หลี่จิ้งเสียนเรียกหลี่หมิงอวินไปปลอบประโลมจิตใจอยู่พักหนึ่ง หลี่หมิงอวินจึงใช้โอกาสนี้บอกกล่าวว่าเขาใกล้จะเข้าร่วมการสอบแล้ว ทว่ายังคงเป็นห่วงหลินหลัน หลินหลันเพิ่งมาเยือนที่นี่อีกทั้งงานบ้านงานเรือนก็ไม่ถนัดนัก เกรงว่าจะรับมือคนเก่าคนแก่ในจวนนี้อย่างแม่เถียนไม่ได้ หลี่จิ้งเสียนแม้จะสัมผัสเรื่องงานในบ้านเพียงน้อยนิด แต่ก็รู้ว่าแม่เถียนเป็นคนโปรดของฮานชิวเยว่ เพื่อให้หมิงอวินสบายใจ และเพื่อแสดงถึงความรักและห่วงใยที่เขามีต่อบุตรชายของเขา และให้เหตุการณ์งูพิษคลื่นใหญ่นี้ผ่านพ้นไป หลี่จิ้งเสียนจึงทำได้เพียงให้แม่เถียนตามไปคอยปรนนิบัติฮูหยินที่บ้านชานเมืองแห่งนั้นด้วยเช่นกัน
จนถึงตอนนี้ หลี่หมิงอวินใช้ความหวาดกลัวเล็กน้อยผนวกกับตงจึซึ่งถูกงูกัดเข้าไปหนึ่งแผลอย่างคุ้มค่า ขับไล่แม่มดชราออกไปได้ชั่วคราว กวาดล้างเสี้ยนหนามแห่งเรือนหลั้วเซี๋ยจาย ก็ถือได้ว่าจากร้ายกลายเป็นดี
ขณะที่ฮานชิวเยว่ซึ่งอยู่ในบ้านชานเมืองเป็นวันที่สองแล้ว เห็นแม่เถียนมาด้วยสภาพสกปรกมอมแมม จึงโกรธจนแทบเป็นลมล้มพับ
บุคคลที่มีส่วนร่วมในเหตุการณ์ครั้งนี้ต่างคิดว่าพายุฝนครั้งนี้ได้ผ่านพ้นไปแล้ว เวลานี้ทำได้เพียงรอคอยวันฟ้าใสหวนคืนกลับมาอย่างใจเย็น น่าเสียดายที่ฟ้าไม่เป็นใจสำหรับคนจิตใจต่ำทราม ทิศทางของสถานการณ์กลับไม่เป็นไปดั่งที่พวกนางจิตนาการไว้
เพราะสัญชาตญาณของคนที่เต็มไปด้วยความสงสัย มีผู้คนมากมายที่ยังคงแคลงใจต่อเรื่องนี้และพากันเคลื่อนไหวจนเรื่องวุ่นวายใหญ่โต ทุกคนซึ่งไม่รู้ว่าเกิดเรื่องราวอะไรขึ้นกันแน่ อดทนจนไม่อาจอดทนได้แล้วจริงๆ ดังนั้นจึงพยายามขุดคุ้ยเฟ้นหาความจริงในที่สุด ขณะที่ทั้งเบื้องบนเบื้องล่างแห่งเรือนหลั้วเซี๋ยจาย ทันทีที่มีผู้ใดเอ่ยถึงเรื่องนี้ขึ้น ก็จะแสดงทีท่าพูดจาอย่างติดๆ ขัดๆ ราวกับเป็นเรื่องยากที่จะอธิบายออกมาได้ เมื่อถูกถามอย่างเร่งเร้าก็จะส่ายหน้าและถอนหายใจ และเมื่อถามไถ่อีกก็จะเอ่ยอย่างตัดบท “เอ้อร์เส้าหน่ายนายของพวกเราสั่งการไว้แล้วว่า ยึดถือสันติเป็นสิ่งสำคัญสุด เรื่องที่ผ่านไปแล้วก็ให้ผ่านไปเถอะ!”
ทัศนคติที่คลุมเครือ และคำพูดที่แสดงถึงความเสียใจและกล้ำกลืนฝืนทนเช่นนี้ ยิ่งทำให้ผู้คนรู้สึกไม่ต่างจากกำลังมองดอกไม้ท่ามกลางสายหมอก จึงอดไม่ได้ที่จะก่อให้เกิดการคาดเดาไปต่างๆ นานา ท่ามกลางท่าทีที่นายท่านประจำบ้านปกป้องคุณชายรอง และภายใต้ความคิดแนวโน้มเกี่ยวกับแม่เลี้ยงอสรพิษซึ่งมีมาตั้งแต่โบราณ ข้ารับใช้ภายในจวนจึงพากันพูดคุยถกเถียงกันอย่างลับๆ ครั้งแล้วครั้งเล่า ท้ายที่สุดข่าวลืออันเป็นผลร้ายต่อนายหญิงประจำบ้านก็แพร่กระจายไปทั่วทั้งจวน
“ต้าเส้าหน่ายนาย จะปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไปคงไม่ได้นะเจ้าคะ หากคำล่ำลือพวกนี้ถูกแพร่สะพัดออกไปด้านนอก…” หลู่ฉีเอ่ยเตือนนายหญิงน้อยของตนด้วยความกังวล
นายหญิงใหญ่ประจำบ้านไม่อยู่ ภาระหน้าที่ดูแลเรื่องราวในบ้านจึงตกไปอยู่กับสะใภ้ใหญ่เป็นธรรมดา เดิมทีนี่คือโอกาสดีที่นายหญิงน้อยจะได้แสดงสักยภาพ ทว่านายหญิงน้อยทำเพียงเรียกบรรดาหญิงชราผู้ดูแลเรื่องราวต่างๆ ของตระกูลมาประชุมอย่างพร้อมเพรียงกันหนึ่งครั้งเท่านั้น เอ่ยสั่งการอย่างเรียบง่าย ระหว่างช่วงเวลาที่ฮูหยินไม่อยู่ นอกเสียจากมีเรื่องสำคัญใหญ่หลวงเท่านั้นถึงจำเป็นต้องมาบอกกล่าวให้นางรับทราบ ในส่วนอื่นๆ ให้ยึดทำตามระเบียบเดิมที่ฮูหยินได้วางไว้ เมื่อเป็นเช่นนี้ เหล่าข้ารับใช้กลับดีอกดีใจและเบาใจลง ทว่าในส่วนเรื่องแม่บ้านแม่เรือนนี้นั้น นายหญิงน้อยก็ได้ปฏิบัติตนเป็นแบบอย่างแล้วเช่นกัน หลู่ฉีไม่เข้าใจอย่างยิ่งว่า เสียแรงพูดคุยกัยฮ๋งซางไปชุดใหญ่ อยากจะกระตุ้นให้นายหญิงน้อยฮึดสู้ ทว่านายหญิงน้อยกลับพูดว่า “เป็นหัวหน้าบ้านครั้งนี่เป็นเพียงชั่วคราวเท่านั้น ไม่นานนักฮูหยินก็กลับมาแล้ว แล้วเหตุใดนางจำเป็นต้องทำเป็นคนใจร้าย ไม่เป็นมิตรกับทั้งเบื้องบนและเบื้องล่างล่ะ! ขอแค่ในจวนไม่เกิดเรื่องใหญ่โตอะไรก็เป็นพอ”
ก็ได้! ถือเสียว่าที่นายหญิงนอยกล่าวมาเป็นเรื่องถูกต้อง ทว่าเวลานี้ดูเหมือนกำลังเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแล้ว หลู่ฉีข้ารับใช้ผู้ซื่อสัตย์เคียงกาย จึงจำเป็นต้องเอ่ยเตือนนายหญิงน้อย ให้ยับยั้งคำล่ำคือและการวิพากษ์วิจารณ์ของบรรดาผู้คนน่ะ!
ติงหลั้วเหยียนขมวดคิ้วเข้าหากันเมื่อได้ยินเช่นนั้น และกล่าวด้วยท่าทีเคร่งขรึม “เจ้าไปหาผู้ดูแลจ้าว โดยนำคำพูดของของข้าไปบอกว่า วันพรุ่งนี้คุณชายทั้งสองจะต้องเข้าร่วมการสอบแล้ว หากมีข่าวลือใดๆ แม้เพียงเล็กน้อยได้ยินถึงหูคุณชายทั้งสอง จนส่งผลกระทบต่ออารมณ์ของคุณชายทั้งสอง ก็ให้เขาลาออกแล้วกลับบ้านไปเสีย!”
หลู่ฉีกล่าวอย่างปลื้มใจ “เจ้าค่ะ ข้าน้อยจะไปเดี๋ยวนี้”
ประโยคนี้ของหญิงสาวสะใภ้ใหญ่ค่อยดูเหมือนลักษณะของนายหญิงประจำบ้านขึ้นมาหน่อย
ทันทีที่หลู่ฉี่ออกไป ติงหลั้วเหยียนก็ร้องเรียกฮ๋งซางให้เข้ามา แล้วเอ่ยถาม “อุปกรณ์เครื่องใช้ที่คุณชายทั้งสองต้องใช้ในการสอบจัดเตรียมไว้พร้อมแล้วใช่หรือไม่”
ฮ๋งซางกล่าวด้วยรอยยิ้ม “จัดเตรียมตามที่ต้าเส้าหน่ายนายสั่งการไว้เรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ”
ติงหลั้วเหนียนหยิบถุงหอมออกมาหนึ่งคู่ “ใส่พิมเสนชะมดลงลงไปด้วยสักหน่อย ให้คุณชายทั้งสองนำติดตัวไป พอจะช่วยทำให้รู้สึกสดชื่นขึ้นมาได้”
ฮ๋งซางเอื้อมมือออกไปรับไว้ และติงหลั้วเหยียนก็เอ่ยกำลังขึ้นอีกครั้ง “ลายปักนกกางเขนเกาะบนกิ่งไม้นั่นให้คุณชายใหญ่ ส่วนที่ปักซื่อเหอหรูอี้ [1] มอบให้คุณชายรอง อย่าสลับกันเชียวล่ะ”
ในเรือนหลั้วเซี๋ยจาย หลินหลันกำลังยุ่งวุ่นวายในการเตรียมอุปกรณ์ของใช้สำหรับนำไปใช้ในการสอบให้แก่หลี่หมิงอวินอยู่เช่นกัน
หลี่หมิงอวินมองไปที่พูดกันขนแพะหนึ่งมัด แล้วกล่าวขึ้นด้วยความสงสัย “เหตุใดต้องพกพู่กันไปมากมายเช่นนี้”
หลินหลันกล่าว “นี่เรียกว่ากันไว้ดีแก้แก้ต่างหากล่ะ เกิดเขียนๆ ไปแล้วขนพู่กันหลุด ก็จะส่งผลให้เจ้าเขียนออกมาไม่งาม ตัวอักษระของเจ้าสวยงามขนาดนั้น คงจะช่วยเพิ่มคะแนนได้ไม่น้อยทีเดียวเชียวล่ะ” นางเองก็เคยฝึกฝนเขียนพู่กันจีน จึงรู้ดีว่าการเขียนอักษรตัวขนาดเล็กพวกนี้ต้องสิ้นเปลืองขนพู่กันมากเพียงใด หลายพันตัวอักษรจรดลงไป หัวพู่กันก็จะเริ่มหลุดและเขียนได้ไม่ดี
หลี่หมิงอวินกล่าวด้วยเสียงบางเบา “กระดาษคำตอบทั้งหมดจะถูกบันทึกโดยพิมพ์คัดลอกตัวอักษร ซึ่งผู้คุมสอบจะไม่สามารถมองเห็นลายเส้นพู่กันของผู้สอบได้”
หลินหลันตื่นตกใจ ประเด็นปัญหานี้นางกลับไปไม่คำนึกถึง “งั้น ในกรณีที่กระดาษคำตอบของเจ้าติดหนึ่งในสามอันดับแรก กระดาษคำตอบของเจ้าก็น่าจะถูกทำไปเสนอต่อพระพักตร์ฮ่องเต้ใช่ไหม”
หลี่หมิงอวินพยักหน้า “แน่นอนอยู่แล้ว”
หลินหลันกล่าวด้วยรอยยิ้ม “นี่ก็มิใช่ข้อสรุปแล้วหรือ ฮ่องเต้จะถูกพระทัยอย่างแน่นอนเมื่อได้เห็นอักษรของเจ้า”
หยินหลิ่วซึ่งอยู่ด้านข้างกล่าวขึ้นด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “เส้าเหยียเจ้าคะ ท่านก็พกไปด้วยเถอะเจ้าค่ะ! มิฉะนั้น เอ้อร์เส้าหน่ายนายคงไม่อาจวางใจได้”
หลี่หมิงอวินทำได้เพียงปล่อยเลยตามเลย ตามใจหลินหลันโดยนำพู่กันเจ็ดแปดด้ามใส่กล่องลงไป
“ขวดสีน้ำเงินนี้คือยาเม็ดเป่าหนิง หากเกิดรู้สึกไม่สบายท้องอะไรพวกนี้ให้กินทุกหกชั่วโมงครั้งละหกเม็ด ส่วนขวดสีขาวนี้คือยาเม็ดฮั่วเซียง หากเจ้ารู้สึกมึนหัวแน่นหน้าอกก็กินทุกหกชั่วโมงครั้งละหกเม็ดเช่นกัน ยาเม็ดพวกนี้ข้าทำมันออกมาขนาดเล็กจิ๋วมาก แอบอะไรเอาไว้ข้างในไม่ได้ ดังนั้นเจ้าน่าจะสามารถนำติดตัวเข้าไปด้วยได้ แล้วก็ เจ้านี่คืออ้ายเซียง หากในห้องเกิดร้อนอบอ้าว มีพวกยุงพวกแมลงอะไรพวกนี้ เจ้าก็จุดมันซะ แล้วยังมี…เจ้านี่ คือพิมเสนชะมด เอาไว้ดมๆ สามารถช่วยให้สมองเจ้ารู้สึกสดชื่นปลอดโปร่ง เจ้าดูถุงหอมนี่สิสวยไหม! ลวดลายข้าเป็นคนเลือก ส่วนป๋ายฮุ่ยเป็นคนปัก ใช้เวลาตั้งหลายวันหลายคืนแหนะ! ยังไงก็ต้องพกติดตัวไปด้วย” หลินหลันสาธายายที่ละอย่างๆ แล้วจึงทยอยนำวางลงในกล่อง
เดิมทีเห็นหลินหลันเตรียมไว้อย่างละเอียดรอบครอบเช่นนี้ โดยเฉพาะยาเม็ดเหล่านั้น รู้ได้เลยว่าเป็นสิ่งที่หลินหลันตั้งใจรีบทำออกมาเป็นพิเศษ และทุ่มเทแรงกายแรงใจไปไม่น้อย หลี่หมิงอวินจึงแอบรู้สึกซาบซึ้งใจยิ่งนัก ทว่าพอในช่วงท้ายสุด นางดันลากป๋ายฮุ่ยเข้ามาปิดท้าย แล้วยังใช้นัยน์ตาอันอบอุ่นประเภทนั้นจ้องมาที่เขา ผนวกกับหันไปเห็นป๋ายฮุ่ยซึ่งอยู่ด้านข้างเผยสีหน้าท่าทางเขินอายออกมา หลี่หมิงอวินได้แต่ยิ้มเจื่อนๆ นี่คือการที่หลินหลันแสร้งทำเป็นใจกว้างหรือเป็นการจงใจส่งสัญญาณเตือนกันแน่หรือ
ท้ายสุดหลินหลันหยิบอาหารแห้งออกมาสองห่อ “ห่อนี้คือขนมดอกกุ้ยฮวา ขนมสอดไส้ชา และขนมสอดไส้เม็ดบัว ส่วนหอนี้คือขนมเปี๊ยะ ข้าตั้งใจให้กุ้ยซ่าวทำขึ้นมาเป็นพิเศษ แม้ว่าจะแห้งไปหน่อย แต่ว่าไม่มีอาหารแห้งประเภทใดที่จะไม่แห้งนี่นะ ข้อดีของมันคือ จะทำให้ขนมเปี๊ยะไม่เสียง่าย วางทิ้งไว้ค่อนเดือนก็ยังไม่เสีย ยังดีกว่ากินเข้าไปแล้วท้องเสียล่ะนะ”
หลี่หมิงอวินมองดูขนมเปี๊ยะห่อนั้นแล้วกล่าวอย่างเป็นกังวล “ขุนนางคุมสอบอาจจะแหวกขนมเปี๊ยะทุกชิ้นเพื่อตรวจสอบว่าสอดแทรกอะไรไว้หรือไม่”
หลินหลันกล่าวอย่างไม่เดือดเนื้อร้อนใจแต่อย่างใด “งั้นให้พวกเขาแหวกดูก็สิ้นเรื่อง พอกลายเป็นขนมเปี๊ยะชิ้นๆ เล็กชิ้นน้อย คงได้เบาแรงเจ้าในการกัดกินไม่น้อยเชียว”
หลี่หมิงอวินยิ้มเจื่อนๆ
ขณะที่หยินหลิ่วกับป๋ายฮุ่ยอดไม่ได้ที่จะแอบหัวเราะภายใต้เรียวปากที่กำลังเม้มเข้าหากัน
สิ่งของจำนวนมากมายถูกยัดลงในกล่องขนาดเล็กกะทัดรัดจนแน่นเอี๊ยด หลินหลันปิดมันลงถึงสองครั้งก็ยังปิดไม่ลง จนท้ายที่สุดนางออกแรงกดมันก่อนจะได้ยินเพียงเสียงแตกละเอียดดังขึ้นชั่วขณะ
ทุกคนตกตะลึง หลินหลันมองไปยังหลี่หมิงอวินอย่างอับอาย “แค่นี้ก็เป็นอันเรียบร้อย ช่วยเบาแรงพวกขุนนางคุมสอบไปเยอะเลย”
หลี่หมิงอวินหน้าเสีย จากเดิมที่ยังพอมีรอยยิ้มเจื่อนๆ เผยให้เห็น
ขณะพูดคุยกันอยู่นั้น จิ่นซิ่วเข้ามาให้การรายงาน โดยเอ่ยว่าฮ๋งซางจากเรือนเวยอวี่นำอุปกรณ์ที่น่าจะจำเป็นสำหรับการสอบมาส่งให้เอ้อร์เส้าเหยีย
หยินหลิ่วกล่าวด้วยความประหลาดใจ “เรื่องเช่นนี้พวกนางยังต้องจัดเตรียมให้ด้วยหรือ”
ป๋ายฮุ่ยเอ่ย “ส่งมาให้พวกเราก็ไม่กล้าใช้อยู่ดี”
หลินหลันมองไปยังหลี่หมิงอวิน แล้วเอ่ยขึ้น “คนเขาหวังดีทั้งที เป็นธรรมดาที่จะต้องรับเอาไว้”
หลี่หมิงอวินพยักหน้าอย่างเห็นดีเห็นงาม
หลินหลันไปยังห้องปีกตะวันตกเพื่อพบฮ๋งซาง
ฮ๋งซางให้การคาราวะนายหญิงสะใภ้รองตามระเบียบปฏิบัติ และกล่าวด้วยรอยยิ้ม “นี่คืออุปกรณ์เครื่องใช้สำหรับการสอบที่เตรียมไว้สำหรับเอ้อร์เส้าเหยีย เอ้อร์เส้าหน่ายนายโปรดรับเอาไว้ด้วยนะเจ้าคะ”
หลินหลันเผยรอยยิ้มเล็กน้อย “ต้าเส้าเหยียช่างมีน้ำใจยิ่งนัก”
ฮ๋งซางยิ้มเล็กยิ้มน้อย ปฏิบัติตามคำสั่งของนายหญิงสะใภ้ใหญ่ โดยการไม่บอกไปว่าเป็นของที่นายหญิงเป็นผู้จัดเตรียม นายหญิงตั้งใจเสียขนาดนี้ ด้วยอยากเพิ่มสัมพันธ์พี่น้องระหว่างคุณชายใหญ่กับคุณชายรองให้กระชับมิตรกันมากยิ่งขึ้น
หลินหลันให้หยินหลิ่วมอบรางวัลตอบแทนหนึ่งสกูรเงินแก่ฮ๋งซาง หลังจากนั้นหยินหลิ่วจึงออกไปส่งฮ๋งซางอย่างเป็นกันเอง
ป๋ายฮุ่ยมองดูกล่องๆ นั้นแล้วเอ่ยถาม “เอ้อร์เส้าหน่ายนาย กล่องนี้เอาอย่างไรดีเจ้าคะ”
หลินหลันมองดูกล่องนั้นซึ่งทาเคลือบด้วยสีทองง สวยสดงดงาม มีเอกลักษณ์ และสะดุดตาอย่างมากด้วยเช่นกัน นางเผยรอยยิ้มจางๆ แล้วกล่าว “เอาไว้อย่างนั้นเถอะ! เอ้อร์เส้าเหยียของพวกเราไปสอบ มิได้ไปโอ้อวดความร่ำรวย”
ป๋ายฮุ่ยเห็นด้วยอย่างยิ่ง “งั้นข้าน้อยจะเอาไปวางไว้ที่ห้องเก็บของแล้วกันเจ้าค่ะ”
สิ่งของที่คุณชายใหญ่ส่งมาให้ก็ไม่น่าไว้ใจเช่นกัน ไม่ใช่ว่าเขียนไปเพียงไม่กี่ตัวอักษร หัวพู่กันก็หลุดร่วงหมดเสียแล้ว
หลินหลันพยักหน้าเป็นเชิงอนุญาต
น่าสงสารก็แต่ติงหลั้วเหยียนที่เปลืองแรงกายแรงใจปักลายซื่อเหอหรูอี้มาเสียขนาดนี้กลับถูกวางไว้บนชั้นสูงเท่านั้น
วันถัดมา หลินหลันและหลี่หมิงอวินตื่นขึ้นแต่เช้าตรู่
หลี่หมิงอวินอยู่ในชุดสีน้ำเงิน แสดงให้เห็นรูปลักษณะสง่างามเป็นเอกลักษณ์ หลายวันมานี้เขาไม่ได้อ่านตำราจนดึกดื่นแต่อย่างใด เมื่อได้เข้านอนแต่หัวค่ำจึงดูสดใสมีชีวิตชีวาไม่น้อย
หลินหลันยิ้มหน้าบานขณะมองดูเขา “ตื่นเต้นหรือไม่”
หลี่หมิงอวินเลิกคิ้วขึ้นขณะกล่าว “ทำให้ดีที่สุดเป็นอันพอ ส่วนจะสำเร็จหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับโชคชะตา จึงไม่มีอะไรให้น่าตื่นเต้น”
หลินหลันพยักหน้าอย่างพึงพอใจ “คิดได้เช่นนี้ก็ดีแล้ว เพียงทำให้ดีที่สุดก็พอ ส่วนผลลัพธ์นั้นไม่จำเป็นต้องให้ความสำคัญอะไรมันมากมายจนเกินไป”
หลี่หมิงอวินยิ้มเล็กยิ้มน้อย หลินหลันกำลังลดแรงกดดันให้แก่เขา “เข้าใจแล้ว” เขาเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“เอ้อร์เส้าเหยีย เอ้อร์เส้าหน่ายนาย อาหารเช้าจัดเตรียมเรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ” หยินหลิ่วเข้ามารายงาน
“ไปกันเถอะ! กุ้ยซ่าวทำอาหารดีๆ ไว้มากมายตั้งแต่เช้าตรู่ เจ้ากินให้เยอะๆ หน่อย ต่อจากนี้อีกหลายวันจะได้กินแต่พวกอาหารแห้งเท่านั้นแล้ว”
ทั้งสองเดินตามกันติดๆ ออกไปห้องนอน
อาหารวางเรียงอยู่บนโต๊ะเรียบร้อยแล้ว มันหลากหลายเสียยังกว่างานเลี้ยงเสียด้วยซ้ำ กุ้ยซ่าวทำขนมนึ่ง ซึ่งให้ความหมายแอบแฝงว่า ก้าวหน้ายิ่งๆ ขึ้นไป แล้วยังมีไก่ผัดเกาลัด ซึ่งให้ความหมาย สมดั่งปรารถนา โจ๊กห้าธัญพืช ให้ความหมาย คำอวยพรในงานมงคลสมรส… โดยรวมๆ ถือว่าเป็นอาหารมงคลทั้งสิ้น
ภายใต้การดูแลอย่างกระตือรือร้นของหลินหลันและแม่โจว หลี่หมิงอวินกินทุกอย่าง อย่างละนิดละหน่อย นำอาหารมงคลทั้งหมดใส่ลงไปในกระเพราะของเขา
หลังทานอาหารเช้าเป็นที่เรียบร้อย หลินหลันออกไปส่งหลี่หมิงอวินถึงประตูทางเข้าออกของจวน
หลี่หมิงเจ๋อและติงหลั้วเหยียนอยู่ตรงนั้นก่อนหน้าแล้ว หลี่จิ้งเสียนก็ออกมาส่งด้วยเช่นกัน
เมื่อหลี่หมิงเจ๋อมองเห็นหมิงอวินออกมาแล้ว จึงกล่าวขึ้นด้วยรอยยิ้มเบิกบาน “น้องรองเดินมาอย่างใจเย็นและเห็นได้ว่ามีจิตใจอันสดชื่นแจ่มใสยิ่งนัก ชัยชนะการสอบครั้งนี้คงอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อมอย่างแน่แท้”
หลี่หมิงอวินยกมือขึ้นคาราวะ “ต้าเกอมาแต่เช้าตรู่เช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าเตรียมตัวมาเป็นอย่างดีเช่นกัน คงแทบอดใจรอมิไหวที่จะเข้าร่วมการสอบครั้งนี้ จะได้แสดงความสามารถที่มีอย่างเต็มสินะขอรับ”
หมิงเจ๋อส่งเสียงหัวเราะ “ขอให้โชคดีเช่นน้องรองว่าแล้วกัน”
หลี่จิ้งเสียนกล่าวด้วยเสียงอันหนักแน่นและเปี่ยมไปด้วยความรักใคร่ “การสอบครั้งนี้ ฮ่องเต้ให้ความสนใจเป็นพิเศษ พวกเจ้าต้องทำมันอย่างรอบครอบและใจเย็นเข้าไว้ พอจะรอข่าวดีของพวกเจ้าอยู่ที่บ้าน”
ทั้งสองยกมือกำหมัดแสดงท่าคาราวะ และกล่าวอย่างพร้อมเพียงกัน “ลูกจดจำขึ้นใจแล้วขอรับ”
ติงหลั้วเหยียนเฝ้าดูทั้งสองจากไปด้วยกัน ภายในใจเต็มเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกนานาประการ คาดหวังว่าหมิงอวินจะคว้าชัยชนะเป็นที่หนึ่ง และหวังว่าหมิงเจ๋อจะประสบความสำเร็จด้วยเช่นกัน!
——
[1] ซื่อเหอหรูอี้ (四合如意)เป็นการเชื่อมกันของคำว่าหรูอี้ 4 คำ จัดอยู่รอบ 4 ด้าน เป็นสัญลักษณ์ของการที่เรื่องต่างๆ ได้ดั่งใจ