หลินหลันเคยได้ยินหลี่หมิงอวินเอ่ยถึงท่านเจ้าพระยาจิ้งตระกูลโจว โดยบรรพบุรุษตระกูลโจวซึ่งเป็นบุคคลที่ทำคุณประโยชน์อย่างมากในการก่อตั้งราชวงศ์ใหม่ เคยติดตามไท่จู่ ทำสงครามจากเหนือล่องใต้ จนประสบความสำเร็จมหาศาล ทว่าหลังไท่จู่ขึ้นคลองบัลลังค์เพียงไม่นานในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อนั้น จึงสละชุดเกราะและกำลังพลหารอย่างสง่างามโดยขอหวนคืนสู่บ้านเกิดดั่งเดิม ทว่าไท่จู่ไม่ทรงอนุญาต จึงแต่งตั้งเจ้าพระยาซุ่ยเฟิงจิ้ง ลูกหลานรุ่นหลังซึ่งสืบทอดตำแหน่งกันต่อมาเรื่อยๆ หลายยุคหลายราชวงศ์ แม้ว่าบรรดาบุตรชายของตระกูลโจวไม่ได้ดำรงตำแหน่งสำคัญในราชวงศ์ แต่กลับเป็นตระกูลที่ฮ่องเต้ทรงโปรดปราดและไว้วางใจมาโดยตลอด มีตำแหน่งสถานะในราชวงศ์ที่แข็งแกร่งและสามารถจัดการเรื่องสำคัญหรือปัญหาที่ยากเย็นได้อย่างง่ายดาย
หลินหลันอดไม่ได้ที่จะเลื่อมใสศรัทธาต่อบรรพบุรุษตระกูลโจว นับแต่สมัยโบราณเรื่อยมา ดั่งคำกล่าวที่ว่า ไม่มีนกแล้วธนูก็ไร้ความหมาย ไม่มีกระต่ายให้ล่าแล้วหมาล่าเนื้อก็ถูกนำไปฆ่ากิน มันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่แต่อย่างใด มีคุณงามความดีและเก่งกาจมากเกินไป มักมีแนวโน้มที่ผู้อื่นจะเฝ้าระวังด้วยใจหวาดระแวง หากสร้างเรื่องเกินหน้าเกินตาอีกสักครั้ง ส่วนมากจะไม่พ้นหนทางแห่งความตาย สนามรบที่นองเลือด พนันไว้ด้วยอะไรหรือ หากมิใช่สองคำที่ว่าชื่อเสียง มีความดีความชอบแล้ว มีชื่อเสียงเกียรติยศแล้ว ไม่สู้สละอำนาจการทหาร แล้วแลกมาซึ่งความไว้วางใจและความรู้สึกผิดจากฮ่องเต้ เพื่อจะได้ปกปักษ์ลูกหลานรุ่นหลังให้สงบสุขร่มเย็น ยังจะดีกว่าหรือ ช่างเป็นความคิดที่ชาญฉลาดยิ่งนัก เกรงก็แต่ว่าลูกหลานตระกูลโจวได้รับคำสั่งสอนจากบรรพบุรุษอย่างลึกซึ้ง ให้แอบซ่อนความสามารถอย่าได้ริอาจเปิดเผยไว้ด้วยเช่นกัน หลินหลันประหลาดใจในส่วนนี้ของตระกูลโจวเป็นอย่างมาก และประหลาดใจในตัวท่านเจ้าพระยาจิ้งผู้ดำรงตำแหน่งปัจจุบันนี้เสียยิ่งกว่า
หลินหลันลุกขึ้นยืน ยืนก้มหน้าอยู่บริเวณข้างเตียง ได้ยินเสียงฝีก้าวอยู่ชั่วขณะ ตามด้วยเสียงอันนุ่มนวลชวนฟังของเฉียวอวิ๋นซี “โหวเย่ว์ วันนี้กลับมาแต่หัววันเลยนะเจ้าคะ”
“วันนี้เริ่มการสอบที่ราชสำนัก ขุนนางฝ่ายวิชาการจึงเป็นผู้ที่ยุ่งวุ่นวาย ข้าระดับผู้บัญชาการทหารจึงว่างงาน เลยขอตัวกลับมาแต่หัววันหน่อย”
“พอดีเลยเจ้าค่ะ หลี่ฟูเหรินกำลังพูดคุยอยู่เป็นเพื่อนหม่อมฉัน!” เฉียวอวิ๋นซีเอ่ยด้วยรอยยิ้มเอียงอาย
ท่านเจ้าพระยาจิ้งโจวซิ่นเห็นใบหน้าที่คุ้นตาของหลินหลันเมื่อพ้นเข้ามาในห้อง ได้ฟังภรรยาเอ่ยแนะนำว่าผู้นี้คือภรรยาของคุณชายหลี่ จึงได้กล่าวด้วยรอยยิ้มอบอุ่น “ที่แท้ก็คือหลี่ฟูเหรินนี่เอง”
หลินหลันย่อเข่าลงคาราวะ “หลินหลันยินดีที่ได้พบโหวเยว์เจ้าค่ะ”
เจ้าพระยาจิ้งกล่าว “หลี่ฟูเหรินอย่าได้พิธีรีตองอยู่เลย ภรรยาของเข้าเอ่ยถึงเจ้าบ่อยครั้งนัก หากมีเวลาว่างก็มานั่งเล่นบ่อยๆ สิ”
หลินหลันเผยรอยยิ้มเล็กน้อย ถือเป็นการตอบรับ
เจ้าพระยาจิ้งหย่อนตัวลงนั่ง หลินหลันถึงได้นั่งลงบนที่นั่งซึ่งอยู่ฝั่งด้านข้าง
ฟางฮุ่ยยกน้ำชามาให้แด่ท่านเจ้าพระยา และเติมน้ำให้แก่หลินหลัน ก่อนจะไปยืนอยู่ด้านข้างเพื่อคอยให้การปรนนิบัติ
“วันนี้หลี่กงจื่อน่าจะไปเข้าร่วมทำข้อสอบแล้วสินะ!” น้ำเสียงของเจ้าพระยาจิ้งนิ่งเรียบทว่ายังคงมีความอ่อนโยน
หลินหลันพยักหน้า เบนสายตาเล็กน้อย จึงมองเห็นรูปลักษณ์ของท่านเจ้าพระยาจิ้งที่ชัดเจนเสียที เมื่อครู่ก็รู้สึกว่าเขามีรูปร่างที่สูงใหญ่กำยำ แล้วยังพูดได้ว่าเขาช่างดูมีสง่าราศรีแห่งวีรบุรุษ คาดไม่ถึงเลยว่าเจ้าพระยาจิ้งกลับดูมีสีหน้าอากับกิริยาที่ง่ายๆ สบายๆ เช่นนี้ ในดวงตาคู่สดใสแฝงความโฉบเฉี่ยวและซับซ้อน ที่ดูง่ายๆ สบายๆ คงเป็นแค่รูปลักษณ์ภายนอกเท่านั้น สามารถเป็นร่มโพธิ์ร่มไทรอันเขียวชอุ่มให้แก่ทางการหลวงได้เช่นนี้ แล้วจะกระทำการใดได้หากอาศัยเพียงความง่ายๆ สบายๆ เช่นนี้ การปิดซ่อนความแข็งแกร่งไม่เปิดเผยความเก่งกาจนี่สิคือความสามารถอันแท้จริง
เฉียวอวิ๋นซีกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เพราะหลี่กงจื่อไปเข้าร่วมการสอบแล้ว หลี่ฟูเหรินถึงได้มีเวลาว่างมาเยี่ยมเยียนหม่อมฉันเจ้าค่ะ”
เจ้าพระยาจิ้งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ แล้วกล่าวขึ้นอย่างใจเย็นหลังจิบชา “วันนี้ได้ยินว่าท่านไต้เท้าหัวหน้าราชเลขามีประสงค์จะจัดงานเลี้ยงฉลองให้พวกเจ้าหลังหลี่กงจื่อได้รับการคัดเลือกเมื่อประกาศผลสอบเป็นที่เรียบร้อย”
หลินหลันตกตะลึง ท่านพ่อหลี่ผู้ไร้ยางอายนี่ช่างปากไวเสียจริง คงเป็นการป่าวประกาศต่อภายนอกอย่างแน่นอน เพื่อไม่ให้กระทบต่อการสอบของหมิงอวิน การจัดงานเลี้ยงจึงล่าช้าออกไป จะได้หลีกเลี่ยงการตกเป็นขี้ปากใครต่อใครว่าพอเห็นบุตรชายเขาสอบผ่านแล้วถึงได้คิดจัดงานเลี้ยงฉลองขึ้นมา และเห็นได้ว่าท่านพ่อหลี่ไร้ยางอายผู้นี้จะมีความมั่นใจในตัวหมิงอวินอย่างมากด้วยเช่นกัน
หลินหลันฉีกยิ้มเล็กน้อย “ด้วยพ่อสามีเกรงว่าจะกระทบต่อการสอบของหมิงอวิน จึงตั้งใจจัดงานเลี้ยงในภายหลังเจ้าค่ะ”
“ที่แท้เป็นเช่นนี้นี่เอง! ข้าคิดว่าเขาไม่อยากจัดแล้วเสียอีกน่ะ!” น้ำเสียงของเฉียวอวิ๋นซีเผยให้เห็นถึงความไม่พึงพอใจ
เจ้าพระยาจิ้งหัวเราะฮ่าฮ่า ก่อนจะทำเป็นมองข้าและเปลี่ยนประเด็นสนทนา “เมื่อครู่ตอนกลับมา เห็นหรงเอ๋อร์พอดี”
เฉียวอวิ๋นซีกล่าวด้วยรอยยิ้ม “หรงเอ๋อร์เลิกเรียนแล้วหรือ ไม่ยักจะมามองหม่อมฉันบ้างเลย”
เจ้าพระยาจิ้งกล่าว “เขากำลังกลัดกลุ้มอยู่น่ะ”
“เขามีอะไรให้น่ากลัดกลุ้มหรือเจ้าคะ” เฉียวอวิ๋นซีกล่าวพลางปิดปากหัวเราะคิกคัก แสดงถึงความรู้สึกเอ็นดูอย่างมากมาย
เจ้าพระยาจิ้งกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เขาพูดกับข้าว่า เพราะเขาทำได้ดีตอนอยู่ในชั้นเรียน มักจะได้รับคำเชยชมเกินจริงอยู่เสมอๆ ก็เลยมีเพื่อนวัยเดียวกันสองคนอยากจะเชื่อมไมตรีกับเขา ทว่าสองคนนั้นกลับเป็นปรปักษ์กัน หากเป็นมิตรกับผู้นี้ก็จะไม่เป็นมิตรกับผู้นั้น เขาไม่อยากผิดใจต่อทั้งสองคน ดังนั้นจึงกลั้มกลุ้มใจเป็นอย่างมาก”
หลินหลันนึกตงิดในใจเมื่อได้ฟัง คำพูดนี้ของท่านเจ้าพระยาจิ้งเหตุใดจึงดูเหมือนกำลังพูดให้นางฟังเสียเหลือเกิน
“เช่นนั้นท่านบอกไปว่าอย่างไรหรือเจ้าคะ” เฉียวอวิ๋นซีถามด้วยร้อยยิ้ม
“ข้าบอกเขาว่า เช่นนั้นก็อยู่ให้ห่างไว้ก่อน ลองดูก่อนว่าทั้งสองคนนั้นคุ้มค่าที่จะเชื่อมสัมพันธ์อย่างลึกซึ่งหรือไม่ หากไม่คุ้มค่าแล้วยังต้องเลือกผู้หนึ่งผู้ใด เช่นนี้จะเป็นการเพิ่มศัตรูขึ้นมาอีกหนึ่งคน แล้วจะไม่คุ้มค่าเข้าไปใหญ่หรอกหรือ” เจ้าพระยาจิ้งมองด้วยสายตานิ่งเรียบมายังหลินหลันชั่วครู่ขณะเอ่ย
หลินหลันตระหนักได้ในทันใด มั่นใจแน่นอนยิ่งขึ้นว่าในคำพูดของท่านเจ้าพระยาจิ้ง ดูเหมือนกำลังเตือนนางถึงเรื่องราวบางอย่างที่ละเอียดอ่อนอย่างมาก หลินหลันอดนึกถึงหมิงอวินขึ้นมาไม่ได้ และนึกถึงเฉินจื่ออวี้ผู้นั้นที่เคยเอ่ยเรื่องราวเกี่ยวกับศึกชิงบัลลังค์ขึ้นมา ในตอนแรกใต้เท้าเหว่ยอยากเกี่ยวดองกับตระกูลหลี่ ก็มิใช่ว่าอยากจะดึงหมิงอวินมาเป็นพวกหรอกหรือ หากครั้งนี้หมิงอวินประสบความสำเร็จในการสอบ เกรงว่าผู้คนที่อยากเชื่อมสัมพันธ์คงมีมากยิ่งขึ้นอีก ถึงตอนนั้นหมิงอวินก็จะเผชิญปัญหาชวนกลัดกลุ้มเฉกเช่นหรงเอ๋อร์ด้วยหรือไม่นะ
“ไปห้องเรียน เรื่องการเรียนต้องมาเป็นอันดับแรก ส่วนการเชื่อมมิตรสัมพันธ์นั้นให้เป็นเรื่องของโชคชะตา” ท่านเจ้าพระยากล่าวอย่างเป็นเรื่องธรรมดาๆ และเอ่ยเสริมขึ้นมาอีกหนึ่งประโยค “ดังนั้น เรื่องที่เขาพูดไว้ก่อนหน้าว่าจะเชิญเพื่อนวัยเดียวกันมาร่วมฉลองวันคล้ายวันเกิด ข้าให้เขายกเลิกไปก่อน เชิญคนนี้มา คนนั้นก็ดันไม่พอใจ เชิญมาทั้งหมดหรือไม่เชิญมาเลยก็ล้วนไม่เหมาะสม ไม่สู้ยกเลิกไม่ต้องไปเลยจะดีเสียกว่า จะได้มาต้องลำบากใจ ฉลองกันเองกับคนในครอบครัว ก็มีความสุขได้เช่นเดียวกันมิใช่หรือ”
ขณะนี้เองในใจหลินหลันถึงได้กระจ่างชัดแจ้ง ท่านเจ้าพระยาจิ้งกำลังชี้นำนาง งานเลี้ยงฉลองนั่นไม่ควรจัดให้ยิ่งใหญ่เกินไป
หลินหลันกล่าวด้วยรอยยิ้ม “โหวเย่ว์พูดได้ดีเยี่ยมมากเลยเจ้าค่ะ อันที่จริงในบางครั้งก็ควรถ่อมตนไว้หน่อยจะดีกว่าเจ้าค่ะ”
นัยน์ตาของเจ้าพระยาจิ้งสว่างไสวขึ้นทันใด จากนั้นก็ค่อยๆ อ่อนลง แล้วพยักหน้าอย่างชื่นชม “คำพูดนี้หลี่ฟูเหรินกล่าวได้ดีทีเดียวเชียว”
เฉียวอวิ๋นซีไม่ได้คิดอย่างลึกซึ้งเลยแม้แต่น้อย จึงไม่เข้าใจนัยยะของคำพูดระหว่างพวกเขา
หลังออกพ้นจวนท่านเจ้าพระยาจิ้ง หลินหลันตัดสินใจว่า เมื่อมีอากาศจะต้องแนะนำหมิงอวินกับท่านเจ้าพระยาจิ้งให้ได้ทำความรู้จักกัน และจะได้ให้หมิงอวินเรียนรู้อะไรนิดๆ หน่อยๆ จากท่านเจ้าพระยาจิ้ง ซึ่งเป็นการดีต่อหน้าที่การงานในอนาคต
ในบ้านหลังใหญ่โต ณ ชาญเมือง ฮานชิวเยว่กำลังนอนเอนกายบนเตียงตัวยาวอย่างสบายใจ โดยมีชุนซิ่งคอยพัดโบกให้ และชุ่ยจือกำลังทุบนวดให้แก่นาง ทางด้านแม่เถียนหลังจากเข้ามาก็คอยอยู่ปรนนิบัติอยู่ด้านข้าง ไม่กล้ารบกวนนายหญิงแต่อย่างใด
“วันนี้เป็นวันแห่งการเริ่มการสอบแล้ว!” ฮานชิวเยว่กล่าวอย่างอ่อนใจ
“ฮูหยินวางใจเถิดเจ้าค่ะ ด้วยความรู้ความสามารของต้าเส้าเหยีย ต้องสอบผ่านอย่างแน่นอนเจ้าค่ะ” แม่เถียนรีบประจบสอพลอทันที
ฮานชิวเยว่เหลือบหางตามองนาง แล้วถอนหายใจขึ้นอีก “เดิมทีอยากตักเตือนเขาสักสองสามประโยค เจ้าลูกคนนี้มักจะใจร้อนอยู่เรื่อย”
แม่เถียนยิ้มอย่างเอาอกเอาใจ “ต้าเส้าเหยียรู้จักแยกแยะความสำคัญ เรื่องอันเกี่ยวเนื่องกับหน้าที่การงานภายภาคหน้าเช่นนี้ ต้าเส้าเหยียจะต้องละเอียดรอบครอบอย่างแน่นอนเจ้าค่ะ อีกอย่าง เหล่าเหยียก็ตักเตือนด้วยเช่นกัน แล้วยังมีต้าเส้าหน่ายนายอีกนะเจ้าคะ…”
ยังดีเสียกว่าหากไม่เอ่ยถึงนายท่านใหญ่ พอเอ่ยถึง จิตใจของฮานชิวเยว่ก็ราวกับเปลวไฟที่กำลังลุกโชน นายสายตาผู้เป็นสามีของนางตอนนี้มีเพียงหมิงอวินเท่านั้น มีหรือจะสนใจใยดีหมิงเจ๋อ
ฮานชิวเย่วลุกขึ้นนั่งขัดสมาธิ โบกมือเป็นสัญญาณให้ชุนซิ่งและชุ่ยจือออกไปก่อน แล้วถึงได้เอ่ยถามขึ้น “สองวันมานี้ในจวนมีความเคลื่อนไหวอะไรบ้างหรือไม่”
แม่เถียนตอบ “คนที่ผู้ดูแลจ้าวส่งมาบอกว่า อาการบาดเจ็บของแม่เจียงกับแม่ชิวเกรงว่าจะไม่อาจหายดีได้ในเร็ววันนี้ คงตอนนอนรักษาตัวอย่างน้อยๆ สามเดือน ตอนนี้ต้าเส้าหน่ายนายจึงเป็นผู้ดูแลเรื่องในบ้าน ทั้งหมดยังคงปฏิบัติตามระเบียบเดิมของฮูหยินเจ้าค่ะ ส่วนทางด้านเรือนหลั้วเซี๋ยตายนั้น ยังไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ ในตอนนี้เจ้าค่ะ”
นัยน์ตาซึ่งกำลังฉายแสงเย็นชาของฮานชิวเยว่ จ้องมองไปยังแม่เถียน แม่เถียนที่กำลังถูกจ้องถึงกับสะดุ้งเฮือกขนลุกซู่ นับแต่ถูกนายท่านขับไล่ออกมา นางเป็นอันต้องถูกฮูหยินด่าทอไม่เว้นวัน ทุกวันนี้ เพียงฮูหยินเริ่มชักสีหน้า นางก็จะรู้สึกหวาดกลัวอยู่ในภายใน
“เป็นเพราะคนอย่างพวกเจ้าที่ไม่ได้เรื่องได้ราวเอาเสียเลย เรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ยังทำให้สำเร็จมิได้ หากเจ้าได้รับความไว้วางใจแต่แรก และรายงานข้าได้แต่เนิ่นๆ อย่างน้อยๆ ก็จะไม่ถูกจับได้เช่นนี้” ฮานชิวเยว่ตำหนิ
แม่โจวตัวสั่นด้วยความหวาดเกรง และไม่กล้าโต้เถียงให้แก่ตนเอง ทำได้เพียงก้มหน้ารับคำตำหนิด่าทอจากฮูหยิน แอบคิดว่า ยังดีที่ไม่ได้บอกกล่าวฮูหยินถึงเรื่องคำล่ำลือเหล่านั้นภายในจวน มิฉะนั้น ฮูหยินคงได้โมโหเกี้ยวกราด และพาลด่าต่อนางอย่างโหดร้ายยิ่งขึ้น
ฮานชิวเยว่ยิ่งมองดูแม่เถียนก็ยิ่งโมโห แต่จะทำอย่างไรได้ในเมื่อตอนนี้ลูกสมุนซ้ายและขวาล้วนบาดเจ็บสาหัสไปทั้งร่างกาย ไม่อาจช่วยเหลืออะไรได้ แม่เถียนจึงเป็นตัวเลือกเดียว ฮานชิวเยว่กล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “ให้ใครก็ได้กลับไปบอกผู้ดูแลจ้าวว่า ให้คอยช่วยเป็นน้ำพักน้ำแรงแก่ต้าเส้าหน่ายนาย และจับตาดูเรือนหลั้วเซี๋ยจายให้ข้าที หากเรือนหลั้วเซี๋ยจายมีความเคลื่อนไหวใดให้รีบมารายงานในทันที”
แม่เถียนกล่าวทันควัน “เจ้าค่ะ เจ้าค่ะ บ่าวจะไปสั่งการเดี๋ยวนี้” และนางก็รีบออกไปอย่างรวดเร็ส
ฮานชิวเยว่ห่อเหี่ยวใจอยู่ลำพัง ครั้งนี้ช่างเป็นการพ่ายแพ้ยับเยินของจริง จะต้องรีบคิดหาวิธีกู้หน้าตากลับคืนมาให้ได้โดยเร็วถึงจะถูก
สองวันที่ผ่านมานี้หลินหลันใช้เวลาโดยการไปยังห้องสมุดและสวนหลังบ้าน นางไม่เชื่อว่าเฉี่ยวโหรวสามารถทำให้หลักฐานหายไปในอากาศได้ในเวลาอันสั้น หลังจากเกิดเรื่อง ทั้งห้องสมุดและส่วนหลังบ้านล้วนไม่พบร่องรอยการเผาทำลาย การเผ่าทิ้งจึงไม่น่าเป็นไปได้ แล้วเช่นนั้นเฉี่ยวโหรวนำฝารองส่วนท้ายไปไว้ที่ไหนกันล่ะ
หยินหลิ่วและอวี้หลงมองเห็นนายหญิงน้อยวนไปวนมาอยู่รอบๆ ก็รู้ได้เลยว่านายหญิงน้อยยังไม่ถอดใจ
“เอ้อร์เส้าหน่ายนาย ท่านยังจะหาต่ออีกหรือเจ้าคะ!” หยินหลิ่วกังวลใจเป็นอย่างมากว่านายหญิงของนางจะกลายเป็นนางมารร้ายจนได้หากยังเป็นเช่นนี้
หลินหลันหยิบกิ่งไผ่ขึ้นมาเขี่ยไปมาในดงป่าไผ่ “แน่นอนว่าต้องหา ไม่มีหลักฐานแล้วข้าจะเอาผิดนางได้อย่างไร นางพร่ำร้องว่าโดนปรักปรำ ข้าจึงต้องทำให้นางยอมจำนนท์แต่โดยดี”
“ทว่าพวกเราก็ขวานหาทั้งนอกและในจนไม่รู้กี่รอบแล้วนะเจ้าคะ จะเหลือก็แต่พลิกแผ่นดินหาแล้วล่ะเจ้าค่ะ” หยินหลิ่วกล่าวด้วยสีหน้าอ่อนใจ
หลินหลันกัดริมฝีปาก ใช้ความคิดอย่างหนักหน่วง ก่อนจะเอ่ยถามอย่างกะทันหัน “หยินหลิ่ว หากเป็นเจ้า ต้องการนำแผ่นรองส่วนท้ายนั่นทำลายทิ้งไปโดยเวลาอันสั้น และไม่ทิ้งร่องรอบเอาไว้ เจ้าจะทำอย่างไร”
หยินหลิ่วงุนงง ส่งเสียง “ห๊า?” แล้วมองไปยังบริเวณบ้าน ใช้ความคิดอย่างจริงๆ จังๆ ครุ่นคิดอยู่นานพอตัว แล้วจึงเอ่ยขึ้น “ข้าน้อยไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรหรอกเจ้าค่ะ”
หลินหลันถลึงตาใส่นาง “ไม่ได้เรื่องจริงๆ เลย”
หยินหลิ่วมองนายหญิงน้อยอย่างไร้เดียงสา ท่านเองก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรเช่นกันมิใช่หรือ
“อวี้หลง เจ้าว่าไงล่ะ” หลินหลันหันไปเอ่ยถามอวี้หลง
อวี้หลงชี้ไปยังสระน้ำขนาดย่อมอย่างสงบนิ่งพลางเอ่ย “หากเป็นข้าน้อย ก็จะนำมันผูกก้อนหินหนักแล้วโยนลงไปในสระน้ำเจ้าค่ะ”
เมื่อเอ่ยจบ อวี้หลงก็รู้สึกว่าคำตอบของตนเองมันออกจะดูไร้สาระไปหน่อย จึงบ่นพำพึม “ข้าน้อยเพียงแค่พูดไปเรื่อยเปื่อยน่ะเจ้าค่ะ”
หลินหลันจ้องมองสระน้ำนั้นอย่างเหม่อลอยไปชั่วขณะ ทันใดนั้นก็เอ่ยปากขึ้น “หยินหลิ่ว ให้เหวินซานลงไปงมหาในสระน้ำนี้”
“ห๊า? เอ้อร์เส้าหน่ายนาย ท่านเอาจริงหรอ…” อวี้หลงตื่นตระหนกเล็กน้อย ตนเองพลั้งปากพูดไปเรื่อยเปื่อย ทว่านายหญิงกลับคิดเป็นจริงเป็นจังเสียแล้ว
หลินหลันเร่งเร้า “รีบไป รีบไปเร็วเข้า” ส่วนตนเองเดินไปยังบริเวณขอบสระ คุกเข่าลงและมองดูอยู่ตรงนั้น สระน้ำซึ่งดูใสสะอาด ทว่าพื้นผิวน้ำปกคลุมไปด้วยใบบัว จึงมองด้านล่างสุดได้อย่างไม่ชัดเจนเลยสักนิด
หยินหลิ่ววิ่งออกมา จากนั้นไม่นานเหวินซานก็ตามมาติดๆ
เหวินซานม้วนขากางเกงขึ้นทันทีที่มาถึง พลางเอ่ยถาม “เอ้อร์เส้าหน่ายนายทำอะไรหล่นลงไปหรือขอรับ ถึงได้ให้ข้าน้อยลงน้ำไปงมหา”
หลินหลันกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้าไม่ได้ทำอะไรหล่นลงไปหรอก เจ้าลงไปขวานหาดู ว่ามีแผ่นรองปิดลักษณะกลมๆ หรือไม่”
เหวินซานกล่าวอย่างเริงร่า “ได้เลยขอรับ! ข้าน้อยงมกุ้งหอยปูปลาที่แม่น้ำตั้งแต่ยังเด็ก งานประเภทนี้ข้าน้อยถนัดที่สุดแล้วขอรับ” เอ่ยจบ ก็ไม่รีรอกระโดดลงน้ำไปทันที
ทั้งสามคนที่อยู่บนฝั่งจับตามองเหวินซานซึ่งอยู่ในน้ำไม่วางตา
สระน้ำจะว่าใหญ่ก็ไม่ใหญ่ จะว่าเล็กก็ไม่เล็ก อีกทั้งก้นบ่อล้วนเป็นขี้โคลนทั้งสิ้น การจะหาของบางอย่างจึงไม่ใช่เรื่องง่ายดายเลย เหวินซานเริ่มขวานหาจากทางทิศตะวันออกไปตะวันตก และจากใต้ไปเหนือ ใช้พละกำลังไปไม่น้อย ทันใดนั้นก็เกิดหยุดชะงัก คนทั้งคนดำดิ่งลงไป ไม่นานก็โผล่ขึ้นมาพร้อมกับบางสิ่งบางอย่าง ออกแรงสะลัดน้ำและลูบใบหน้า แล้วจึงปีนป่ายก้าวขึ้นมาก่อนจะนำสิ่งของวางลงบนขอบฝั่ง “เอ้อร์เส้าหน่ายนาย ท่านลองดูว่าใช่เจ้านี่หรือไม่”
หลินหลันฉีกยิ้มกว้าง แตะๆ มือลงไปที่อวี้หลงซึ่งกำลังมองด้วยสายตางุนงง พลางกล่าวด้วยรอยยิ้ม “อวี้หลง เจ้าช่างฉลาดเสียจริง ช่วยเบาแรงไปได้เยอะเลย”