะพรั่งเมื่อเวลานั้นมาถึง” 

 

 

“เจ้าเป็นสิ่งมีชีวิตแบบไหนกันแน่?” แคลร์ถามพร้อมกับขมวดคิ้วเล็กน้อย 

 

 

“ท่านแม่ คำถามที่ท่านถามมันงี่เง่ามาก ข้ากำเนิดมาจากท่าน ท่านคิดว่ายังไงล่ะ? ” ดอกบัวสีทองพูดด้วยความรำคาญ 

 

 

“เจ้าเพิ่งเกิดมาหรือไงกัน? ” แคลร์ถามอย่างไม่พอใจ ถ้าชายผู้นี้เป็นเด็ก เขาก็คงเป็นเด็กที่ดื้อรั้นแน่นอน! ไม่น่ารักเลย 

 

 

“วัลโดอะไรนั่น เขาทำให้ข้าไม่สบายใจ ท่านแม่ ท่านต้องรีบหาร่างให้เขาโดยเร็วที่สุด ถ้าเขาอยู่ด้วย ข้าก็จะออกมาได้แค่ตอนที่ท่านตกอยู่ในอันตรายเท่านั้น” ดอกบัวสีทองบ่น จากนั้นก็ไม่มีเสียงอะไรออกมาอีกเลย 

 

 

“ดอกบัวสีทอง? ดอกบัวสีทอง? ” ไม่ว่าแคลร์จะเรียกอย่างไร ดอกบัวสีทองก็ไม่ตอบสนอง 

 

 

“แคลร์ เจ้าเป็นอะไรหรือไม่? ” วัลโดลอยมาถามด้วยความงงงวย “สีหน้าของเจ้าดูไม่ค่อยดีเลยนะ” 

 

 

แคลร์เงยหน้าขึ้นและมองวัลโดนิ่งๆ วัลโดไม่รู้หรอกว่าในใจของแคลร์ยุ่งเหยิงแค่ไหนที่จู่ๆ ก็มีสิ่งมีชีวิตประหลาดมาเรียกนางว่าแม่! จะไม่ให้นางว้าวุ่นใจได้หรือ? 

 

 

“อ่า แคลร์ ไป๋ตี้ตื่นแล้ว” ทันใดนั้นวัลโดก็ร้องออกมาอย่างตกใจ เมื่อเขาเห็นอุ้งเท้าของไป๋ตี้ที่แคลร์วางไว้บนหมอนเริ่มขยับ 

 

 

………………………………………………………………………………..