หลังส่งทั้งสองออกเดินทางไปเป็นที่เรียบร้อย หลี่จิ้งเสียนจึงไปทำงาน ส่วนหลินหลันเตรียมตัวกลับเรือนหลั้วเซี๋ยจาย ด้วยยังมีเรื่องเร่งด่วนที่ยังต้องรีบจัดการ ทว่าติงหลั้วเหยียนเรียกนางรั้งไว้
“เอ้อร์ตี้เหม่ย…”
หลินหลันหันกลับไป ขานเรียกด้วยรอยยิ้ม “ต้าซ่าว…”
ติงหลั้วเหยียนเดินเข้ามาด้วยอากับกิริยาเคร่งขรึม และเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่บางเบานุ่มนวล “อุปกรณ์ที่เตรียมให้สำหรับน้องรอง ใช้การได้หรือไม่”
หลินหลันตระหนักขึ้นมาได้ในทันที ติงหลั้วเหยียนคงมองเห็นกล่องที่เหวินซานแบกไว้เข้าแล้ว จึงกล่าวออกไปพร้อมรอยยิ้ม “ใช้การได้ๆ เจ้าค่ะ ครบครันมากเลยทีเดียว เพียงแต่หมิงอวินกล่าวว่ากล่องนั่นออกจะสะดุดตาเกินไป จึงให้เปลี่ยนกล่องบรรจุ ส่วนข้าวของยังคงเดิมเจ้าค่ะ”
ติงหลั้วเหยียนยิ้มเล็กยิ้มน้อย ขณะที่ในใจกลับนึกหงุดหงิด เป็นนางเองที่มองข้ามไปว่าหมิงอวินไม่ชอบการโอ้อวดแต่อย่างใด
“ใช้การได้ก็ดีแล้ว” ติงหลั้วเหยียนฉีกยิ้มอ่อนๆ โค้งตัวลงเล็กน้อยและกล่าวลาเดินจากไป
หลินหลันจ้องมองแผ่นหลังภายใต้อากับกิริยาอันแสนสง่างามนั้นของนาง ที่แท้อุปกรณ์เครื่องใช้พวกนั้นเป็นสะใภ้ใหญ่ที่จัดเตรียมให้สินะ! อย่างไรก็ตาม ต่อให้พี่สะใภ้ใหญ่เป็นผู้จัดเตรียมให้ นางก็ไม่วางใจให้หมิงอวินพกติดตัวไปอยู่ดี ในบ้านหลังนี้ ผู้ที่มองทะลุปรุโปร่งได้ยากที่สุดก็คือพี่สะใภ้ใหญ่ผู้นี้นี่ล่ะ มองดูสง่างามเรียบร้อย ไม่พูดจามากมาย อ่อนโยนและมีมรรยาท และมีท่าทีสบายๆ อย่างไรก็ได้ทั้งสิ้น ทว่าหลินหลันไม่อาจประเมินนางต่ำเกินไปด้วยสาเหตุเหล่านี้ ผู้ที่สามารถอาศัยอยู่ในบ้านหลังนี้ได้ล้วนมิใช่คนที่ธรรมดาๆ ทั่วไปอย่างแน่นอน
เมื่อกลับถึงเรือนหลั้วเซี๋ยจาย หลินหลันตรงเข้าไปดูอาการบาดเจ็บของตงจึเป็นอันดับแรก เพราะบาดแผลได้รับการรักษาทันถ่วงที บวกกับการดูแลรักษาอย่างเอาใจใส่ ตงจึจึงเกือบจะหายดีเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และมีแรงโอดครวญขึ้นมาบ้างแล้วด้วยเช่นกัน
“ข้าน้อยปรนนิบัติเส้าเหยียมาตั้งเนิ่นนาน คอยฝนหมึกให้ตั้งหลายปี คอยเฝ้าพัดโบกให้ก็ไม่น้อย ผลสุดท้ายเส้าเหยียไปสอบทั้งที ข้าน้อยกลับไม่ได้ไปส่งเส้าเหยีย” ตงจึเอ่ยอย่างน้อยอกน้อยใจ สูดจมูกฝึดฝัด
หลินหลันกล่าวติดตลก “เจ้าได้เป็นวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่แล้ว เจ้าต้องคิดไว้ว่า หากมิใช่เจ้าสละชีวิตเพื่อปกป้องผู้เป็นนาย เวลานี้ผู้ที่กำลังนอนอยู่ก็คงหนีไม่พ้นเส้าเหยีย แล้วยังจะมาพูดถึงส่งเข้าสนามสอบอะไรอีก! เจ้ามีกระจิตใจกระใจมาคิดว่าคอยฝนหมึกให้ก็หลายปี คอยเฝ้าพัดโบกให้ก็ไม่น้อย ไม่สู้คอยขอพรให้เส้าเหยียจะดีกว่าหรือ จะได้คุ้มครองเส้าเหยียให้การสอบผ่านไปอย่างราบรื่นนี่สิถึงจะถูกต้อง”
เมื่อได้ฟังคำชื่นชมยกใหญ่ชุดนี้จากนายหญิงน้อย อารมณ์ของตงจึจึงค่อยๆ รู้สึกดีขึ้นเล็กน้อย
หลินหลันกล่าวเสริมขึ้นอีกครั้ง “เจ้าจะต้องดูแลรักษาตนเองให้ดีๆ ทำให้ตนเองรีบดีวันดีคืน แล้วเก้าวันผ่านไป จะได้ไปรับเส้าเหยียกลับบ้านมาด้วยกัน มิเช่นนั้น กระทั่งครั้งนี้เจ้าก็ได้เป็นพลาดโอกาสไปด้วยแน่”
ตงจึรีบกล่าวขึ้นทันใด “ข้าน้อยจะดื่มยาให้ตรงเวลา เมื่อถึงตอนนั้นจะสามารถไปรับเอ้อร์เส้าเหยียด้วยได้อย่างแน่นอนขอรับ”
หลินหลันกล่าวด้วยรอยยิ้ม “อืม เมื่อเอ้อร์เส้าเหยียเห็นเจ้าสบายดีแล้ว ก็คงดีใจมากเช่นกัน”
หยินหลิ่วซึ่งอยู่ด้านข้างกล่าวเตือนขึ้น “แม่โจวยังรอเพื่อให้การรายงานแด่เอ้อร์เส้าหน่ายนายอยู่นะเจ้าคะ!”
หลินหลันพยักหน้ารับทราบ แล้วจึงกลับไปยังห้องหลักพร้อมกับหยินหลิ่ว
แม่โจวกำลังรออยู่แต่แรกแล้ว
“แม่โจว ทางด้านนั้นว่าอย่างไรบ้าง” หลินหลันเอ่ยถาม
“ตามหามาสามวันแล้วก็ยังไม่พบเลยเจ้าค่ะ กระทั่งภรรยาของเขาก็ยังบอกว่าไม่รู้เช่นกันว่าเขาไปแห่งหนใดแล้ว และยังกล่าวอีกว่าอาจจะไปติดลมเล่นพนันอยู่ ณ ที่ใดที่หนึ่ง ทว่าหลังจากตามหาทั่วทุกสนามพนันน้อยใหญ่ทั่วทั้งเมืองหลวง ก็ยังไม่พบเลยเจ้าค่ะ” แม่โจวตอบด้วยความรู้สึกท้อแท้ใจอยู่เล็กน้อย
หลินหลันครุ่นคิดไตร่ตรองด้วยความสงสัย แล้วจึงกล่าวขึ้น “พวกเราคงช้าไปหนึ่งก้าวเสียแล้ว” การลงมือของแม่มดชรานี่ชังรวดเร็วเสียจริงนะ!
แม่โจวถามด้วยเสียงกระซิบ “งั้น…ยังต้องตามหาต่อไปอีกหรือไม่”
หลินหลันกล่าวด้วยท่าทีสงบนิ่ง “ไม่จำเป็นต้องตั้งหน้าตั้งตาหาแล้วล่ะ แค่ให้คนคอยจับตามองบ้านเขาไว้เป็นพอ หากเขาไม่เป็นอะไร แน่นอนว่าจะต้องกลับมาบ้าน แต่หากเขาเป็นอะไรไป เช่นนั้นก็….”
แม่โจวเข้าใจความหมายของนายหญิงน้อยเป็นอย่างดี ว่าด้วยนิสัยใจคออันโหดเหี้ยมของหญิงชราเจ้าเล่ห์ผู้นั้น เกรงก็แต่ว่าพี่ชายของเฉี่ยวโหรวจะประสบโชคร้าย เสียแรงที่เฉี่ยวโหรวยังเชื่อมั่นในหญิงชราเจ้าเล่ห์เสียขนาดนั้น
หลังจากตกอยู่ในภวังค์เงียบสงัดไปชั่วขณะ หลินหลันก็เอ่ยถามขึ้นมาอีก “สองวันมานี้เฉี่ยวโหรวยังสงบดีใช่หรือไม่”
“เหม่อลอยตลอดทั้งวัน ไม่ร้องไห้และไม่โวยวายแต่อย่างใด ให้กินก็กิน ให้ดื่มก็ดื่มเจ้าค่ะ…” น้ำเสียงของแม่โจวปนเปด้วยความเห็นอกเห็นใจ
หลินหลันนิ่งเงียบ เรื่องนี้จะโทษใครได้อีกหรือ มีคำกล่าวที่เอ่ยไว้ว่า จะต้องใช้ความผิดชอบชั่วดีในการตัดสิน จะใช้เพียงรูปลักษณ์ภายนอกอันน่าสงสารตัดสินมิได้ มันต้องเกิดจากการรู้จักสำนึกผิดต่อสิ่งที่กระทำผิดพลาดไปในครั้งก่อน การรู้ทั้งรู้ว่ากระทำผิดแต่ไม่ปรับปรุงแก้ไขนั่นสิคือสิ่งที่น่าเกลียดชัง คนเราไม่ควรทำร้ายผู้อื่นเพื่อขจัดความยากลำบากของตนเอง นี่มันไม่สมเหตุสมผล
“เอ้อร์เส้าหน่ายนาย เรานำเรื่องพี่ชายของนางไปบอกกล่าวนางดีไหมเจ้าคะ จะได้ช่วยให้หน้าตาสว่างขึ้นมาเสียที” แม่โจวเสนอแนะ
หลินหลันบีบนวดขมับที่เส้นเลือดปูดนูนขึ้นมาเล็กน้อย “คอยดูสถานการณ์ไปก่อนแล้วกัน! ไว้ข้าคิดดีแล้วค่อยจัดการอีกที”
หลังชะงักไปชั่วครู่ หลินหลันก็กล่าวสั่งการขึ้นมา “จริงสิ แม่เถียนกับสองพี่น้องซูฟางและซูอวิ๋นออกไปแล้ว กำลังคนของพวกเราเพียงพออยู่หรือไม่ ท่านไปพบนายหน้าจัดหาคนแล้วซื้อสาวใช้ที่ดูไร้เดียงสาฉลาดปราญเปรื่องมาสักสองสามคนทีสิ” สองวันมานี้จิ่นซิ่วกับหรูอี้ต่างยุ่งตัวเป็นเกลียว ต้องทำความสะอาดบ้านหลังใหญ่ขนาดนี้ แล้วยังต้องซักผ้าซักผ่อนอะไรพวกนี้อีกด้วย
แม่โจวกล่าว “ครั้งก่อนที่กลับไปนายท่านลุงได้เอ่ยไว้ว่า หากต้องการลูกมือ ตระกูลเยี่ยมีพร้อมเจ้าค่ะ ซึ่งล้วนเป็นคนเก่าคนแก่ที่เชื่อถือได้ทั้งนั้น”
หลินหลันครุ่นคิด ก่อนจะกล่าวออกไปอย่างเคร่งขรึม “เป็นคนเก่าคนแก่จะถือว่าดีเยี่ยมที่สุด แต่อย่างไรก็ตาม ไม่อาจทำอย่างชัดเจนโจ่งแจ้งเกินไป หากให้เหล่าเหยียรับรู้เข้าว่าเป็นคนที่นำมาจากตระกูลเยี่ย เกรงว่าจะไม่พอใจนัก ท่านไปจัดการวางแผนดูแล้วกัน วันมะรืนให้หญิงชรานายหน้านำคนเข้ามา โดยบอกว่าพวกเราซื้อเข้ามาเอง”
แม่โจวกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เอ้อร์เส้าหน่ายนายคิดได้อย่างรอบคอบเช่นเคยเลยนะเจ้าคะ”
หลินหลันยิ้มขมขื่น จะไม่ให้รอบคอบจะได้อย่างไรกันล่ะ! ใช้ชีวิตอยู่ในบ้านซึ่งเต็มไปด้วยความขัดแย้งเช่นนี้ จึงจำเป็นต้องครุ่นคิดไตร่ตรองให้รอบคอบเข้าไว้ พลาดพลั้งไปแม้เพียงนิดเดียวก็จะตกเป็นขี้ปากของคนอื่นได้
แม่มดชราออกไปแล้ว หลี่หมิงอวินก็ไม่อยู่ หลินหลันเริ่มรู้สึกในใจเหวงว้างว่างเปล่า ไม่รู้ว่าควรทำอะไรดี เดิมทีในแต่ละวันมักจะวนเวียนอยู่รอบกายหมิงอวิน ทำนู้นทำนี่ไปเรื่อย และคอยครุ่นคิดเกี่ยวกับวิธีการต่อกรกับแม่มดชรา ทว่าตอนนี้คู่ต่อสู้ไม่อยู่เสียแล้ว ผู้อุปถัมภ์ก็ไม่อยู่ หลินหลันจึงเหม่อลอยอย่างเบื่อหน่ายไม่มีอะไรทำ
จนกระทั่งเหวินซานกลับเข้ามา เอ่ยว่านายน้อยได้เข้าสู่สนามสอบไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว สิ่งของทั้งหมดก็นำเข้าไปด้วยเช่นกัน ทว่าคุณชายใหญ่กลับไม่ราบรื่นเช่นนั้น ของหลายสิ่งถูกยึดไว้ กระทั่งอาหารก็ยังถูกยึดไว้ไม่น้อย เห็นทีว่าเก้าวันเจ็ดคืนนี้ จะได้หิวจนท้องกิ่วเสียแล้ว
หลินหลันแอบรู้สึกโชคดี ไม่เสียแรงที่ตนเองคิดอย่างรอบคอบ พยายามทำยาเม็ดให้ขนาดเล็กสุดๆ ขนมต่างๆ ก็พยายามทำให้บางที่สุด โสมก็หั่นจนเป็นชิ้นบางๆ กระทั่งถุงหอมก็ใช้วัสดุห่อหุ้มเพียงชั้นเดียว มองเพียงแว็บเดียวก็รู้ได้อย่างชัดเจน กฎระเบียนในการสอบสมัยโบราณเคร่งครัดเสียยิ่งกว่าการสอบในยุคสมัยปัจจุบัน หากมีสิ่งของที่สอดไส้อะไรซึ่งดูน่าสงสัยจะเป็นอันต้องถูกยึดไปทั้งหมด ขนาดกระทั่งเสื้อผ้าที่สวมใสบนร่างกายก็ต้องได้รับการตรวจสอบอย่างละเอียด แทบจะฉีกเสื้อผ้าที่สวมใส่อยู่ทั้งหมดเพื่อทำการค้นหา
“อ่อ! เอ้อร์เส้าเหยียบอกว่า เอ้อร์เส้าหน่ายนายไม่ต้องเป็นห่วงเขา ให้รอฟังข่าวดีของเขาก็เป็นพอขอรับ”
หลี่หมิงอวินมีพรสวรรค์และความสามารถในการเรียนรู้อย่างแท้จริง ในส่วนนี้หลินหลันเชื่อมั่นยิ่งนัก ขอแค่คืนวันของการสอบเหล่านั้นไม่เกิดเรื่องอะไรไม่คาดคิดขึ้นมาเป็นอันพอ
การที่หลินหลันรู้สึกวางใจแล้ว ยิ่งทำให้รู้สึกไม่มีอะไรให้ทำเข้าไปใหญ่
ฝืนดึงอารมณ์ตนเองขึ้นมาแล้วไปยังห้องยา หวังปรุงวัตถุดิบยาขึ้นมาสักหน่อย ทว่ากลับทำผิดครั้งแล้วครั้งเล่า จนในที่สุดหลินหลันโยนสากตำยาทิ้งด้วยความอึดอัดใจ ไม่ทำมันแล้ว
หยินหลิ่วพอจะมองท่าทีผิดปกติของนายหญิงออกเช่นกัน จึงกล่าวขึ้น “เอ้อร์เส้าหน่ายนาย ลองมานับวันดูแล้ว ภรรยาท่านเจ้าพระยาจิ้งก็ใกล้ถึงกำหนดคลอดแล้วนะเจ้าคะ!”
ในใจของหลินหลันรู้สึกสว่างไสวขึ้นทันใด จริงสิ! ควรไปเยี่ยมเยียนเฉียวอวิ๋นซีตั้งนานแล้ว ตอนแรกที่ออกมาจากจวนเจ้าพระยาจิ้ง นางยังรับปากกับนางไว้เสียเป็นมั่นเป็นหมายว่าจะกลับไปเยี่ยมเยียนนาง ผลสุดท้ายเวลาล่วงเลยมานานขนาดนี้ก็ยังไม่ได้ไปเสียที คนเขาจะไม่พากันกล่าวหาว่านางข้ามแม่น้ำได้ก็ทุบสะพานทิ้ง [1] แล้วหรอกหรือ!
“ไปกัน พวกเราไปจวนท่านเจ้าพระยาจิ้งกัน” ในที่สุดก็หาเรื่องทำได้เสียที พลังอันเริงร่าของหลินหลันจึงฟื้นคืนกลับมาอีกครั้ง
นางสั่งการเหวินซานให้เตรียมรถม้าไว้ให้พร้อม ก่อนจะพาหยินหลิ่วกับอวี้หลงติดสอยห้อยตาม มุ่งตรงไปยังจวนเจ้าพระยาจิ้ง
เดือนกว่าๆ ที่ไม่ได้พบหน้าค่าตา เฉียวอวิ๋นซีท้องใหญ่โตดั่งกระบุงเสียแล้ว การเคลื่อนไหวเป็นไปอย่างอุ่ยอ้าย เห็นได้ชัดว่าต้องใช้พลังงานมากทีเดียวเชียว และส่วนท้องก็ลดลงต่ำไม่น้อย จึงเห็นได้เลยว่าใกล้ถึงกำหนดคลอดแล้ว
เมื่อเห็นหลินหลันมาถึง เฉียวอวิ๋นซีจึงบ่นโอดครวญขึ้นทันที “ข้ารอคอยการมาของเจ้า หากเจ้ายังไม่มา ข้าคงต้องติดประกาศเรียกเจ้ามาเสียแล้ว”
หลินหลันกล่าวด้วยรอยยิ้มแหยๆ อย่างละอายใจ “ข้าคำนึกถึงท่านอยู่ตลอด! เพียงแต่เรื่องในบ้านมากมายนักจึงหาเวลาปลีกตัวออกมาไม่ได้เสียที วันนี้หมิงอวินเข้าร่วมการสอบแล้ว นี่ข้าก็รีบมาทันทีที่ว่างงานมิใช่หรือเจ้าคะ”
เฉียวอวิ๋นซีกล่าวด้วยรอยยิ้มปนตำหนิ “รู้ว่าเจ้ามีเรื่องยุ่งวุ่นวาย ว่าแต่เป็นอย่างไรบ้างหรือ อยู่ที่บ้านหลี่นั่นคุ้นชินแล้วหรือยัง”
ประโยคคำถามนี้แฝงนัยยะไว้มากมาย อย่าว่าแต่เฉียวอวิ๋นซีเลย ทว่าใครก็ตามที่เคยได้ยินคำเล่าลือ เกรงว่าตอนนี้ก็พากันคงคาดเดาไปต่างๆ นานาว่าหญิงสาวชาวบ้านที่กำลังจะแต่งงานกับคุณชายหลี่ผู้มีความสามารถจะใช้ชีวิตอย่างไรเมื่อเข้าสู่ตระกูลหลี่
หลินหลันยิ้มอย่างเคอะเขิน “ก็ไม่เลวเลยเจ้าค่ะ!”
แม้จะพูดอย่างดิบดี ทว่าใครหลายๆ คนอาจยังคงไม่เชื่อก็เป็นได้ การบอกเล่าต่อผู้อื่นถึงความเจ็บปวดของตนเองมีแต่จะเป็นการทำให้ภาพลักษณ์อันอีงามของตระกูลเสียหาย จึงได้แต่พูดว่าก็ไม่เลว แต่มันก็ไม่เลวจริงๆ นั่นแหละ ด้วยอันดับแรกคือนางเข้ากับหลี่หมิงอวินได้อย่างมีความสุขทีเดียว และทุกครั้งที่ต่อกรกับแม่มดชราและพ่อหลี่ผู้ไร้ยางอาย ล้วนได้รับชัยชนะทั้งสิ้น จึงถือได้ว่าไม่เลวเลยจริงๆ
เฉียวอวิ๋นซีเมื่อได้ยินประโยคนี้กลับเข้าใจเป็นความหมายอื่นที่แตกต่างออกไป เป็นการฝืนยิ้มหรือไม่ เป็นการแสร้งมีความสุขท่ามกลางความทุกข์หรือไม่ หลินหลันเข้าไปอยู่ทั้งที ทว่าตระกูลกลับไม่มีความเคลื่อนไหวอะไรสักนิด ตามหลักการแล้วก็ควรจะจัดงานเลี้ยงฉลองสักหน่อย เมื่องานแต่งของบุตรชายคนโตตอนต้นปี งานเลี้ยงนั้นล้วนเต็มไปด้วยผู้หลักผู้ใหญ่ประจำเมืองปักกิ่ง นี่มันช่างเป็นการปฏิบัติอย่างไม่เท่าเทียมกัน ท่านหัวหน้าราชเลขาหลี่ออกจะทำเกินไปแล้ว
เฉียวอวิ๋นซีจับมือหลินหลันไว้อย่างเห็นใจ “ข้ายังยืนยันคำเดิม มีเรื่องหนักหนาอันใด สามารถบอกข้าได้ทุกเรื่องอย่าได้เกรงใจ”
หลินหลันหดหู่ใจอย่างมาก การแสดงออกของนางดูเหมือนหญิงสาวที่กำลังโอดครวญอยู่เช่นนั้นหรือ น่าเสียดายที่หากระจกไม่ได้ มิฉะนั้นคงต้องส่องดูสภาพตัวเองเสียหน่อยว่าเป็นอย่างไร นางจึงทำได้เพียงกล่าวออกไปว่า “หากมีเรื่องหนักหนาสาหัสอันใด ข้าจักต้องมาหาท่านอย่างแน่นอนเจ้าค่ะ ในเมืองหลวงแห่งนี้นอกเสียจากท่านแล้ว ข้าก็ไม่รู้จะไปแห่งหนใดแล้วเช่นกันเจ้าค่ะ”
เฉียวอวิ๋นซีถึงได้ยิ้มและกล่าวด้วยความสบายใจ “ไว้รอคลอดเรียบร้อยและครบหนึ่งเดือน ในจวนจะจัดงานเลี้ยงฉลอง ถึงตอนนั้นเจ้าจะต้องมาให้ได้นะ แล้วข้าจะแนะนำใครบางคนให้เจ้าได้รู้จัก ไปมาหาสู่กันเข้าไว้เดี๋ยวก็คุ้นเคยกันอย่างแน่นอน”
หลินหลันรู้สึกซาบซึ้งใจยิ่งนัก นี่เป็นการที่เฉียวอวิ๋นซีต้องการพานางเข้าสู่แวดวงหญิงสาวชั้นสูงแห่งเมืองปักกิ่งเชียวนะ!
“เช่นนั้นคงดีไม่น้อยเลยเจ้าค่ะ ข้าจะต้องมาอย่างแน่นอน จริงสิ กระบวนท่าเหล่านั้นที่ข้าสอนท่านไว้ ท่านได้ทำมันทั้งหมดหรือไม่”
เมื่อพูดถึงกระบวนท่าสำหรับหญิงตั้งครรภ์นั้นขึ้นมา เฉียวอวิ๋นซีก็หน้าแดงกล่ำขึ้นมาทันที ท่าทางเหล่านั้นมันไม่สง่างามเอาเสียเลย! การนอนราบบนเตียง และโค้งส่วนสะโพกขึ้น นางจะถือโอกาสที่ท่านเจ้าพระยาไม่อยู่และทำมัน และบังเอิญมีวันหนึ่งที่ท่านพระยากลับมาแต่หัววัน บรรดาสาวใช้ไม่ทันได้บอกกล่าว ท่านพระยาจึงเห็นเข้าจนได้ และถูกหัวเราะเยาะอยู่นานเชียว…
เฉียวอวิ๋นซีกล่าวอย่างลำบากใจ “ข้าทำไปไม่กี่วันเท่านั้น”
หลินหลันเผยสีหน้าตระหนกตกใจ “จะได้อย่างไรกัน กระบวนท่าเหล่านั้นใช้ในการปรับทิศทางทารกให้เหมาะสม เพื่อมั่นใจได้ว่าศีรษะของเด็กจะกลับลงส่วนล่าง เมื่อเป็นเช่นนี้เวลาคลอดก็จะง่ายขึ้นเยอะ จึงจำเป็นต้องทำนะเจ้าคะ”
ในยุคสมัยโบราณปราศจากเครื่องอัลตราซาวน์ จึงไม่สามารถมองเห็นลักษณะด้านในท้องได้ ทำได้เพียงใช้มือลูบคล่ำเพื่อจับความรู้สึกบนหน้าท้องเท่านั้น ครั้งก่อนนางจากไปตอนนั้น ทิศทางเท้าของเด็กยังขี้ขึ้นส่วนบน ว่าตามหลักการในช่วงระยะเวลาสุดท้าย เด็กในครรภ์จะกลับตัวด้วยตนเอง ทว่าบางส่วนก็ไม่อาจกลับตัวได้ เมื่อถึงกำหนดคลอดส่วนเท้าจึงอยู่ในทิศทางส่วนล่าง ซึ่งการที่เป็นเช่นนี้จะก่อให้เกิดภาวะคลอดลำบาก และง่ายต่อการที่เด็กจะกระดูกหักได้
เมื่อเห็นหลินหลันพูดด้วยสีหน้าจริงจัง เฉียวอวิ๋นซีจึงเกิดความกังวลขึ้นมา “งั้นนับแต่นี้ไปข้าจะเริ่มทำมันทุกวัน”
หลินหลันกล่าว “ให้ข้าลองตรวจท่านดูก่อนแล้วกันนะเจ้าคะ”
หลินหลันลูบคลำหน้าท้องของเฉียวอวิ๋นซี ยังดีที่ตำแหน่งทารกยังอยู่ในทิศทางที่เหมาะสม ทว่าก็ไม่อาจรับประกันได้ว่าทารกจะไม่เคลื่อนตัว “สถานการณ์ตอนนี้ยังถือว่าดีเจ้าค่ะ ทว่ากระบวนท่าพวกนั้นยังจำเป็นต้องทำ จะได้ส่งผลดีต่อการคลอดของท่าน” หลินหลันกล่าว
เฉียวอวิ๋นซีพยักหน้าระรัว
ขณะพูดคุยอยู่นั้น เสียงสาวใช้ก็ดังขั้นมาจากด้านนอก “ท่านเจ้าพระยากลับมาแล้วเจ้าค่ะ”
หลินหลันตื่นตระหนก และลุกขึ้นยืนเตรียมขอตัวกลับก่อน
เฉียวอวิ๋นซีเห็นนางมีท่าทีประหม่าเช่นนั้น จึงกล่าวออกไปด้วยรอยยิ้ม “ในเมื่อท่านเจ้าพระยากลับมาแล้ว ก็ทำความรู้จักกันไว้เสียหน่อยเถิด!”
——
[1] ข้ามแม่น้ำได้ก็ทุบสะพานทิ้ง (过河拆桥) เป็นสำนวนที่ให้ความหมายว่า ได้รับผลประโยชน์แล้วแล้วถีบหัวส่ง ไม่ใยดี