อันหลินกับสวีเสี่ยวหลานลงจากเวทีท่ามกลางเสียงปรบมือทั้งฮอลล์
ผู้ชมมองคู่รักที่เหมือนเดินออกมาจากภาพวาด ในดวงตาฉายความปรารถนาและอาลัยอาวรณ์
ผู้ชมในฮอลล์ค่อยๆ ตื่นจากภวังค์บทเพลงพระคัมภีร์เต้าจ้างเมื่อครู่นี้ ทุกคนต่างก็ตื่นเต้นไม่หยุด
“เพลงนี้ชนะใจฉันไปเต็มๆ เลย”
“ถึงจะฟังเนื้อเพลงไม่ออก แต่ก็เหมือนจะฟังรู้เรื่อง ความรู้สึกพิศวงแบบนี้ ไม่สามารถอธิบายด้วยคำพูดได้…”
“เพราะมากจริงๆ ตอนนี้ทำนองยังติดอยู่ในหัวของฉันอย่างชัดเจน”
“ไม่ใช่แค่เพราะนะ ทั้งชีวิตนี้ยังไม่เคยฟังเพลงที่เพราะขนาดนี้มาก่อนเลย!”
“ไม่รู้ว่าเป็นเพราะสภาพจิตใจหรือเปล่า ฟังเพลงนี้จบแล้วฉันรู้สึกสบายไปทั้งตัว…”
“นักร้องคนนั้นชื่ออันหลินใช่ไหม ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เขาก็คือไอดอลคนที่สองของฉัน! ฉันขอเสิร์ชหาข้อมูลของเขาดูก่อน!” มีคนล้วงมือถือออกมา เปิดเข้าเสิร์ชเอนจิน ค้นหาข้อมูลของอันหลิน
“ถึงจะรู้สึกผิดต่อเสวียเสวี่ย แต่ว่านะอันหลิน ฉันติดตามนายแน่!”
“สาวสวยที่ดีดกู่ฉินก็สุดยอดมากเหมือนกัน ขอข้อมูลส่วนตัวหน่อย…”
“เชอะ ยังจะบอกว่าร้องอะแคปเปลลาอีก ทั้งๆ ที่มีกู่ฉีดบรรเลงร่วม แต่เห็นแก่ที่เสียงกู่ฉินไพเราะ จะยกโทษให้อันหลินก็แล้วกัน…”
“นักร้องที่เสวียเสวี่ยแนะนำด้วยตัวเอง ไม่ธรรมดาจริงๆ”
“เพลงนี้เซอร์ไพร์สจริงๆ แถมยังเป็นบิ๊กเซอร์ไพร์สด้วย!”
การแสดงสดในคอนเสิร์ตกระแสตอบรับดีมาก ผู้ชมทุกคนต่างก็เอ่ยคำชื่นชมของตัวเองออกมาเต็มที่
ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ‘พระคัมภีร์เต้าจ้าง’ ของอันหลิน ชนะใจผู้ชมทั้งฮอลล์แล้ว!
แถมยังได้รับแฟนคลับกลุ่มใหญ่อีกด้วย!
ติ้ง!
ระแบบแสดงแจ้งเตือน ภารกิจพิเศษสำเร็จ!
ได้รับพลังของวิชาญาณทิพย์อย่างเป็นทางการแล้ว!
หลังอันหลินมีวิชาญาณทิพย์แล้ว ก็ดีใจจนกระโดดโลดเต้น เพราะวิชานี้มีประโยชน์มากเหลือเกิน
วิธีการใช้พลังญาณทิพย์แพร่หลาย คล้ายคลึงกับการเปิดตาทิพย์
เขาสามารถใช้พลังญาณทิพย์กับสิ่งของ แยกแยะแหล่งที่มาและวัสดุของสิ่งของได้
เขาสามารถใช้พลังญาณทิพย์กับนักพรตในขณะที่กำลังต่อสู้ วินิจฉัยลักษณะพิเศษของวิชาที่ศัตรูใช้ แม้กระทั่งว่ามองหาจุดอ่อนและช่องโหว่ได้
เขาถึงขั้นว่าสามารถใช้พลังญาณทิพย์กับค่ายกลได้ ประตูเกิด ประตูตาย ศูนย์กลางค่ายกล รวมถึงช่องโหว่ทั้งหลาย เขาสามารถมองออกได้ในปราดเดียว!
วิชาญาณทิพย์นี่มันโปรแกรมโกงชัดๆ!
ถึงว่าผลตอบแท้ยามแพ้คือกลายเป็นเซียนหญิง ความเสี่ยงกับผลประโยชน์เท่าเทียมกันนี่เอง
ตอนนี้ แถบบำเพ็ญตบะของอันหลินมีสองวิชาแล้ว
นอกจากวิชาญาณทิพย์แล้ว ยังมีวิชาอานุภาพ
วิชาอานุภาพเป็นวรยุทธ์รูปแบบเติบโต ยิ่งระดับพลังยุทธ์สูงมากเท่าใด อานุภาพจะยิ่งร้ายแรงมากเท่านั้น
ประโยชน์ของมันน่ะเหรอ…อันที่จริงก็คือปล่อยพลัง
อันหลินในตอนนี้ หากใช้วิชาอานุภาพทำให้นักพรตระดับต่ำกว่ากายแห่งมรรคขั้นห้าหมดสติได้ทันที
ทำให้นักพรตระดับต่ำกว่ากายแห่งมรรคขั้นสิบ สัมผัสได้ถึงแรงกดดันที่ไร้รูปร่าง
พูดง่ายๆ ก็คือ มันเป็นทักษะที่กำจัดลูกกระจ๊อกพ่วงด้วยการเสริมสร้างความเท่ให้ตัวเอง
สำหรับอันหลินในตอนนี้แล้ว พลังนี้ไม่มีประโยชน์มากนัก จำต้องรอระดับพลังยุทธ์เพิ่มขึ้น คุณสมบัติจึงจะเด่นชัด
พูดถึงการเพิ่มพลัง แถบระดับพลังยุทธ์ในระบบเทพสงครามของอันหลิน มีเงื่อนไขต่อการเลื่อนเป็นระดับหล่อเลี้ยงวิญญาณด้วยเช่นกัน
ระดับหล่อเลี้ยงวิญญาณ บรรลุเงื่อนไข ‘กินขุมพลังสัตว์สามเม็ด’
ยังไม่พูดถึงว่าทำไมเขาต้องกินขุมพลังสัตว์ กินแล้วจะตายหรือไม่
แค่การตามหาขุมพลังสัตว์สามเม็ดก็เป็นเรื่องที่ยากเย็นอย่างยิ่งแล้ว
สัตว์ภูตที่มีขุมพลังสัตว์ ความสามารถของพวกมันเทียบเท่านักพรตหล่อเลี้ยงวิญญาณ
การได้มาซึ่งขุมพลังสัตว์อันสมบูรณ์ จำต้องมีพลังเหนือกว่าพวกมันอย่างสิ้นเชิง
เพราะอาวุธมีคมไร้ดวงตา[1] แม้จะสังหารสัตว์ภูตระหว่างการรบ ขุมพลังสัตว์ก็จะแหลกสลายเช่นกัน
ฉะนั้นการได้มาซึ่งขุมพลังสัตว์อันสมบูรณ์ จำต้องใช้วิธีอื่น เอาออกมาจากร่างของสัตว์ภูตด้วยความเร็วปานสายฟ้าฟาด
เรื่องแบบนี้ ความสามารถอย่างอันหลินไม่มีทางทำได้
เขาทำได้แค่กอดขาพี่เฉิงไว้แน่น เมื่อเจอสัตว์ภูต ขอร้องให้พี่เฉิงออกโรง จัดการควักขุมพลังสัตว์ทั้งเป็น!
โลกมีสัตว์ภูตบางตายิ่งนัก ดังนั้นการเลื่อนสู่ระดับหล่อเลี้ยงวิญญาณ ค่อยตัดสินใจเมื่อกลับแดนบรรพกาลแล้ว
อันหลินสงบสติอารมณ์ โยนเรื่องของระบบออกจากสมอง
เขามองผู้หญิงข้างๆ แล้วพูดยิ้มๆ ว่า “เจ้าโผล่มากะทันหัน น่าตกใจยิ่งนักสำหรับข้า! ทำได้อย่างไร”
ใบหน้าขาวผ่องแผ้วของสวีเสี่ยวหลานเปื้อนยิ้ม “ข้าอยู่ในคอนเสิร์ตอยู่แล้ว ตอนแรกอยากมาฟังนักร้องที่โด่งดังที่สุดในแดนมนุษย์ร้องเพลงสักหน่อย ไม่คิดว่านักร้องที่จะขึ้นเวทีคนต่อไปที่นางว่าจะเป็นเจ้า ฮ่าๆ บอกตามตรง ข้าก็ตกใจมากเหมือนกัน! แต่ว่า ตอนหลังพบว่าเพลงที่เจ้าร้องคือ ‘เต้าจ้าง’…เพลงนี้ไม่มีดนตรีได้อย่างไร ข้าจึงขึ้นเวที ไปร่วมแสดงกับเจ้าอย่างไรเล่า”
สวีเสี่ยวหลานมองอันหลินแล้วพูดต่อด้วยรอยยิ้ม
อันหลินได้ยินก็ซาบซึ้งใจยิ่งนัก หากเขาร้องอะแคปเปลลาละก็ คงพูดได้แค่ว่ามีโอกาสทำให้ผู้ชมในฮอลล์เคลิบเคลิ้มได้
ทว่า เมื่อมีเสียงกู่ฉินของสวีเสี่ยวหลาน ทั้งคู่ผสมผสานกันอย่างลงตัวแล้ว ผลลัพธ์เพิ่มขึ้นอย่างเท่าทวี แสดง ‘เต้าจ้าง’ ออกมาอย่างสมบูรณ์แบบ
และเป็นเพราะเหตุนี้ การแสดงครั้งนี้ถึงได้ประสบผลสำเร็จ
เรียกได้ว่าสวีเสี่ยวหลานช่วยปกป้องศักดิ์ศรีความเป็นชายของเขา ปกป้องน้องชายของเขา บุญคุณนี้ต้องตอบแทนให้สาสม!
หลังกลับมาหลังเวที อันหลินก็เจอตงฟางเสวี่ยกับเถียนหลิงหลิง
มุมมองของเถียนหลิงหลิงเปลี่ยนไป เธอมองอันหลินอย่างนับถือชื่นชม วิ่งเข้าไปกอดแขนเขาแล้วพูดเสียงหวานว่า “พี่อัน สอนฉันร้องเพลงหน่อยได้ไหม…”
“อะไรกัน ไม่เรียกฉันว่านักพรตจอมปลอมแล้วเหรอ”
อันหลินหัวเราะหึๆ ใบหน้าฉายความเย้ยหยันของผู้ชนะ
ใครจะรู้ว่าไม้นี้ใช้ไม่ได้กับเถียนหลิงหลิง เธอยังคงวอแวอย่างหน้าไม่อาย
ตงฟางเสวี่ยก็เดินเข้ามาพร้อมกับอาการตกใจเช่นกัน “สหายอันหลิน นายร้องเพลงอะไรกันแน่ พอฉันฟังจบ ทำไมถึงรู้สึกว่าพลังยุทธ์เพิ่มขึ้นล่ะ…”
เธอคิดว่าตัวเองชมคอนเสิร์ตปลอมไปเสียอีก
ความรู้สึกยามอันหลินร้องเพลง ประหนึ่งกำลังฟังปรมาจารย์นักพรตบางท่านกำลังเทศน์
ไม่ว่าจะเป็นเนื้อเพลงหรือทำนอง ล้วนเปี่ยมด้วยความสุนทรียของมรรควิถี ทำให้เข้าใจมรรคได้ลึกซึ้งขึ้นโดยไม่รู้ตัว
อันหลินยิ้ม หยิบ ‘พระคัมภีร์เต้าจ้าง’ ฉบับปรับปรุงโดยสรวงสวรรค์ออกมาแล้วยื่นให้ตงฟางเสวี่ย
“อ่านตำราเล่มนี้พร้อมกับรวบรวมลมปราณไปด้วย จะได้สัมผัสทำนองและความสุนทรียของเนื้อหาในตำรา”
นี่เป็นตำราที่นักเรียนทุกคนในสำนักความร่วมมือบำเพ็ญเซียนมีกันคนละเล่ม อ่านเป็นประจำช่วยให้เข้าใจมรรควิถีได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น และสามารถใส่ทำนองแล้วร้องเป็นเพลงได้ เช่นนี้ผู้ฟังก็ได้สัมผัสได้ถึงความสุนทรียด้วย
‘พระคัมภีร์เต้าจ้าง’ เล่มนี้อันหลินกับสวีเสี่ยวหลานอ่านไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้ว ท่องขึ้นใจนานแล้ว
และเป็นเพราะเหตุนี้เอง การประสานบนเวทีของทั้งคู่จึงสื่อถึงกันโดยไม่ต้องบอกกล่าวเช่นนี้
“อันหลิน ขอบใจนายนะ”
ตงฟางเสวี่ยรับไปอย่างชอบใจ กอดไว้แนบอกราวกับเป็นของล้ำค่าอย่างยิ่ง
เถียนหลิงหลิงเซ้าซี้ให้อันหลินสอนร้องเพลง อันที่จริงก็คืออยากรู้ว่า ‘พระคัมภีร์เต้าจ้าง’ ร้องอย่างไร
ตอนนี้เมื่อ ‘พระคัมภีร์เต้าจ้าง’ ฉบับปรับปรุงโดยสรวงสวรรค์อยู่ในมือตงฟางเสวี่ยแล้ว เธอจึงเปลี่ยนเป้าหมายโดยพลัน โถมใส่ตงฟางเสวี่ย พูดพลางยิ้มกริ่ม “พี่ตงฟาง ไป เราไปอ่านกัน!”
“ได้” ตงฟางเสวี่ยยิ้มหวาน ลูบผมสั้นสีมะรูนของเถียนหลิงหลิง จูงมือเธอเดินเข้าห้องรับรอง
“นักพรตจอมปลอม บ๊ายบาย!”
เถียนหลิงหลิงแลบลิ้นปลิ้นตาใส่อันหลิน จากนั้นก็ตามตงฟางเสวี่ยไปโดยไม่เหลียวหลังมอง
เมื่อเห็นเถียนหลิงหลิงแปรพักตร์เร็วกว่าพลิกกระดาษ อันหลินก็รู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
สุดท้าย เขากับสวีเสี่ยวหลานวิ่งเข้าไปในฮอลล์ ฟังตงฟางเสวี่ยแสดงคอนเสิร์ตจนจบ
ค่ำคืนนี้
ท้องทะเลสีขาวในคอนเสิร์ต รวมถึงเสียงร้องอันไพเราะเพราะพริ้งของตงฟางเสวี่ย ดำรงอยู่ในใจของเขาอย่างลึกสุดใจ
การได้ร่วมแสดงเวทีเดียวกับสวีเสี่ยวหลาน กลายเป็นความทรงจำที่ล้ำค่าเป็นที่สุดในใจเขา ……………………………………
[1] อาวุธมีคมไร้ดวงตา หมายถึง ในการต่อสู้ อาวุธจะทำร้ายคนได้ง่าย