ตอนที่ 78 รู้สึกเสียใจมาก

ปฏิญญาค่าแค้น

หลี่จิ้งเสียนเดินดุ่มๆ ด้วยความโกรธเกรี้ยวตรงไปยังโถงหนิงเฮ๋อ 

 

 

ฮานชิวเยว่เห็นสีหน้าดุดันของผู้เป็นสามี จึงรู้สึกใจคอไม่ดี ไม่ทันให้บรรดาข้ารับใช้ออกไปก่อน ผู้เป็นสามีก็ตรงปรี่เข้ามาทางนางเสียแล้ว ยกเท้าขึ้นเตะเข้าไปบริเวณใจกลางหน้าอก ส่งผลให้นางกระเด็นละลิ่วลอยไปกระแทกลงบนโต๊ะ จนโต๊ะอาหารที่จัดเตรียมไว้อย่างดิบดีพลิกคล่ำ 

 

 

ข้ารับใช้ซึ่งอยู่ภายในห้องต่างเผยสีหน้าตื่นตกใจ ไม่เคยเห็นนายท่านระเบิดอารมณ์อย่างใหญ่โตเสียขนาดนี้ถึงขั้นจะเตะเข้าไปยังใจกลางหน้าอกของฮูหยิน แล้วยังจะมีผู้ใดกล้าปริปากออกไปอีกหรือ แม่เจียงซึ่งถือว่าได้รับความนับถือพอตัวในจวนแห่งนี้ โดยปกติก็ยังสามารถพูดอะไรบ้างเมื่ออยู่ต่อหน้านายท่าน นางพยายามทำใจสู้ก้าวเข้าไปเบื้องหน้าเพื่อช่วยประครองนายหญิง “ฮูหยิน ท่านไม่เป็นอะไรนะเจ้าคะ!” 

 

 

ฮานชิวเยว่จับบั้นเอว เจ็บปวดจนหยาดน้ำตาเอ่อคลอรอบดวงตา แต่ที่เจ็บปวดไปกว่านั้นคือหัวใจของนาง ผู้เป็นสามีเตะนางต่อหน้าข้ารับใช้มากมายเช่นนี้ แล้วจะให้นางเอาหน้าไปไว้ที่ไหน หลังจากนี้จะเป็นผู้ดูแลบ้านได้อย่างไรกัน ฮานชิ่วเยว่เตรียมอ้าปากเพื่อระบายความเศร้าเสียใจ 

 

 

กลับได้ยินผู้เป็นสามีตะคอกใส่ด้วยเสียงดุดัน “เจ้าหุบปากซะ” 

 

 

ฮานชิวเยว่ปิดปากลงทันทีด้วยความตื่นกลัว และตัวของนางก็เริ่มสั่น 

 

 

“ใครก็ได้ เรียกคนในห้องครัวมาให้หมด” หลี่จิ้งเสียนกล่าวด้วยเสียงดังกึกก้อง 

 

 

มีคนรับหน้าที่วิ่งไปเรียกแม่ชิวซึ่งประจำอยู่ห้องครัวในทันที ไม่นานนัก แม่ชิวก็พากลุ่มข้ารับใช้มาพร้อมกันอย่างว่องไว และพร้อมใจกันคุกเข่าอยู่ด้านนอกประตูห้อง 

 

 

หลี่จิ้งเสียนกวาดสายตาคู่คบกริบดั่งคมมีดไปยังผู้คนกลุ่มนั้นพลางเอ่ยถามเสียงเข้ม “ใครเป็นผู้ตุ๋นซุปโสมให้แก่เอ้อร์เส้าเหยีย” 

 

 

แม่ชิวเหลือบมองไปยังฮูหยินที่ยังคงนั่งอยู่บนพื้นอย่างอับอายขายหน้า แล้วเอ่ยตอบด้วยเสียงสั่นเครือ “เป็น…เป็นบ่าวเองเจ้าค่ะ” 

 

 

หลี่จิ้งเสียนเอ่ยถามขึ้นอีกครั้ง “ผู้ใดเป็นคนนำไปส่ง” 

 

 

จิ้งเซียงคลานเข่าขึ้นไปเบื้องหน้าสองฝีก้าว เอ่ยด้วยเสียงอู้อี้ “เป็นข้าน้อยเองเจ้าค่ะ” 

 

 

“ใครก็ได้ นำตัวสองคนนี้รวมถึงแม่เจียงลากออกไปลงไม้โบยยี่สิบไม้โบย ผู้ดูแลจ้าว เจ้าช่วยจับตาดูไว้ หากลงไม้เบาไปสักหนึ่งไม้โบย โทษทั้งหมดจะลงไปที่ตัวเจ้าแทน” 

 

 

แม่เจียงหวาดกลัวจนเข่าอ่อน ฟุบลงด้านข้างของนายหญิง ไม่คาดคิดว่า กระทั่งนางนายท่านก็ยังต้องการลงไม้โบย ไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรดีไปชั่วขณะ หรือควรตะโกนร้องขอความยุติธรรม แต่ก็เกรงว่าทันทีที่ร้องตะโกน ก็จะยิ่งทำให้นายท่านโกรธเกรี้ยวเข้าไปใหญ่ หากไม่ร้องตะโกน ตนเองก็เป็นอันได้รับโทษโบยนี้อย่างแน่นอน ยี่สิบไม้โบยที่ฟาดลงมา คงได้ทำให้กระดูกหญิงชราอย่างนางแตกหักจนไม่เหลือชิ้นดีหรอกหรือ 

 

 

ฮานชิวเยว่ร้อนรนใจ กล่าวทั้งน้ำตาด้วยความเศร้าเสียใจ “เหล่าเหยีย ท่านพ้นประตูเข้ามาก็ระเบิดอารมณ์โดยไร้เหตุไร้ผล ต่อให้เฉี้ยะเซินทำผิดอันใด อย่างน้อยๆ ท่านก็ควรบอกกล่าวให้เข้าใจ เฉี้ยะเซินจะได้ปรับปรุงตัว…” 

 

 

หลี่จิ้งเสียนหันกลับไปตะคอกอย่างดุดัน “เจ้าไม่ต้องใจร้อนไป หลังจัดการพวกข้ารับใช้โง่ๆ พวกนี้แล้ว ลำดับต่อไปก็คือเจ้า” 

 

 

ภายใต้ความโมโหโกรธาดั่งพายุทอนาโดของนายท่านประจำบ้าน ข้ารับใช้ซึ่งไม่รู้เรื่องรู้ราวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่างพากันมึนงงสับสน ขณะที่ผู้รู้อยู่แก่ใจเหล่านั้น กำลังหวาดกลัวเป็นอย่างยิ่ง 

 

 

“ยังมั่วแข็งทื่ออยู่ในนี้กันทำไมอีกหรือ ลากออกไปโบยเสียสิ” หลี่จิ้งเสียนกล่าวด้วยเสียงดังกังวาน 

 

 

ในเมื่อนายท่านมีคำสั่ง แล้วผู้ใดจะกล้าขันขืน ในเวลาเช่นนี้ ไม่จำเป็นต้องเข้าใจรายละเอียดของเรื่องราวต่างๆ แค่ทำตามคำสั่งของนายท่านอย่างเคร่งครัดเท่านั้นเป็นพอ มิฉะนั้น ลำดับต่อไป ผู้ที่จะถูกโดนโบยไม้อาจเป็นตนเองก็ได้ 

 

 

ผู้ดูแลจ้าวรีบแสดงท่าทางเป็นสัญญาณให้ลากตัวทั้งสามคนออกไป 

 

 

ที่น่าตลกคือ ทั้งสามไม่มีผู้ใดร้องโวยวายเลยแม่แต่คนเดียว กลับยอมให้นำตัวไปแต่โดยดี อาจเป็นเพราะตื่นกลัวกระทั่งลืมร้องขอความยุติธรรมแล้วก็ได้ หรืออาจเป็นเพราะรู้อยู่แก่ใจว่าโทษยี่สิบไม้โบยนี้นับว่าเป็นโทษสถานเบาแล้ว 

 

 

หลี่จิ้งเสียนไล่ข้ารับใช้ทั้งหมดออกไป นัยน์ตาคู่ดุดันจ้องมองฮานชิวเยว่ไม่วางตา อยากจะประเคนเท้าให้นางอีกสักสองที เขาเดินวนไปมาสองสามรอบด้วยความโกรธและกำหมัดเอาไว้แน่น 

 

 

ฮานชิวเยว่มองตามฝีก้าวที่กำลังเคลื่อนไหวของผู้เป็นสามีด้วยจิตใจกระวนกระวายไม่เป็นสุข ผู้เป็นสามีออกคำสั่งการลงโทษโดยไม่ถามไถ่ ก็ไม่รู้ว่าว่าผู้เป็นสามีจะลงโทษนางอย่างไร 

 

 

ในที่สุดฝีก้าวของหลี่จิ้งเสียนก็หยุดชะงักลง “เจ้านังสารเลวผู้มีจิตใจต่ำทราม เจ้าทำให้เยี่ยซินเหว่ยโกรธจนจากไปยังไม่เท่าไหร่ ตอนนี้กระทั่งหมิงอวินก็ยังไม่ปราณี ยังดีที่หมิงอวินชะตาแข็ง หากเขาตายไป เจ้าคิดหรือว่าเจ้าจะหนีรอดไปได้ พวกเราทั้งตระกูลได้ถูกฝั่งลงดินตายตามไปหมดแน่” 

 

 

ฮานชิวเยว่กล่าวอย่างเศร้าโศก “เหล่าเหยีย เรื่องนี้ ท่านช่างไม่ให้ความยุติธรรมต่อเฉี้ยะเซินเลย เฉี้ยะเซินโง่เขลาเพียงได้ก็ไม่อาจทำเรื่องโง่ๆ ชนิดนี้ลงไปได้ เฉี้ยะเซินยอมรับว่าเป็นเฉี้ยะเซินที่ดูแลหละหลวม จนก่อความผิดพลาดบางประการ แต่หากกล่าวว่าเฉี้ยะเซินมีใจประสงค์ร้ายต่อหมิงอวิน ฟ้าดินมีตา เฉี้ยะเซินกระทั่งคิดก็ไม่เคยคิดเลยนะเจ้าคะ…” 

 

 

หลี่จิ้งเสียนซึ่งกำลังโกรธจนควันแทบออกหูสาวเท้าเดินเข้าไปใกล้สองฝีก้าว ฮานชิวเยว่ด้วยคิดว่าผู้เป็นสามีต้องการเตะนางอีกครั้ง จึงงอตัวหลบด้วยความตกใจ เนื้อตัวสั่นด้วยความตื่นตระหนก 

 

 

“เจ้ายังปากแข็งอีก เจ้าคิดว่าหมิงอวินไม่มีหลักฐานอยู่ในมืองั้นหรือ เจ้าคิดว่ากลอุบายของเจ้านั่นสองคนเขาจะมองไม่ทะลุปรุโปร่งงั้นหรือ หมิงอวินยังรู้จักไว้หน้าตระกูลหลี่ ไม่ตรวจสอบอย่างจริงจังต่อเรื่องนี้ เจ้ายังแสร้งทำเป็นตีโพยตีพายและไม่รู้เรื่องรู้ราวตรงนี้อยู่ได้ รู้แต่แรกว่าการเอาเจ้าไว้ก็ไม่ต่างจากมหันต์ภัยร้าย และก็เป็นดังที่คาดคะเนไว้จริงๆ วันนี้เจ้าเก็บข้าวของไปซะ…” 

 

 

ฮานชิวเยว่ยังคงนั่งตัวแข็งทื่ออยู่บนพื้น กล่าวด้วยความตื่นกลัว “เหล่าเหยีย นี่ท่านต้องการ…เลิกรากับเฉี้ยะเซินหรือเจ้าคะ” 

 

 

หลี่จิ้งเสียนสบถฮึอย่างหนักแน่น “ก็เจ้าดันทำเรื่องต่ำทราบพวกนี้ เลิกรากับเจ้าสักสิบหนยังน้อยไป หมิงเจ๋อมีแม่แบบเจ้า ชีวิตถึงได้โชคร้ายมาสิบแปดปีนี่ไง” 

 

 

ความจริงแล้วที่หลี่จิ้งเสียนต้องการจะพูดมากที่สุดคือ การได้เมียอย่างเจ้า ชีวิตเขาถึงได้โชคร้ายมาถึงสิบแปดปีแล้ว แต่ก็เกรงว่าจะเป็นการซ้ำเติมฮานชิวเยว่ที่บอบช้ำอยู่แล้วไปกันใหญ่ และในเมื่อจุดอ่อนของตนถูกนางจับได้ ซึ่งนางอาจพาลหาเรื่องต่อสู้ให้เขาติดร่างแหไปด้วย หมิงเจ๋อเป็นแก้วตาดวงใจของฮานชิวเยว่ จึงต้องอาศัยการหยิบหยกเรื่องหมิงเจ๋อขึ้นมาต่อรองเท่านั้น ฮานชิวเยว่ถึงยอมจำนน 

 

 

ฮานชิวเยว่ตื่นตกใจจนสีหน้าถอดสี ครั้งนี้นางหวาดกลัวขึ้นมาจริงๆ เสียแล้ว นางโวยวายทั้งน้ำตา “เหล่าเหยีย ท่านไม่สามารถตัดสินเฉี้ยะเซินโดยไม่ถามไถ่กันสักคำนะเจ้าคะ หมิงอวินพูดอะไรท่านก็เชื่องั้นหรือ ท่านมิใช่ไม่รู้ว่าหมิงอวินเคี้ยดแค้นต่อเฉี้ยะเซินมาโดยตลอด และอยากจะขับไล่เฉี้ยะเซินไปใจจะขาด ใครจะไปรู้ว่านี่อาจเป็นกลอุบายของหมิงอวินที่สร้างขึ้น เหล้าเหยีย ท่านต้องตรวจสอบให้กระจ่างนะเจ้าคะ! วันนี้เขาขับไล่เฉี้ยะเซินออกไปแล้ว รอวันที่เขาผ่านการสอบได้สำเร็จ คู่ต่อสู้ต่อไปก็คงเป็นเหล้าเหยีย…” 

 

 

หลี่จิ้งเสียนรู้ดีว่าฮานชิวเยว่สามารถทำผิดให้เป็นถูกได้เสมอ ทว่าคำพูดนี้ ยังทำให้เขาอดหวั่นใจตามไม่ได้ หมิงอวินจะมองเขาเป็นคู่ต่อสู้จริงหรือ หลี่จิ้งเสียนขมวดคิ้วทันที 

 

 

ฮานชิวเยว่เห็นว่าผู้เป็นสามีคล้ายกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง จึงรู้ได้ว่าตนเองพูดได้ถูกทางแล้ว ไม่รีรอที่จะใส่ไฟโจมตีเข้าไปอีก โดยการปล่อยประโยคหมัดเด็ด “ต่อให้หมิงอวินไม่ได้คิดเช่นนี้ คนข้างกายของเขาบางคนก็เป็นคนชักใยเขาอยู่ดี ท่านอย่าลืมสิว่า ตระกูลเยี่ยจงเกลียดท่านเข้ากระดูกดำน่ะ!” 

 

 

หลี่จิ้งเสียนตื่นตระหนกขึ้นอีกระรอก ค่อยๆ หย่อยตัวนั่งลง ภายในใจเต็มไปด้วยความสับสน ถูกต้อง ตระกูลเยี่ยจงเกลียดเขาเข้ากระดูกดำ หมิงอวินกับตระกูลเยี่ยก็มีความใกล้ชิดกันมากขนาดนี้ เป็นเรื่องยากที่จะหลีกเลี่ยงหมิงอวินไม่ให้โดนตระกูลเยี่ยเป่าหูยุยง ทว่า หากตระกูลหลี่พังทลาย สำหรับตัวเขาเองก็ไม่ได้ประโยชน์แต่อย่างใด อนาคตของเขาก็จะพังทลายลงไปเช่นกัน ไม่ เป็นไปไม่ได้หรอก ถึงอย่างไรหมิงอวินก็คือบุตรชายของเขา…แต่อย่างไรก็ตาม ยังคงต้องคอยสกัดกั้นตระกูลเยี่ยเอาไว้ 

 

 

หลังได้ลองคิดชั่งน้ำหนัก หลี่จิ้งเสียนก็ค่อยๆ กระจ่างแจ้งขึ้น ขอเพียงฮานชิวเยว่ไม่สร้างปัญหาก่อกวนอีก และปฏิบัติต่อหมิงอวินด้วยใจจริง หมิงอวินจะไม่ทำเรื่องอะไรซึ่งเป็นการผิดต่อตระกูลหลี่ ต้นตอปัญหาทั้งหมดอยู่ที่ฮานชิวเยว่นั่นเอง 

 

 

หลี่จิ้งเสียนมองไปยังฮานชิวเยว่อย่างวางมาดสง่าผ่าเผย และกล่าวด้วยเสียงเย็นชา “ข้าเห็นว่า เป็นเจ้ามากกว่าที่คิดยั่วยุความสัมพันธ์ระหว่างพ่อลูกของเรา เจ้าช่วยตาสว่างไว้หน่อย หากเจ้ายังอยากเป็นภรรยาหัวหน้าราชเลขาที่ทำให้เจ้าสุขสบาย ยังอยากให้หมิงเจ๋อหมิงจูมีอนาคตที่ดี และในใจเจ้ายังคงมีครอบครัวนี้อยู่ ในสายตาเจ้ายังมีข้าเป็นสามี เจ้าก็ควรทำตัวให้ซื่อสัตย์ อย่าได้ใช้เล่ห์กลและความคิดที่ไม่ดีอะไรอีก หากไม่เช่นนั้นล่ะก็ ข้าก็ไม่สนเล่ห์กลในมือของเจ้าเช่นกัน หากเจ้าทำลายครอบครัวนี้ ข้าก็จะทำลายเจ้าให้สิ้นซากเสียก่อน” หลี่จิ้งเสียนกล่าวเตือนอย่างแข็งกร้าว 

 

 

เมื่อฮานชิวเยว่ได้ยินคำเตือนอันรุนแรงเช่นนี้ จึงรู้ได้ทันทีว่าสถานการณ์ใหญ่โตได้จบลงแล้ว ทำได้เพียงแสดงออกอย่างน่าสงสาร ก้มหน้าก้มตาอย่างเจียมเนื้อเจียมตัว “เฉี้ยะเซินจำขึ้นใจแล้วเจ้าค่ะ” 

 

 

“คืนนี้เจ้าจัดการเก็บข้าวของซะ แล้วไปพักอยู่ที่บ้านในเขตชานเมืองสักระยะ ไว้รอให้หมิงอวินจัดงานมงคล เจ้าค่อยกลับมา” 

 

 

ฮานชิวเยว่เงยหน้าขึ้นอย่างเศร้าใจ ทว่าเมื่อสบเข้ากับดวงตาอันแหลมคมของผู้เป็นสามีที่จ้องกลับมาเธอก็รู้สึกท้อใจในทันที ครั้งนี้ถือว่าพ่ายแพ้ไป ก็ได้ๆ อนาคตยังอีกยาวไกล แค้นนี้ต้องได้รับการชำระ 

 

 

ในเรือนหลั้วเซี๋ยจาย หรูอี้บอกเล่าเหตุการณ์ที่ได้นำกับข้าวไปส่งยังโถงหนิงเฮ๋อโดยเอ่ยอย่างละเอียดให้แก่นายน้อยและนายหญิงน้อยได้รับทราบ 

 

 

หลินหลันพอจะจิตนาการสีหน้าอารมณ์ของแม่มดชราว่ามันช่างบรรเจิดเพียงใด หลินหลันถอนหายใจแล้วกล่าว “น่าเสียดายซุปงูเหล่านั้น ของดีๆ ทั้งนั้นน่ะ!” 

 

 

หลี่หมิงอวินคาดไม่ถึงว่านางจะรู้สึกถอนหายใจออกมาด้วยเรื่องเช่นนี้ จึงเอ่ยทั้งรอยยิ้ม “เจ้าอยากกิน ไว้รอข้าสอบเสร็จจะพาเจ้าไปกินแล้วกันนะ” 

 

 

หลินหลันโบกมือพัลวัน “ไม่ดีกว่านะ อันที่จริงข้าเพียงแค่เสียดายเงินเหล่านั้นที่ได้ใช้จ่ายออกไป วันนี้เห็นงูพวกนั้น แค่คิดก็ขยะแขยงจะแย่ ชั่วชีวิตนี้อย่าคิดว่าจะกินมันลงได้เลย” 

 

 

ความรู้สึกของหลี่หมิงอวินก็ไม่ต่างกัน เขาเคยถูกงูกัดแล้วหนึ่งครั้ง วันนี้ก็ดันถูกงูรายล้อมอีกครั้ง นี่มันช่างเป็นประสบการณ์แห่งความพ่ายแพ้ที่พาลพบครั้งเดียวก็เกินพอ ทว่านี่กลับได้เผชิญมันถึงสองครั้งสองครา 

 

 

แม่โจวเข้ามาให้การรายงาน “เส้าเหยีย เตรียมข้าวของไว้เรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ” 

 

 

หลี่หมิงอวินพยักหน้า “วางไว้ก่อนเถอะ!” 

 

 

หลินหลันกล่าวเสียงอ่อน “ไม่รู้ว่าสถานการณ์ทางด้านนั้นเป็นอย่างไรบ้าง” หากท่านพ่อหลี่ผู้ไร้ยางอายไม่ใช้ไม้แข็ง นางไม่อาจวางแผนปล่อยให้แม่มดชราลอยนวลสบายใจเฉิบไปอย่างนี้ได้ 

 

 

หลี่หมิงอวินจิบน้ำชาอย่างช้าๆ กล่าวด้วยความมั่นอกมั่นใจ “เจ้าวางใจเถิด คงครื้นเครงกันน่าดูทีเดียวเชียว” หากเขาออกไปจากบ้านในช่วงเวลานี้ หากผู้เป็นพ่อยอมให้เขาออกไปจากบ้านจริงๆ เขาจะไม่ไว้หน้าและศักดิ์ศรีอะไรของจวนหลี่นี่อีกต่อไป เพียงแค่เพิ่มการกระทำแฝงนัยยะให้เป็นอันเข้าใจได้อีกนิดหน่อย แรงจินตนาของผู้คนซึ่งมีมากโข ว่าท่านพ่อไม่เกรงกลัวคำติฉินนินทาจากผู้คนรอบข้าง สนใจเพียงปกป้องแม่มดชราอย่างไม่ลืมหูลืมตา ซึ่งข่าวลือที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าจะส่งผลให้ผู้คนสับสนและก่อให้เกิดหายนะได้ในท้ายที่สุด 

 

 

ขณะพูดคุยกันอยู่นั้น จิ่นซิ่ววิ่งกลับเข้ามา หายใจกระหืดกระหอบ ทว่าเป็นใบหน้าซึ่งเผยให้เห็นถึงอาการตื่นเต้นดีใจ 

 

 

“เอ้อร์เส้าเหยีย เอ้อร์เส้าหน่ายนาย… ทางด้านโถงหนิงเฮ๋อตอนนี้กำลังวุ่นวายไปหมด เหล่าเหยียให้นำแม่ชิว จิ้งเซียงแล้วยังมีแม่เจียงรับโทษลงไม้โบยยี่สิบไม้โบยเจ้าค่ะ แถมยังให้ผู้ดูแลจ้าวคอยจับตาดูเอาไว้ โดยไม่ให้ยั้งมือเลยแม้แต่น้อยเจ้าค่ะ ภายหลังต้าเส้าเหยียกับเปี่ยวเส้าเหยียล้วนแห่กันมา ต่างก็ถูกด่าทอกลับไป เหล่าเหยียยังให้คนเก็บข้าวของ สั่งให้ฮูยินออกไปจากเมืองหลวงคืนนี้ เพื่อไปพักอาศัยที่บ้านชานเมืองเจ้าค่ะ ข้าน้อยยังได้ยินอีกว่า ฮูหยินถูกเหล่าเหยียถีบเข้าไปที่ใจกลางอกด้วยนะเจ้าคะ” จิ่นซิ่วนำเรื่องราวที่นางพบเห็นและได้ยินมาบอกเล่าออกมาทั้งหมด 

 

 

เดิมทีเรื่องอย่างเช่นฮูหยินถูกเตะเข้าที่ใจกลางอกเช่นนี้ ไม่สามารถแพร่งพรายออกมาได้เป็นอันขาด ทว่าในตอนนั้นแม่มดชราเองก็ไม่ทันใดปกป้องตนเอง ขณะที่แม่เจียงกำลังถูกลงไม้โบย จึงไม่มีผู้ใดปิดปาก บรรดาข้ารับใช้เลยถือโอกาสที่ยังพูดได้ พูดถึงเรื่องนี้กันออกมา 

 

 

หลินหลันรู้สึกถึงความซะใจที่มีเพียงเล็กน้อยเมื่อได้ยินเรื่องการเตะเข้าไปที่ใจกลางอกนั่น ความเคียดแค้นที่ยังไม่เจือจางยังคงทำให้นางอยากจะด่าทอออกไปสักชุด 

 

 

แม่โจวกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เตะได้เยี่ยมดีจริง” ถึงอย่างไรในห้องนี้ก็ปราศจากคนนอก แม่โจวจึงพูดเสียงดังขึ้นมาอย่างอาจหาญ 

 

 

หลี่หมิงอวินสีหน้าเรียบเฉย มีเพียงรอยยิ้มมุมปากที่แสดงให้เห็นถึงการเยาะเย้ยเท่านั้น ผู้เป็นพ่อเพื่อรั้งเขาให้อยู่ ไม่ลังเลที่จะขับไล่ฮานชิวเยว่ออกไป เห็นทีว่าลูกชายอย่างเขาผู้นี้จะมีอิทธิพลในใจของอยู่เล็กน้อย แต่อย่างไรก็ตาม หลี่หมิงอวินเข้าใจเป็นอย่างดีว่า อิทธิพลของตนเองมิใช่เพราะเขาเป็นบุตรชายของหลี่จิ้งเสียน ทว่าเป็นเพราะ บุตรชายผู้นี้มีอิทธิผลอยู่ไม่น้อย จึงไม่อาจมองข้ามได้ก็เท่านั้นเอง 

 

 

“เอาล่ะ พวกเจ้าแต่ละคนก็ไม่ต้องดีใจออกหน้าออกตาไป พวกเราควรโกรธ ควรเศร้าเสียใจ เข้าใจหรือไม่” หลินหลันกล่าวอย่างอ้อยอิ่ง 

 

 

จิ่นซิ่ว หรูอี้และคนอื่นๆ ยังคงไม่เข้าใจ เหตุใดถึงไม่ควรดีใจล่ะ! ในที่สุดฮูหยินก็ได้รับผลของการกระทำเสียที 

 

 

หลินหลันมองดูพวกนางแต่ละคนสีหน้างุนงง จึงกล่าวอธิบายอย่างใจเย็น “เอ้อร์เส้าเหยียของพวกเจ้าถูกคนทำร้าย แล้วเช่นนี้ไม่ควรเสียใจหรอกหรือ ยิ่งพวกเจ้าเสียใจก็หมายถึงพวกเจ้าโกรธเคืองต่อเรื่องนี้มากเท่านั้น เหล่าเหยียถึงจะได้โกรธโมโหขึ้นไปอีกยังไงล่ะ ครานี้ทุกคนก็จะได้รู้สึกว่าพวกเราช่างไม่ได้รับความเป็นธรรมเอาเสียเลย ขณะที่เกียรติของฮูหยินก็จะยิ่งลดน้อยลงไป เข้าใจแล้วหรือไม่” 

 

 

แม่โจวรู้สึกเลื่อมใสอยู่ลึกๆ จึงกล่าวเสริมขึ้นทันที “เอ้อร์เส้าหน่ายนายสั่งสอนได้ถูกต้องยิ่งนัก พวกเรารู้สึกเสียใจมาก รู้สึกเสียใจมากจริงๆ ” 

 

 

จิ่นซิ่วและคนอื่นๆ พยักหน้าระรัวเช่นกัน “ใช่เจ้าค่ะ รู้สึกเสียใจอย่างมากเลยเจ้าค่ะ” 

 

 

เสียงหัวเราะซึ่งอัดแน่นอยู่เต็มอกจนหลี่หมิงอวินไม่อาจสกัดกลั้นเสียงหัวเราะได้อีกต่อไป หลินหลันช่างเป็นผู้ที่ยอดเยี่ยมเสียจริง