ตอนที่ 139 เด็กกำพร้าไม่มีพ่อ + ตอนที่ 140 ทุกคนล้วนเป็นศัตรูของเขา

อัจฉริยะตัวน้อยกับคุณพ่อสุดโฉด

ตอนที่ 139 เด็กกำพร้าไม่มีพ่อ

วันรุ่งขึ้นหลินจือเซี๋ยวยังคงอยู่บนเตียง อันโหรววันนี้ได้แต่งตัวให้ดูสวย ๆ กับเด็ก ๆ ที่น่ารักทั้งสองคน ก่อนจะพาพวกเขาไปยังโรงเรียนอนุบาล

เมื่อทั้งสามคนมาถึงโรงเรียนอนุบาลก็เป็นที่น่าดึงดูดความสนใจเป็นอย่างมากโดยแทบไม่ตรงสงสัย ใบหน้าของอันโหรวภายใต้แว่นกันแดดตอนนี้ปรากฏรอยยิ้มขึ้นเล็กน้อย “รอก่อน เอาแว่นกันแดดของแม่ไปไม่ได้นะ รู้ไหม?”

เธอต้องออกหน้าป้องกันไว้ก่อน โอกาสแบบนี้แน่นอนว่าต้องมีถ่ายรูปกันแน่ ๆ ถ้าหากถ่ายรูปเธอละก็ มีหวังได้อัปโหลดลงอินเทอร์เน็ต สุดท้ายจิ่งเป่ยเฉินก็ต้องพบเห็น แล้วเธอก็ต้องตายอย่างแน่นอน

“เข้าใจแล้ว แม่จ๋า!” เสียงของทั้งสองคนดังขึ้นประสานกัน

“อืม ดีมาก!” เธอพาเด็กทั้งสองคนเดินเข้าไปข้างในโดยไม่คำนึงถึงสายตาของผู้คนที่มองอยู่รอบ ๆ

ระหว่างทางมีเด็กหลายคนต่างก็ทักทายหยางหยางกับหน่วนหน่วน ซึ่งหน่วนหน่วนก็ตอบรับกลับ แต่ถ้าหากเทียบกับหยางหยางแล้ว เขาเหมือนกับจิ่งเป่ยเฉินมาก เขามักจะเดินโดดเดี่ยวและดูเย็นชาไม่ใช่น้อย

ดูเหมือนว่าเขาจะละทิ้งความเป็นแม่ไปหน่อยหนึ่งแล้ว!

ขณะที่พวกเขากำลังจะนั่งลงก็มีเด็กผู้ชายคนหนึ่งเดินตรงมาที่หน้าของพวกเขาและพูดขึ้น “หน่วนหน่วน พ่อของเธออยู่ไหน? พ่อของเธอเป็นฝรั่งหรือเปล่า? เธอเหมือนพ่อ ส่วนพี่ชายเหมือนแม่ใช่ไหม?”

“ไปเล่นไกล ๆ เลย!” อันหยางเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา

“ทำไมต้องหยิ่งกันด้วย หรือว่าจะเป็นเด็กกำพร้า?” เด็กผู้ชายคนนั้นมองไปรอบ ๆ ก่อนจะเบิกตากว้างและพูดขึ้นว่า “ที่แท้ก็เป็นเด็กกำพร้า!”

“แม่จ๋า……” อันหน่วนเงยหน้าขึ้นมองอันโหรว ถึงแม้ว่าเธอจะไม่รู้ความหมายที่แท้จริงของคำว่าเด็กกำพร้า แต่ก็พอเข้าใจได้ว่ามันสื่อไปในทางที่ไม่ดี

อันโหรวย่อตัวลงและกอดเธอไว้ ก่อนจะมองไปที่เด็กน้อยคนนั้น “หนูจ๊ะ หนูพูดกับคนอื่นไม่สุภาพแบบนี้ไม่น่ารักเลยนะ!”

“แบร่ ๆ“ เขาแลบลิ้นออกมาก่อนจะทำหน้าทำตาล้อเลียนอันโหรวและพูดขึ้นว่า “ไม่มีพ่อก็ต้องเป็นเด็กกำพร้า! แม่ผมพูดมาแบบนี้!”

“ดูเหมือนว่าการศึกษาของผู้ปกครองหนูน่าจะมีปัญหาแน่ ๆ” อันโหรวจับมือของอันหยางไว้ด้วยมือขวา ก่อนจะมองไปด้วยความอบอุ่นและอ่อนโยน ก่อนจะพูดว่า “ชั้นเรียนของพวกหนูอยู่ไหน?”

อันหน่วนพยักหน้าพร้อมกับส่ายหน้าและพูดว่า “แม่จ๋า หนูไม่ชอบเขาเลย!”

“เขาพูดไม่ดี หน่วนหน่วนอย่าไปโกรธเขาเลย หน่วนหน่วนเป็นลูกที่น่ารักที่สุดของแม่จ๋า ไม่ใช่เด็กกำพร้าอะไรพวกนั้นหรอก” อันโหรวแม้จะรู้สึกเจ็บปวดอยู่ในใจ แต่ตอนนี้เด็ก ๆ ทั้งสองคนมีสภาพแวดล้อมในครอบครัวที่ไม่ค่อยดีนัก คำพูดพวกนั้นอาจจะกระทบต่อจิตใจของพวกเด็ก ๆ ก็ได้

ตอนแรกที่มองก็คิดว่าเป็นเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่ผู้คนกลับเริ่มมองมาที่พวกเขามากขึ้น มากขึ้น ก่อนจะพูดคุยและชี้นิ้วมายังพวกเขา

นั่นทำให้เธอเริ่มรู้สึกอึดอัด แล้วจะนับประสาอะไรกับเด็กสองคน

“แม่จ๋า” อันหน่วนดึงแขนเสื้อเธอและพูดว่า “หนูอยากกินน้ำ”

อันโหรวรีบหยิบกระเป๋าและหยิบแก้วสีชมพูของเธอออกมาจากกระเป๋าด้านใน แต่เสียงผู้คนที่ซุบซิบอยู่รอบข้างมันทำให้เธอรู้สึกหงุดหงิดมากจริง ๆ

ถ้ารู้แบบนี้แต่แรกสู้ให้พักผ่อนอยู่ที่บ้านไปเลยจะดีกว่า!

“ทุกคนไปเข้าร่วมงานกันหมดแล้ว พวกเธอไม่ไปก็ไม่ต้องไปนะ เป็นเด็กกำพร้ากันนี่นา!” เด็กน้อยคนนั้นมายืนอยู่ตรงหน้าของพวกเขาอีกครั้ง

“แค่ก แค่ก แค่ก……” หน่วนหน่วนถึงกับสำลัก ดวงตาสีฟ้าหันกลับไปมอง ไม่ช้าน้ำตาก็เริ่มไหลออกมา

อันหยางเมื่อเห็นอันหน่วนร้องไห้ หน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นเย็นชามากขึ้น อันโหรวหยิบกระดาษทิชชูออกมาเช็ดน้ำตาให้ลูกอย่างปวดใจ ก่อนจะปลอบประโลมอย่างช้า ๆ และพูดว่า “นี่หนูจ๊ะ ด่าคนแบบนี้ไม่ดีเลยนะ หรือว่าพ่อแม่ของหนูไม่ได้สั่งสอนกัน?”

“คุณว่าอะไรนะ?” ทันใดนั้นเองก็มีผู้หญิงร่างท้วมคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าของอันโหรว เธอลากเด็กคนนั้นไปไว้ด้านหลังของตนและพูดขึ้นว่า “ก็แค่คำพูดเด็กคนหนึ่ง ผู้ใหญ่จะคิดเล็กคิดน้อยไปทำไม”

“ถ้ายังงั้นฉันกับคุณจะมาเปรียบเทียบกันทำไม? ในเมื่อระดับการศึกษาของฉันก็เหนือกว่าคุณแล้ว!” อันโหรวเอาแก้วน้ำที่หน่วนหน่วนเพิ่งดื่มเสร็จเก็บใส่กระเป๋า ก่อนจะพูดว่า “คุณควรจะให้การสั่งสอนลูกของตัวเองให้ดีกว่านี้ ตอนนี้ยังเป็นแค่เด็กน้อย พูดจาอะไรฉันก็ไม่ได้ถือสานักหรอก แต่ถ้าหากโตขึ้นในภายภาคหน้าแล้วยังใช้คำพูดคำจาแบบนี้ คงไม่ใช่เรื่องดีเท่าไร”

“เธอกล้าดียังไงมาสั่งสอนลูกฉันแบบนี้!” กล้ามเนื้อบนใบหน้าของหญิงร่างท้วมเริ่มสั่นสะเทือนเล็กน้อยเพราะความโกรธ ก่อนจะพูดว่า “ลูกของตัวเองยังไม่มีเวลามาเลี้ยงดูสั่งสอน ดูแลลูกของตัวเองให้ดี ๆ ก่อนเถอะ”

“ใครกล้ามาพูดจาไร้สาระกับคุณที่นี่กัน?” เสียงเข้มดังขึ้นมาจากเหล่าฝูงชนด้านหลัง

…………………..

ตอนที่ 140 ทุกคนล้วนเป็นศัตรูของเขา

อันหยางเหลือบมองผู้ที่กำลังเดินเข้ามา ในที่สุดหัวใจของเขาก็พลันโล่งอก ในที่สุดคนคนนี้ก็มาแล้ว

ผู้คนล้วนจับจ้องไปยังต้นเสียงที่กำลังเดินมา ชายผู้ที่สวมชุดลำลองสีฟ้าอย่างสบาย ๆ แต่ก็ไม่ได้ปกปิดความหล่อเหลาและดูเป็นสง่าได้แต่อย่างใด รูปร่างเพรียวค่อย ๆ เดินตรงมาหาพวกเขา ใบหน้าที่แสนหล่อเหลาและดูไร้เดียงสาค่อย ๆ ปรากฏรอยยิ้มขึ้นจาง ๆ “หยางหยาง”

อันหยางลุกขึ้นและเดินไปหาเขาทันที เด็กน้อยตัวเล็กถูกชายคนนั้นกอด ถังซั่วลูบไปที่ผมของเขาและพูดว่า “ขอโทษทีที่มาสาย ที่หนึ่งพวกนั้นฉันจะให้เธอได้ไปเอง!”

“ดีเลย!” อันหยางยิ้มตอบกลับ

ก่อนหน้านั้นเขาได้แจ้งกับถังซั่วไปว่าจะมีงานประชุมกีฬาสีพ่อแม่ลูก และโชคดีที่เขามา ถึงแม้จะมาช้าไปหน่อยก็ตาม

อันโหรวมองไปที่สองคนนั้นที่ดูราวกับสนิทสนมกันเสียมากมาย เธอรู้สึกว่ามีบางอย่างที่เธอพลาดไปหรือเปล่า

ตอนไหนกันที่หยางหยางกับถังซั่วสนิทสนมกันแบบนี้? ทำไมเธอถึงไม่รู้มาก่อน?

ครั้งที่แล้วก็แค่กิน KFC อย่างเดียวไม่ใช่เหรอ? แถมเร็ว ๆ นี้ก็ไม่ได้เจอหน้ากันอีกด้วย?

เมื่อหญิงร่างท้วมเห็นถังซั่ว แม้ว่าเธอจะไม่ใช่คนที่รู้เรื่องอะไรมาก แต่ก็พอรู้ว่าถังซั่วเป็นคนที่เธอไม่อาจล่วงเกินได้แต่อย่างใด จึงได้พูดไปว่า

“คุณถัง เมื่อครู่เป็นเรื่องเข้าใจผิดค่ะ! เข้าใจผิดจริง ๆ!” เธอก้มหัวโค้งคำนับเพื่อขอโทษ ก่อนจะดึงลูกชายของเธอออกมาด้านหน้า “รีบขอโทษเร็ว!”

“เข้าใจผิด…..ยังงั้นเหรอ?” ถังซั่วกอดหยาง ๆ ก่อนจะนั่งลงข้าง ๆ อันโหรวและพูดว่า “ถ้าพ่อแม่ไม่อาจสั่งสอนได้ งั้นก็นับว่าเป็นความผิดของอาจารย์ของเราเหมือนกัน ดูเหมือนว่าลูกชายของคุณกับโรงเรียนอนุบาลสายรุ้งของพวกเราจะดูไม่มีวาสนาต่อกันแล้วสิ! งั้นวันนี้ทำเรื่องลาออกได้เลยนะ!”

“แม่ครับ ผมไม่ไป ผมไม่เอา!” เด็กคนนั้นเอามือชี้ไปยังอันหน่วนและพูดว่า “ฉันไม่เชื่อหรอกนะว่าเขาจะเป็นพ่อของเธอ พ่อของเธอเป็นคนต่างชาติไม่ใช่เหรอ!”

“ปู่น้อย หยุดพูดได้แล้ว!” เธอรีบเอามือปิดปากของเด็กชาย ก่อนจะพูดว่า “คุณถัง เดี๋ยวเราจะไปกันทันที ไปกันเถอะ!”

“เหอะ ไม่รู้จักกรรมพันธุ์หรือไง? แย่มากเลยนะที่ไม่ได้เรียนรู้เรื่องนี้” ถังซั่วคร้านเกินกว่าจะมองพวกเขาอีกต่อไป ก่อนจะหันหน้ามามองยังอันโหรวและหน่วนหน่วน และพูดว่า “ขอโทษด้วย พอดีติดธุระนิดหน่อยเลยมาช้า!”

“ไม่เป็นไร” อันโหรวตอบอย่างราบเรียบ

ในเมื่อโอกาสเป็นเช่นนี้ เธอเองก็คงไม่อาจปฏิเสธอะไรได้

ใบหน้าของหญิงร่างท้วมเมื่อครู่ซีดเผือด เธอรีบอุ้มลูกชายของตน ก่อนจะดึงสามีให้ออกจากโรงเรียนอนุบาลสายรุ้งไปทันที

ในเมือง A ฉีเซิงเทียนเป็นคนที่ไม่อาจล่วงเกินได้ แต่ถังซั่วเองก็เหมือนกัน และก็จิ่งเป่ยเฉินเป็นคนที่ไม่ควรยั่วยุเขา

กิจกรรมของพ่อแม่ลูกยังคงดำเนินต่อไป แต่ดูเหมือนว่าพวกเขาจะกลายเป็นจุดสนใจของผู้คนที่เข้ามากันเป็นจำนวนมาก พวกเขาต่างก็หยุดถ่ายรูปกันทั้งสิ้น

แม้ว่าเธอจะสวมแว่นกันแดดสีดำอยู่ แต่แฟลชก็ยังคงทำให้อันโหรวรู้สึกอึดอัด เธอเอียงศีรษะไปด้านข้างก่อนจะหันไปมองถังซั่วและพูดว่า “รบกวนคุณช่วยบอกให้พวกเขาหยุดถ่ายรูปและออกไปสักทีได้ไหมคะ?”

“แน่นอนว่าไม่มีปัญหา” มุมปากของถังซั่วยกขึ้นเล็กน้อย เขาอุ้มหยางหยางขึ้นมา ก่อนจะพูดว่า “ทุกคนถ่ายรูปกันให้เต็มที่ แต่เรื่องนี้เป็นส่วนตัว หวังว่าทุกคนเมื่อออกไปแล้วจะไม่เผยแพร่รูปออกไปนะครับ ถ้าเกิดว่าผมรู้ว่ามีภาพใดภาพหนึ่งเผยแพร่ออกไป ทุกคนล้วนเป็นศัตรูของผมโดยทันที”

“ทราบ ทราบ…ทราบแล้ว คุณถังพวกเราจะลบรูปออกทันทีเลย!” ผู้คนที่ได้ยินต่างก็ก้มหน้าลงไปลบภาพในโทรศัพท์และภาพในกล้องทันที

“ขอบคุณมาก” เธอรู้สึกขอบคุณจากใจจริง ไม่อย่างนั้นจิ่งเป่ยเฉินต้องรู้เรื่องนี้เข้าอย่างแน่นอน

“แม่จ๋า คุณลุงถังซั่ววันนี้เท่จังเลยค่ะแม่!” หน่วนหน่วนมองไปที่เขา ใบหน้าที่ร้องไห้ตอนนี้กลายเป็นยิ้มไปเสียแล้ว

“แค่วันนี้เท่เหรอ? แล้วก่อนหน้านั้นไม่เท่เหรอครับ?” ถังซั่วเอื้อมมือไปหยิกแก้มน้อย ๆ ของเธอและพูดว่า “หน่วนหน่วนอยากไปเล่นเกมกับคุณลุงไหมครับ?”

“ได้ค่ะ? แต่ว่า… แม่จ๋า!” หน่วนหน่วนเงยหน้าขึ้นไปถามความเห็นของอันโหรว

“ได้สิ” อันหน่วนปล่อยมือจากแม่ของตน ไม่ช้าเด็กน้อยตัวเล็กก็ถูกถังซั่วอุ้มขึ้น ก่อนจะเดินหายไปท่ามกลางฝูงชน

อันโหรวหยิบแก้วน้ำออกมาให้หยางหยางและพูดว่า “ดื่มน้ำหน่อยไหม?”

เขารับแก้วน้ำมาและมองไปที่เธอก่อนจะพูดว่า “แม่จ๋าไม่โกรธเหรอครับ?”

“ไม่โกรธหรอก ลูกของแม่ฉลาดจะตาย!” เธอเอื้อมมือไปลูบที่แผ่นหลังของเขา อันที่จริงช่วงเวลาที่ถังซั่วปรากฏตัวขึ้น เธอก็แอบรู้สึกดีใจที่เขาช่วยทำให้เด็กคนนั้นออกไปได้ เพราะคำพูดของเด็กคนนั้นมันฟังดูแย่จริง ๆ

ยิ่งไปกว่านั้นหยางหยางเป็นพวกอ่อนไหวตั้งแต่ยังเด็ก มักสังเกตเหตุการณ์รอบข้างอย่างละเอียด ส่วนทางด้านหน่วนหน่วนเป็นเด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ถ้าหากได้ยินคำพูดพวกนี้เข้าคงรู้สึกเจ็บปวดไม่ใช่น้อย

เรื่องพวกนี้ใช่ว่าเธอจะไม่คิด

“งั้นแม่จ๋าพวกเราไปเล่นด้วยกันเถอะ! ดูเหมือนตรงนั้นน่าสนใจดี!” หยางหยางวางแก้วน้ำลง ก่อนจะมองเธอด้วยความคาดหวัง