ตอนที่ 137 เลือดสัตว์มันเดือดพล่าน + ตอนที่ 138 มีเงินก็สามารถใช้ผีโม่แป้งได้

อัจฉริยะตัวน้อยกับคุณพ่อสุดโฉด

ตอนที่ 137 เลือดสัตว์มันเดือดพล่าน

เธอลงจากรถไปพร้อมกับจิ่งเป่ยเฉิน พวกเขาเดินเข้าไปที่ประตูใหญ่ ก่อนหน้านั้นโอวหยางลี่ก็ได้ลงมาจากรถพร้อมกับเลขาร่างเพรียวบางซึ่งเดินนำหน้าพวกเขาไปไม่ถึงสองเมตร

เมื่อเดินเข้าไปที่ภายในอาคาร โอวหยางลี่ก็เดินช้าลงทันที ก่อนจะหันหน้ามามองพวกเขา สายตาจับจ้องไปที่อันโหรวและเอ่ยขึ้นว่า “ประธานจิ่งเปลี่ยนเลขาแล้วเหรอ?”

“ก็คงไม่เหมือนกับประธานโอวหยางที่เปลี่ยนคู่ไปมาหรอก” จิ่งเป่ยเฉินเอ่ยตอบ พลางเดินผ่านพวกเขาไปอย่างไม่แยแส โดยไม่มีท่าทีที่จะหยุดเลยแม้แต่น้อย

โอวหยางลี่เกือบจะทนไม่ไหว แน่นอนว่าตัวเขานั้นย่อมโกรธ อารมณ์ของเขาในตอนนี้ขึ้น ๆ ลง ๆ จึงอดไม่ได้ที่จะฉุนเฉียว

โอวหยางลี่หรี่ตามองพวกเขา ก่อนจะโอบเลขาที่อยู่ข้างๆ และก้มหน้าลงเอ่ยถามไปว่า “ฉันขยันเปลี่ยนบ่อยหรือเปล่า?”

“แน่นอนว่าไม่ค่ะ” เลขาเหอหลี่กล่าวด้วยรอยยิ้ม

ในห้องประชุมชั้นแปด จิ่งเป่ยเฉินเดินเข้าไปนั่งลงบนที่นั่งหลัก ทำท่าทางราวกับเป็นนายของที่นี่ คล้ายกับว่าสกุลเห่อในตอนนี้อยู่ในกระเป๋าของเขาไปแล้ว

“ประธานจิ่ง!” เห่อฮวาฮุยเดินเข้ามาพลางตะโกนเสียงดังเรียกจิ่งเป่ยเฉิน ก่อนที่สายตาของเขาจะมองเห็นอันโหรวที่อยู่ทางด้านหลัง จึงเอ่ยทักทายไปว่า “คุณคนสวยก็อยู่ที่นี่ด้วย!”

“สวัสดีค่ะ ฉันเป็นพนักงานของบริษัทจิ่งด้านแผนกการวางแผน อันอีหานค่ะ” เธอไม่คิดเลยว่าเห่อฮวาฮุยจะเรียกเธอว่าคนสวยต่อหน้าคนอื่นมากมายแบบนี้

เขาเอาอะไรไปชมว่ายัยคนนี้สวยกันนะ? เห็นได้ชัดว่าปลอมเปลือก!

“ฟังดูดีนี่! แค่ได้ฟังชื่อของเธอ เลือดสัตว์ของฉันมันก็เดือดพล่านแล้ว!” เห่อฮวาฮุยนั่งลงด้านขวามือของจิ่งเป่ยเฉิน ก่อนจะพูดขึ้นว่า “มา มาเปลี่ยนเสียงให้ผมฟังหน่อยสิ”

อันโหรวถอนหายใจออกมา ก่อนจะหันไปมองจิ่งเป่ยเฉิน แต่ก็พบว่าตัวเขานั้นยังคงเงียบไม่พูดไม่จา

เธอเป็นพนักงานของบริษัทจิ่ง ไม่ควรจะถูกเห่อฮวาฮุยดิ้นไปมาอยู่ใต้จมูกแบบนี้นะ เธอทำอะไรไม่ได้นอกจากจะเค้นเสียงหัวเราะอยู่ในลำคอ ก่อนจะเงียบไม่พูดไม่จาเช่นกัน

“เด็ดเดี่ยวดี! สมกับเป็นคนของประธานจิ่ง!” เห่อฮวาฮุยยกนิ้วโป้งให้อันโหรว ก่อนจะพูดว่า “ประธานจิ่งสอนคนได้ดีเลยนะ!”

“ก็ดี” จิ่งเป่ยเฉินตอบอย่างไม่ใส่ใจ

แล้วมันเกี่ยวข้องอะไรกับเขาด้วย? ทำไมพูดจาไร้ยางอายแบบนั้น!

“พูดอะไรเนี่ย! มีความสุขกันเชียว!” เสียงของโอวหยางลี่ดังขึ้นมาจากด้านหลัง หลังจากนั้นเขาก็ปรากฏตัวขึ้นในสายตาของอันโหรว

มีบางครั้งที่เธอค่อนข้างชื่นชมในตัวของตัวเองเหมือนกัน เนื่องจากในตอนนี้เธอสามารถเผชิญหน้ากับเขาอย่างซึ่ง ๆ หน้าได้แล้ว

เพราะไม่มีความรัก ทุกอย่างจึงสงบนิ่ง

“ประธานโอวหยางเองก็มีเลขาชั้นเลิศอยู่นี่!” เห่อฮวาฮุยยกปากขึ้นเล็กน้อยและพูดขึ้น “นั่ง นั่ง นั่ง อย่าเพิ่งไปไหนมาไหน!”

สิ่งที่เขาบอกว่าชั้นเลิศนั้นคงเปรียบว่าอันอีหานก็เป็นชั้นเลิศเหมือนกันใช่หรือเปล่า?

อา จริงสิ หากเทียบกับชั้นเลิศในด้านความขี้เหร่ละก็ เธอกินขาดอย่างแน่นอน

พวกตระกูลเห่อระดับสูงต่างก็ทยอยเข้ามาทีละคน อันโหรวนั่งอยู่ฝั่งซ้ายของจิ่งเป่ยเฉินที่โต๊ะที่เขียนไว้ว่าบริษัทจิ่ง

เมื่อห้องประชุมถูกปิดลง การประชุมก็ได้เริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการ แต่จริง ๆ แล้วนี่เป็นแค่การแจ้งเพื่อให้ทราบเท่านั้น

เห่อฮวาฮุยมองไปที่หลี่เฉิงด้วยสีหน้าจริงจัง “ผอ.หลี่ ผมรู้ว่าคุณเป็นพนักงานเก่าแก่ของสกุลเห่อ แต่ไม่คิดว่าจะมอบสกุลเห่อให้แบบนี้ ผมเองก็เหมือนกัน แต่ทว่า! คนเรามักจะเผชิญหน้ากับความเป็นจริงอยู่เสมอ สกุลเห่ออยู่ในมือพวกเรา คุณจะจัดการได้นานสักแค่ไหนกัน? ร้อยปีต่อมาให้หลังก็ต้องเปลี่ยนเป็นมือคนอื่นอยู่ดี!”

“ผมจะหาทายาทที่เหมาะสมให้เอง!” หลี่เฉิงไม่ได้ขยับเขยื้อนไปไหน เขาไม่สามารถปล่อยให้สกุลเห่อล้มสลายได้ ตราบใดที่เขายังอยู่

“ผอ.หลี่ คุณหมายความว่าผมกับน้องรองไม่ใช่ทายาท?” เห่อฮวาฮุยเค้นเสียงเย็นชา ก่อนจะพูดว่า “ตอนนี้สกุลเห่อก็ถูกมอบให้แล้ว ประธานจิ่งกับประธานโอวหยางก็อยู่ที่นี่ด้วย ผอ.หลี่ คุณคิดว่าพวกเราควรจะไปบ้านไหนดีล่ะ”

เห่อฮวาฮุยนั่งลงข้าง ๆ เห่อฮวาอวี่ เขามองไปที่จิ่งเป่ยเฉินก่อนจะเหลือบมองไปยังโอวหยางลี่ และค่อย ๆ พูดขึ้นว่า “ผอ.หลี่ คุณต้องเลือกดี ๆ นะ”

“นี่……” หลี่เฉิงเกิดความลังเลเล็กน้อย เขาเอนเอียงไปทางกลุ่มเครือโอวหยางตั้งนานแล้ว เพียงแต่ว่าบริษัทสกุลจิ่งเองก็เป็นบริษัทที่ใหญ่โตไม่แพ้กัน จึงไม่ควรประมาท

นอกจากนี้ถ้าหากต้องการพัฒนาอย่างก้าวกระโดด สกุลเห่อก็ควรเลือกสกุลจิ่ง แม้ว่าข้อดีของสกุลจิ่งจะดีไม่ใช่น้อย แต่ถ้าหากสกุลเห่อได้เข้าร่วมกับสกุลจิ่งแล้ว ทุกอย่างนับจากนี้พวกเขาจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง

จิ่งเป่ยเฉินแน่นอนว่าย่อมเข้าใจเรื่องที่เขาทำเป็นอย่างดี เขาทำแบบนี้ก็เปรียบเหมือนกับเอา ‘ลูกชาย’ ของตนไปอยู่กับตระกูลอื่น และคนผู้นั้นจะไม่มีวันออกจากสกุลจิ่งได้อีกเลย

เขาจะไม่ยอมให้จับจะงอยปากของเขาแน่ ๆ เขานั่งลงด้วยท่าทีที่สงบ แต่ท่าทางของเขากลับเผยให้เห็นออร่าของความเหนือชั้นและดูสกุลดี

แต่ในทางกลับกัน กลุ่มโอวหยางหลังจากการล่มสลายของสกุลอันก็ได้ยึดครองพื้นที่และมีอำนาจอยู่เหนือเมือง A ตระกูลเห่อรู้ดีว่าพวกเขามีอำนาจมากแค่ไหน และไม่อาจรู้ได้ว่าพวกเขาจะพัฒนาไปได้ไกลอีกแค่ไหน

แต่เขาก็ต้องระมัดระวังในคำพูดและการกระทำของเขาด้วย เพื่อไม่ให้เกิดข้อผิดพลาดใด ๆ

………………..

ตอนที่ 138 มีเงินก็สามารถใช้ผีโม่แป้งได้

“ถ้าหากผู้อำนวยการหลี่ตัดสินใจไม่ได้ งั้นผมตัดสินใจเอง” เห่อฮวาฮุยมองไปยังจิ่งเป่ยเฉินและพูดว่า “ประธานจิ่งอย่าลืมร่างสัญญาให้เร็วที่สุดล่ะ!”

“แน่นอน” จิ่งเป่ยเฉินตอบกลับด้วยรอยยิ้ม

“ผู้อำนวยการหลี่ ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาลังเล เงื่อนไขของกลุ่มโอวหยางลี่ของพวกเรา คุณยังไม่พึงพอใจอีกเหรอ?” โอวหยางลี่ได้ฟังคำพูดของเห่อฮวาฮุยก็รู้สึกร้อนใจขึ้นมาทันที

“นี่……” หลี่เฉิงเหลือบมองไปทางซ้าย ก่อนจะมองไปทางขวา มีชายสองคนที่ไม่ง่ายจะล่วงเกิน จิ่งเป่ยเฉินเองก็ไม่ใช่คนที่จะล่วงเกินได้ง่าย ๆ

หากคิดจะลงสนามหยก กลุ่มโอวหยางลี่ย่อมเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดอย่างแน่นอน แต่ว่าโอวหยางลี่ไม่ใช่คนที่มีความสามารถเทียบเท่ากับจิ่งเป่ยเฉิย ถ้าหากเขามอบสกุลเห่อให้กับจิ่งเป่ยเฉินไปละก็ จะต้อง…

“ผอ.หลี่ นี่เป็นธุรกิจของสกุลเห่อของพวกเรา การตัดสินใจของคุณอาจไม่สำคัญถึงขนาดนั้น” เห่อฮวาอวี่เหลือบมองเขาด้วยนัยน์ตาสีดำ พลางจับจ้องไปที่หลาย ๆ คน ก่อนจะพูดว่า “ผมกับพี่ชายตัดสินใจแล้ว ในเมื่อสกุลจิ่งคิดสนใจสร้างความแตกต่างมากมายให้กับตระกูลหยก พวกเราสกุลเห่อก็จะเลือกและยินดีที่จะมอบให้กับสกุลจิ่งเป็นผู้ดูแลต่อจากเรา เพียงแต่ว่าการจะเซ็นสัญญากับประธานโอวหยางคงต้องพูดเลยว่าขออภัยด้วย”

โอวหยางลี่ได้ยินคำพูดของเขาก็รู้สึกกระวนกระวายไม่น้อย เขากำมือแน่นไว้ตรงเข่า แต่ใบหน้ายังคงเผยรอยยิ้มที่อ่อนโยน ก่อนจะพูดว่า “ผอ.หลี่ เรื่องใหญ่ขนาดนี้ คุณไม่คิดจะพูดอะไรสักหน่อยเหรอ?”

“ประธานโอวหยาง อันที่จริง……เรื่องพวกนี้มันทำอะไรไม่ได้แล้ว ผมไม่มีอำนาจมากพอ!” หลี่เฉิงส่ายหน้า ตอนนี้เขาถือว่าเป็นคนนอกโดยสิ้นเชิง

ถ้าหากสองพี่น้องสกุลเห่อร่วมมือกันแบบนี้ แน่นอนว่าหุ้นของพวกเขาย่อมมากกว่าตน และพวกเขาก็ตัดสินใจเลือกคนไปแล้วด้วย

“ไร้อำนาจสิ้นดี!” โอวหยางลี่ลุกขึ้นจากที่นั่ง ก่อนจะมองไปยังจิ่งเป่ยเฉินและพูดว่า “หวังว่าที่พวกคุณโยนหินลงไปในทะเลสาบจะไม่จมลงสู่ก้นบึ้งเร็ว ๆ นี้ก็แล้วกัน”

“เกรงว่าพอถึงตอนนั้นประธานโอวหยางคงได้ผิดหวังแน่ ๆ” จิ่งเป่ยเฉินลุกขึ้นจากที่นั่ง ก่อนจะจัดสูทที่ตัวเองสวมใส่และพูดว่า “ทุกท่านไม่ต้องกังวลไป สกุลเห่อในเมื่อเข้ามาร่วมเป็นส่วนหนึ่งของสกุลจิ่งแล้ว แน่นอนว่าผมจะไม่ทำให้พวกคุณผิดหวัง นับจากนี้จะถือเป็นการร่วมเฉลิมฉลองกับการร่วมมือของบริษัทพวกเรา ในค่ำคืนนี้! นั่วเทียนไม่ต้อนรับแขก!”

“แน่นอน! คุณจิ่งเชิญ!” ที่ห้องประชุมทุกคนต่างก็ทยอยพากันส่งพวกเขาออกไป

ภายในลิฟต์ อันโหรวที่ยืนอยู่ข้าง ๆ มองไปที่ตัวเขาก่อนจะพูดว่า “ทำไมหลี่เฉิงถึงได้เปลี่ยนใจแบบนั้น?”

“มีเงินก็สามารถใช้ผีโม่แป้งได้[1] ต่อให้ยากในการตัดสินใจแค่ไหนก็ย่อมต้องเปลี่ยนใจ” จิ่งเป่ยเฉินเอ่ยด้วยอารมณ์ที่ค่อนข้างคงที่ เขาคิดว่าหากเขาตัดสินใจที่จะซื้อกิจการแล้ว เขาก็ต้องซื้อกิจการนั้นให้ได้ ไม่ว่ายังไงนั่นก็เป็นเรื่องที่น่าขบขันสำหรับตัวเขา

“เพียงแต่ว่าหลี่เฉิงดูเหมือนจะไม่ใช่คนที่จะถูกคุณซื้อได้ง่าย ๆ เลยนะ” เธอเห็นได้ชัดว่าหัวหน้าใหญ่ของเธอถ้าหากจะซื้อตัวก็คงซื้อตัวได้แค่สองพี่น้อง

จริง ๆ แล้วก่อนหน้านั้นก็เกิดการต่อสู้ลับ ๆ ขึ้น แต่ต่อหน้าเม็ดเงินมหาศาลที่อยู่ตรงหน้า ทั้งสองคนก็ได้แต่ประนีประนอมกันและกัน

เงินทองนี่มันช่างเป็นสิ่งที่ล่อใจผู้คนเสียจริง ๆ

เมื่อทั้งสองคนเดินออกจากลิฟต์ เธอก็ก้าวเดินตามหลังเขาไป เมื่อนึกถึงคำพูดของเขาเรื่องงานเลี้ยงที่นั่วเทียน เธอก็เริ่มกังวลใจ

“ประธานจิ่งคะ ฉันยังมีธุระต้องจัดการ ขอตัวก่อนนะคะ คืนนี้ฉันคงไปนั่วเทียนไม่ได้ ยังต้องพาเด็ก ๆ ทั้งสองคนไปไหนมาไหนอยู่!” เธอพูดเพื่อหวังจะอยู่ห่าง ๆ จากเขา เพราะกลัวว่าสายตาที่เย็นชาของเขาจะกวาดมองมา แล้วเธอจะอดไม่ได้ที่ต้องเดินตามเขาไป

แต่จิ่งเป่ยเฉินกลับไม่ได้รั้งเธอไว้แม้แต่น้อย เขาขึ้นรถและออกไปทันที เมื่อเธอเห็นแบบนั้นจึงเรียกรถแท็กซี่เพื่อกลับบ้าน

ตกกลางดึก เมื่อกลับมายังอพาร์ตเมนต์ของหลินจือเซี๋ยว เวลานี้หยางหยางกับหน่วนหน่วนนอนหลับไปแล้ว

อันโหรวพาหลินจือเซี๋ยวเข้าไปอ้วกในห้องน้ำเพราะเห็นว่าเธอเมากลับมาเมื่อครู่ เธอรู้สึกโชคดีที่ไม่ได้ตามไปด้วย ไม่อย่างนั้นละก็ พรุ่งนี้เธอคงไปส่งลูกที่โรงเรียนอนุบาลไม่ได้แน่ ๆ และก็คงไม่ได้เห็นการแข่งขันกีฬาสีของพวกเขาชัวร์

“โหรวโหรว บิ๊กบอสคืนนี้น่ากลัวเกินไปแล้ว ไม่พูดไม่จาอะไรสักคำ ผู้คนต่างก็นั่งเงียบ ๆ ที่มุมอย่างสงบด้วยใบหน้าที่เย็นชา ราวกับว่าพวกเขาทุกคนต่างก็เป็นหนี้นับหลายล้าน” หลินจือเซี๋ยวนอนฟุบอยู่บนชักโครก ก่อนจะอาเจียนสลับกับบ่นไปเรื่อย ๆ

“ล้านต้น ๆ มันไม่อยู่ในสายตาของเขาหรอก อย่างน้อยก็ต้องสักหมื่นล้านโน่น เขาถึงจะเปิดเปลือกตาออกมามองบ้าง” อันโหรวทำหน้าปลอบประโลมเธอด้วยใบหน้าที่สื่อประมาณว่า ‘ฉันเข้าใจดี’ ก่อนจะพูดว่า “วางใจเถอะ เธอไม่มีทางติดหนี้เขาด้วยจำนวนเงินมากขนาดนั้นหรอก”

“ก็จริง เพราะแต่ละเดือนฉันได้แค่…หะ…ห้าหมื่น!” จื่อเซี๋ยวฟุบหลับลงไปกับพื้น ก่อนจะอ้วกออกมาอีกครั้งอย่างบ้าคลั่ง

“ห้าหมื่นนี่มันสูงกว่าเงินเดือนฉันแล้วนะ! เลขาหลินเธอนี่รวยจริง ๆ!” อันโหรวตบหลังเธอเบา ๆ และอยู่กับเพื่อนของตนอย่างเงียบ ๆ

[1] หมายถึง หากใช้เงินเป็นเครื่องล่อใจ ก็สามารถว่าจ้างคนทุกคนให้ทำงานต่าง ๆ ที่เป็นประโยชน์แก่ผู้ว่าจ้างได้ ไม่ว่าผู้รับจ้างจะเต็มใจหรือรู้สึกผิดหรือไม่ก็ตาม