ตอนที่ 79.2 ความผิดปกติของพญายม (2)

สตรีอย่างข้าน่ะหรือ คือขันที?!

เขาคิดทำสิ่งใดกันแน่!?

หรือเขาจะเสียสติไปแล้ว!? เช่นชอบตัดแขนเสื้อ!?

พอคิดถึงตรงนี้ ในใจเล่อเหยาเหยาเป็นเศษซาก กระทั่งพูดจาล้วนตะกุกตะกัก สั่นเทาไม่หยุด

 “ท่า…ท่านอ๋อง บ่า…บ่าวเป็นขันทีขอรับ”

มารดามันเถอะ เธอเป็นขันทีนะ! แม้เขาจะเป็นท่านอ๋องแต่ก็ไม่สามารถรังแกคนพิการ เข้าใจหรือไม่!?

เล่อเหยาเหยากล่าวหาอย่างรุนแรงในใจ ทว่าสำหรับคำพูดของเล่อเหยาเหยา เหลิ่งจวิ้นอวี๋เพียงกระพริบตาชั่วครู่ ก่อนนิ่งเงียบไม่พูดจา

เล่อเหยาเหยาเห็นเขาเวลานี้คล้ายกำลังต่อสู้กับบางอย่างจากในดวงตาของเขา

เมื่อเห็นเช่นนั้น เล่อเหยาเหยาพลันดีใจในใจ

เพราะพญายมอาจจะลังเล อย่างน้อยเขายังต่อสู้ว่าจะทำมิดีมิร้ายเธอหรือไม่ ดังนั้น เวลานี้เธอจึงต้องรีบฉวยโอกาสนี้ไว้!

หลังคิดถึงตรงนี้ เล่อเหยาเหยาพลันกระพริบตาชั่วครู่ ใบหน้าเล็กตกอกตกใจ ท่าทางดูน่าสงสาร สูดจมูก เอ่ยอย่างไม่ได้รับความเป็นอย่างยิ่ง ทว่ายังใจเย็น

 “ท่านอ๋อง แม้บ่าวจะเป็นขันที แต่ก็มีเกียรตินะขอรับ!”

ดังนั้น ท่านจะถือว่าตนเป็นท่านอ๋องแล้ว จะรังแกเธอโดยไม่คำถึงถึงความยินยอมไม่ได้ เข้าใจหรือไม่!?

อีกทั้ง หากเขารังแกเธอจริง ต้องรู้ว่าเธอเป็นผู้หญิง เมื่อถึงตอนนั้นพญายมที่ชื่นชอบบุรุษรับรู้ว่าเธอคือผู้หญิงจะทำเช่นไร!?

ต้องเพราะโมโหอับอายจนตัดหัวเธอเป็นแน่ ดังนั้นเธอจะต้องไม่ให้เรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นเด็ดขาด จากนั้นเล่อเหยาเหยาจึงเพิ่มความรุนแรงขึ้นอีก โดยร้องไห้เสียงดังเซ็งแซ่ขึ้นมา

พูดจะร้องก็ร้องไห้ออกมา โดยไม่ต้องทำอารมณ์ใดทั้งสิ้น เพราะจะพูดอย่างไรก่อนหน้านี้เล่อเหยาเหยาชื่นชอบแสงละครเป็นที่สุด! เรื่องเล็กเช่นการร้องไห้สำหรับเธอ ถือว่าไม่ได้ยากอันใด

ทว่าเธอร้องไห้เช่นนี้ กลับทำให้เหลิ่งจวิ้นอวี๋ตกใจ

แม้เขายอมรับว่าเมื่อครู่เกิดความคิดที่ไม่ดีกับขันทีน้อยตรงหน้า แต่เวลานี้เมื่อเห็นท่าทางร้องไห้อย่างน่าสงสารของ ‘เขา’ ในใจพลันสับสน

โดยเฉพาะเมื่อประโยคนั้นที่ ‘เขา’ เอ่ยออกมาเมื่อครู่อย่างไม่ได้รับความเป็นธรรม ทำให้ในใจเขารู้สึกหงุดหงิด

ถูกต้อง แม้เขาจะเป็นขันที แต่เป็นบุรุษผู้หนึ่ง! เมื่อครู่เขาทำ…ทำเช่นนั้นได้เช่นไร เฮ้อ

พอคิดถึงตรงนี้ และเห็นเล่อเหยาเหยายังร้องไห้อย่างน่าสงสาร ในที่สุดเหลิ่งจวิ้นอวี๋ถึงถอนหายใจออกมาอย่างจนใจ

ก่อนเอ่ยกับเล่อเหยาเหยาที่ยังร้องไห้อย่างน่าสงสารอยู่บนพื้นไม่หยุดว่า

 “เอาเถิด หยุดร้องไห้ได้แล้ว ข้าไม่ทำอันใดกับเจ้า เช่นนี้ใช้ได้หรือไม่!?”

 “ฮือๆ”

เล่อเหยาเหยาตอบเหลิ่งจวิ้นอวี๋กลับไปด้วยเสียงร้องไห้ฮือ

ฮึๆ ท่านไม่ให้ข้าร้อง ข้าต้องหยุดร้อง เช่นนั้นเธอไม่มีศักดิ์ศรีหรอกหรือ!? อาจเพราะโมโหเหลิ่งจวิ้นอวี๋ที่เมื่อครู่ข่มเหงมากเกินไป เล่อเหยาเหยาจึงตั้งใจทำตรงข้ามกับที่เขาสั่ง โดยร้องไห้หนักขึ้น

เหลิ่งจวิ้นอวี๋พอเห็น อดขมวดคิ้วงดงามเล็กน้อยไม่ได้ ทว่าภายในดวงตากลับปรากฎคล้ายทำอะไรไม่ถูกแวบขึ้นมา

เพราะเขาไม่เคยกล่อมผู้ใดมาก่อน ดังนั้นเรื่องการเกลี้ยกล่อมผู้อื่น จึงเป็นเรื่องที่ทำไม่ได้จริงๆ

แต่เขาไม่อยากให้คนด้านล้างร้องไห้ต่อไปอีก แต่เห็นชัดว่าหลังคนด้านล่างได้ยินคำพูดของเขา ร้องไห้หนักขึ้น ขณะหมดหนทาง เหลิ่งจวิ้นอวี๋จงใจทำหน้าเคร่งครึมขึ้นมา ก่อนจะเอ่ยกับเล่อเหยาเหยาอย่างเย็นชาว่า

 “ถ้าเจ้าร้องไห้อีกครั้ง ข้าจะจุมพิตเจ้า!”

 “เอ้อ”

เวลานี้ เล่อเหยาเหยาพลันตกใจ และไม่ร้องไห้ออกมาอีก เพียงเงยดวงตาวาววับคู่นั้นขึ้นมา ก่อนจ้องชายหนุ่มด้านบน ภายในเต็มได้วยความตกตะลึง

ไม่เพียงเล่อเหยาเหยาที่ตกตะลึงในใจ ความจริงเหลิ่งจวิ้นอวี๋แปลกใจไม่หยุดเช่นกัน

โดยเฉพาะเมื่อสบเข้ากับดวงตางดงามที่เต็มไปด้วยความตกตะลึงคู่นั้นของเล่อเหยาเหยา ดวงตาของ ‘เขา’คู่นั้นกระจ่างใสและงดงามไร้เดียงดา ราวกับน้ำพุที่สะอาดบริสุทธิ์ที่สุดบนโลกนี้ กลับดูเข้ากับความชั่วร้ายของเขาขึ้นมา

ไม่นานเหลิ่งจวิ้นอวี๋มีหน้างงงัน สองแก้มแดงก่ำขึ้น ก่อนพลันเห็นเขาหันหน้าออกไปเล็กน้อย

เล่อเหยาเหยาเห็นเช่นนั้น ดวงตาเป็นประกายวาบขึ้น ทว่ากลับไม่คิดสิ่งใด

เพราะเมื่อพญายมพูดเช่นนี้ เธอจะกล้าร้องไห้ได้เช่นไร!

พอคิดถึงตรงนี้ เล่อเหยาเหยาลุกจากพื้นอย่างรวดเร็ว พลันแสร้งก้มหน้าลงตบฝุ่นบนตัว ดวงตาที่งดงามกลับไม่กล้ามองชายหนุ่ม

ส่วนเหลิ่งจวิ้นอวี๋ยังนิ่งเงียบ ในห้องจึงตกอยู่ในความเงียบชั่วขณะ เหลือเพียงเสียงปัดฝุ่นบนเสื้อผ้าของเล่อเหยาเหยา

บรรยากาศค่อยๆ เป็นเป็นอึดอัดขึ้นมา

เพราะหลังผ่านเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ไป ทั้งสองคนล้วนอึดอัดไม่หยุด

หลังผ่านไปนาน เล่อเหยาเหยารู้ว่าหากทำเช่นนี้ต่อไป หมดหนทาง กำลังคิดเอ่ยปากขอตัวออกไป คิดไม่ถึง ทันใดนั้นกลับมีเสียงเบิกบานใจดังเข้ามาจากด้านนอก

 “ศิษย์พี่ใหญ่ เมื่อครู่ข้าคล้ายได้ยินเสียงร้องไห้?!”

จากคำพูดของหนานกงจวิ้นซี สองคนภายในห้องต่างมีท่าทางผ่อนคลายลง ก่อนพลันหันมองหนานกงจวิ้นซีที่ไม่รู้ปรากฎตัวอยู่หน้าประตูเมื่อใดอย่างพร้อมเพรียง

เห็นเพียงหนานกงจวิ้นซีฟื้นตัวได้ดียิ่งนัก เมื่อครู่เขายังถูกคนประคองกลับตำหนักชิงเซี่ยว แต่หลังได้นอนพักผ่อน ร่างกายคล้ายฟื้นคืนชีพกลับมา ความสามารถในการฟื้นตัวนั้น ช่างราวกับแมลงสาบที่ตีไม่ตายที่ทะนงองอาจเสียจริง!

เห็นเช่นนั้นเหลิ่งจวิ้นอวี๋อดเอ่ยถามไม่ได้

 “เจ้าหายดีแล้วหรือ?”

 “โถ่ว ร่างกายข้าอ่อนแอขนาดนั้นหรือ? นอนครู่เดียวก็ดีขึ้นมากมายแล้ว ทว่าศิษย์พี่ใหญ่ เมื่อครู่ท่านยังไม่ตอบข้าเลย เมื่อครู่ผู้ใดร้องไห้หรือ!”

หนานกงจวิ้นซีเอ่ยพูด ก่อนพลันสอดส่งสายตาไปมา เมื่อเห็นใบหน้าของเล่อเหยาเหยาที่อยู่ด้านข้าง ดวงตาดุจดอกท้องดงามนั้นเบิกว้าง ราวกับพบโลกใหม่ ก่อนเอ่ยอย่างไม่เชื่อสายตาว่า

 “ที่แท้เจ้าบ่าวรับใช้นี้เองที่ร้องไห้!”

 “เอ้อ”

บ่าวรับใช้!?

เจ้าสิถึงเป็นบ่าวรับใช้ บ้านเจ้าทุกคนล้วนเป็นบ่าวรับใช้!

แม้เล่อเหยาเหยาจะทราบดีว่าตนตอนนี้มีสถานะเป็นขันที  เป็นบ่าวรับใช้ปรนนิบัติผู้อื่น แต่เธอก็มีเกียรติ ดังนั้นหลังได้ยินคำพูดดูถูกของหนานกงจวิ้นซี จึงโมโหขึ้นมา

มารดามันเถอะ! เธอหน้าตาดูน่ารังแกหรือ!? เหตุใดทุกคนจึงชอบรังแกเธอ!?

ยิ่งคิด ในใจเล่อเหยาเหยาพลันรู้สึกไม่เป็นธรรม จึงย่นจมูก และน้ำตาภายในดวงตาเอ่อล้นออกมาอีกครั้ง น้ำตาแวววาววิบวับนั้นกลิ้งไปมาภายในเบ้าตาเธอไม่หยุด ท่าทางร้องไห้อย่างหนักนั้น ผู้ใดเห็นต่างต้องปวดใจไม่หยุด

กระทั่งหนานกงจวิ้นซีที่เกลียดชังเธอมาตลอดเห็นเข้ายังอดขมวดคิ้วงดงามเล็กน้อยไม่ได้ ก่อนพลันพูดไม่ออก

 “เจ้าบ่าวรับใช้นี้ ร้องไห้อันใด? เป็นบุรุษกลับร้องห่มร้องไห้ราวกับสตรี!”

หนานกงจวิ้นซีนิสัยไม่อินังขังขอบ อีกทั้งเกลียดคนร้องไห้ที่สุด โดยเฉพาะคนที่เป็นบุรุษ!

เล่อเหยาเหยาได้ยินคำพูดของหนานกงจวิ้นซี เพียงเอ่ยอย่างร้ายกาจว่า

 “ท่านอ๋องเจ็ด บ่าวมิใช่บุรุษ”

เพราะเธอเป็นผู้หญิง เดิมทีเป็นเด็กสาว ดังนั้นเด็กสาวไม่มีสิทธิ์ร้องไห้ใช่หรือไม่!

ทว่า คำพูดนี้ของเล่อเหยาเหยากลับทำให้สองตรงนั้นเข้าใจไปอีกความหมาย

เพราะเล่อเหยาเหยาในสายตาของพวกเขาเป็นขันทีผู้หนึ่ง ตอนนี้หนานกงจวิ้นซีพูดเช่นนี้ เห็นชัดเป็นการพูดถึงรอยแผลเป็นของเขา

เมื่อได้ยิน คิ้วของเหลิ่งจวิ้นอวี๋อดขมวดเล็กน้อยไม่ได้ สายตาที่มองหนานกงจวิ้นซีดูคล้ายไม่พอใจ

ส่วนหนานกงจวิ้นซีเพียงยื่นมือลูบจมูกอย่างขันเขินเล็กน้อย เพราะพูดถึงรอยแผลเป็นของผู้อื่นและไม่ได้ตั้งใจ

ดังนั้นหนานกงจวิ้นซีจึงรีบเปลี่ยนเรื่องอย่างรวดเร็ว เอ่ยถามกับเหลิ่งจวิ้นอวี๋ว่า

 “โอ้ จริงสิ ศิษย์พี่ใหญ่ วันนี้ท่านออกไปตรวจสอบว่าเกิดอันใดขึ้นกันแน่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”

หนานกงจวิ้นซีเอ่ยถึงเรื่องศพถูกควักหัวใจ

เมื่อได้ยินหนานกงจวิ้นซีเอ่ยถึงเรื่องนี้ ใบหน้าเหลิ่งจวิ้นอวี๋พลันปกคลุมด้วยความหนักใจ

ก่อนพลันหมุนตัวกลับไปนั่งลงเก้าอี้นอน ส่วนเล่อเหยาเหยาถอยหลังออกไปเตรียมน้ำชา

เมื่อกลับมาได้ยินเหลิ่งจวิ้นอวี๋เอ่ยขึ้นพอดีว่า

 “ที่จริงหลายวันนี้เหม่ยและซิงได้ตรวจสอบอย่างละเอียดแล้ง ยังมีจากวันนี้ข้าไปที่เกิดเหตุ เรื่องชี้ชัดว่าเป็นคดีฆาตกรรมต่อเนื่อง มีคนตั้งใจควักหัวใจหญิงสาวเหล่านั้น และยังไม่รู้ว่าใช้วิธีอันใด ถึงทำให้เลือดทั้งหมดของศพแห้งเหือด”

 “อะไรนะ!? ฆาตกรรมต่อเนื่อง!? พวกคนเสียสติทำหรือไม่?”

เมื่อได้ยินเหลิ่งจวิ้นอวี๋เอ่ยเช่นนี้ หนานกงจวิ้นซีจึงแสดงความเห็นออกมา

เหลิ่งจวิ้นซีได้ยิน เพียงส่ายหน้าอย่างหนักใจ ก่อนเอ่ยว่า

 “ไม่คล้าย! กลับดูราวเป็นฝีมือของพวกลัทธินอกรีต!”

 “ลัทธินอกรีต!?”

เมื่อได้ยิน หนานกงจวิ้นซีสีหน้าเปลี่ยนไปทันที คล้ายกับหวาดกลัวลัทธินอกรีตนี้เล็กน้อย

เพราะหลายปีนี้ไม่เพียงเทียนหยวน กระทั่งแคว้นต้าเซี่ยของเขาเกิดลัทธินอกรีตขึ้นมาไม่น้อย ลัทธินอกรีตเหล่านั้นมักทำเรื่องประหลาด ปรากฏตัวลึกลับ อีกทั้งเรื่องทั้งหมดที่ทำโกรธจนผมชี้ขึ้นมา!

แต่ลัทธินอกรีตเหล่านั้นลึกลับยิ่งนัก แม้ต้าเซี่ยของเขาจะส่งคนมากมายไปสืบสวนอย่างลับๆ กลับตรวจสอบไม่พบสิ่งใดมาโดยตลอด

ดังนั้นเมื่อได้ยินเหลิ่งจวิ้นอวี๋พูดเช่นนี้ สีหน้าของหนานกงจวิ้นซีจึงเปลี่ยนไปอย่างรุนแรง

 “เช่นนั้นศิษย์พี่ทราบว่าพวกลัทธินอกรีตเหล่านี้ควักหัวใจหญิงสาวและเลือดไปทำสิ่งใดหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”

 “เรื่องนี้ ศิษย์น้องยังจำเรื่องเกี่ยวกับลัทธินอกรีตที่ท่านอาจารย์เคยเอ่ยกับพวกเราหรือไม่”

สำหรับคำพูดของหนานกงจวิ้นซี เหลิ่งจวิ้นอวี๋กลับเอ่ยถามกลับไป

 “เรื่อง? เรื่องใด?”

หนานกงจวิ้นซีขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ เห็นชัดว่าลืมไปแล้ว เหลิ่งจวิ้นอวี๋เห็นเช่นนั้น พลันเอ่ยปากออกมาว่า

 “ก่อนหน้านี้อาจารย์เล่าว่า ในลัทธินอกรีตมีตำรับยาประเภทหนึ่ง ว่ากันว่าเพียงใช้เลือดและหัวใจของหญิงสาวร้อยคนมาทำเป็นตัวยา จะสามารถผลิตยาอายุวัฒนะออกมาได้! อีกทั้งยานั้นยังสามารถให้คนตายฟื้นคืนชีพได้ ข้าคิดว่า ครั้งนี้ที่ลัทธินอกรีตสังหารหญิงสาวที่ยังไม่ออกเรือนพวกนั้นอย่างใหญ่โตเช่นนี้ และควักหัวใจดูดเลือดไป ต้องการผลิดยาประเภทนี้แน่นอน”

เหลิ่งจวิ้นอวี๋เอ่ยด้วยสีหน้ามั่นใจ อีกทั้งใบหน้าหล่อเหลานั้นยังหนักใจยิ่งขึ้น

เห็นเช่นนั้น หนานกงจวิ้นซีและเล่อเหยาเหยาที่อยู่ด้านข้าง ก็รู้ว่าเหลิ่งจวิ้นอวี๋กำลังกังวลสิ่งใด

เพราะหากต้องการเลือดของหญิงสาวร้อยคนไปเป็นตัวยา นั่นแสดงว่ายังมีหญิงสาวบริสุทธิ์ที่ต้องถูกทำร้ายสังหารอย่างโหดเหี้ยมอีก…

 “ศิษย์พี่ เวลานี้หญิงสาวเสียชีวิตไปเท่าใดแล้วพ่ะย่ะค่ะ?”

หลังเงียบอยู่นานหนานกงจวิ้นซีจึงเอ่ยถามเรื่องนี้ขึ้นมา

เหลิ่งจวิ้นอวี่ได้ยิน ดวงตาปรากฏความกังวลวาบขึ้นมา ก่อนจะเอ่ยปากอย่างเย็นชาว่า

 “ยี่สิบสี่คน!”

…………………………………………………………………………………