บทที่ 38 การประลองกับมู่ซินเยว่ (ภาคกลาง)

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

บทที่ 38 การประลองกับมู่ซินเยว่ (ภาคกลาง)

มู่ซินเยว่ยิ้ม “งั้นก็รบกวนเจ้าช่วยชี้แนะด้วย”

หลินเป่ยเฉินพยักหน้า “ได้สิ”

สองมือของเขากุมด้ามกระบี่ เตรียมพร้อมสำหรับการโจมตีอีกครั้ง

เงาทั้งสองร่างเคลื่อนไหวรวดเร็วปานสายฟ้า

เด็กหนุ่มยังคงใช้กระบวนท่ากระบี่สามพิฆาตเช่นเดิม

การเคลื่อนไหวของกระบี่ช่างรวดเร็วนัก

เช่นเดียวกับร่างคนที่เคลื่อนไหวเร็วไวไม่แพ้กัน

ทว่ามู่ซินเยว่ก็ยังคงต่อสู้อย่างไม่ลดละ แต่ละกระบวนท่าดูราวกับเสียดแทงเข้าไปในอากาศ ชั่วอึดใจเดียว กระบี่ของนางกลับปะทะกระบี่ยาวของหลินเป่ยเฉินอย่างไม่ทันตั้งตัว

“แกร๊ง! แกร๊ง! แกร๊ง!”

เสียงกระบี่ปะทะกันดังขึ้นสามครั้ง

กระบี่ของเขาถูกต้านทานไว้ได้ทุกครั้ง

มู่ซินเยว่พูดเสียงเรียบ “เฮ้อ…หลินเป่ยเฉิน ยอมแพ้เสียเถอะ ไม่มีประโยชน์หรอก ถึงจะลองอีกพันครั้งหมื่นครั้ง ผลลัพธ์ก็ยังคงเป็นแบบเดิม กระบวนท่ากระบี่สามพิฆาตนับว่าเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนท่าวิชากระบี่เบื้องต้นเท่านั้น กลยุทธ์ที่เอาไว้แก้ทางมันได้น่ะถูกเล่าขานต่อมานานแล้ว…”

“จริงหรือ?”

หลินเป่ยเฉินแสยะยิ้มอย่างมีเลศนัย

ชวิ้งงง ชวิ้งงง ชวิ้งงง

หลังจากการโจมตีด้วยกระบวนท่ากระบี่สามพิฆาตเสร็จ กระบี่ในมือของเขาพลันเกิดเงาพุ่งขึ้นมาสามสาย

เงานั้นได้หายไปอย่างรวดเร็ว

ก่อนที่กระบวนท่ากระบี่ดาราคล้อยจะปรากฏขึ้นมาแทน

ติงซานฉือที่เป็นหนึ่งในอาจารย์คุมสอบลูกตาแทบจะถลนออกมาจากเบ้า

กระบี่เดียว…แต่มีสามเงางั้นหรือ

มีแต่ผู้ที่ฝึกขั้นสุดยอดของกระบี่ดาราคล้อยเท่านั้นที่จะทำได้

ในระยะเวลาเพียงหนึ่งคืน เจ้าเด็กไม่เอาไหนคนนี้ถึงกับสามารถฝึกฝนวิชาได้ขนาดนี้เชียวหรือ?

การฝึกฝนกระบี่จากในฝันที่แท้มีประสิทธิภาพอย่างไม่น่าเชื่อ

ช่างรวดเร็วอะไรขนาดนี้

แกร๊ง!

เสียงโลหะกระทบกันดังขึ้น

มู่ซินเยว่รู้สึกชาที่ข้อมือ กระบี่ในมือหลุดออกจากการควบคุมกระเด็นไปไกล

ควับ!

เสียงวัตถุมีคมตวัดตัดอากาศดังขึ้น

เลือดสีแดงสดก็อาบไปทั่วทั้งไหล่ซ้ายและขวาของมู่ซินเยว่

ปลายกระบี่ของหลินเป่ยเฉินกำลังจ่อไปที่ลำคอขาวผ่องของนาง

หากเขาขยับกระบี่อีกเพียงนิดเดียว เทพธิดาในคราบสามัญชนผู้แสนโด่งดังผู้นี้ก็คงจะเหลือไว้แต่เพียงชื่อเท่านั้นเอง

รอบ ๆ เวทีประลอง มีเสียงอุทานดังไม่หยุดหย่อน

ทุกคนต่างตกใจกันทั้งสิ้น

นี่มัน……

จบแล้วหรือ?

มู่ซินเยว่ถึงกับอึ้ง

มันเกิดขึ้นได้อย่างไรกัน

“กลยุทธ์แก้ทางวิชาของข้างั้นหรือ?”

หลินเป่ยเฉินยิ้มเฉยชาและกล่าวว่า “ทำไมเจ้าถึงไม่ใช้มันเสียล่ะ?”

มู่ซินเยว่ค่อย ๆ รวบรวมสติกลับคืนมา

ใบหน้าของนางพลันเปลี่ยนเป็นซีดขาว

“เมื่อสักครู่ที่เจ้าแสดงไม่ใช่กระบวนท่ากระบี่สามพิฆาตนี่ กระบวนสุดท้ายคือกระบวนท่าอะไร” นางถาม

หลินเป่ยเฉินตอบ “พิฆาตที่สี่ยังไงล่ะ”

“กระบวนท่ากระบี่สามพิฆาต แท้จริงแล้วมีกระบวนท่าลับด้วยงั้นหรือ?”

มู่ซินเยว่มองไปที่กวนเฟยตู้ที่อยู่ด้านล่างเวทีประลองโดยไม่รู้ตัว

กวนเฟยตู้ตอนนี้ที่ได้ยินคำพูดของหลินเป่ยเฉินก็เริ่มตื่นตระหนกอย่างเห็นได้ชัด

กระบวนท่ากระบี่สามพิฆาตยังมีท่าพิฆาตที่สี่อีกงั้นหรือ?

ไม่ใช่สามพิฆาต?

นี่มันเกิดอะไรขึ้น?

คนที่นิ่งอึ้งอีกคนก็คืออู๋เสี่ยวฟาง

เอาชนะได้รวดเร็วปานนี้เลยหรือ

“อั่ก!”

อู๋เสี่ยวฟางอารมณ์เดือดจัด โกรธจนทั้งตัวสั่นเทาไปหมด เขากระอักเลือดออกมาคำหนึ่ง และรู้สึกหน้ามืดจนแทบเป็นลม

ทำไมถึงเป็นแบบนี้ไปได้กัน?

เขาไม่ยอมแน่

หากหลินเป่ยเฉินชนะการประลอง ตามข้อตกลงแล้ว เขาทั้งไม่ต้องคืนเงินและไม่ต้องเป็นทาส

นั่นก็หมายความว่าอู๋เสี่ยวฟางจะไม่มีโอกาสได้ชำระแค้นอีกแล้ว

“การต่อสู้จบลงแล้ว ผู้ชนะคือ…หลินปะ…”

ผู้คุมสอบกำลังจะประกาศผลการประลอง

“ช้าก่อน”

ทันใดนั้นเสียงของหลินเป่ยเฉินก็ดังขัดจังหวะขึ้นมา

เขามองไปยังมู่ซินเยว่พลางยิ้มเยาะ “มู่ซินเยว่ผู้สูงส่ง ข้ารู้ใจเจ้าคงไม่มีทางยอมรับผลการประลองนี้หรอก เจ้าคงคิดว่าข้าเล่นทีเผลอด้วยกระบวนท่าใหม่ ในขณะที่เจ้าไม่ทันระวังตัว”

มู่ซินเยว่ไม่ได้ตอบอะไร

แต่นัยน์ตาฉายแววดื้อรั้นและแข็งกร้าวของนาง ได้เปิดเผยความรู้สึกออกมาหมดแล้ว หลินเป่ยเฉินถอยหลังชักกระบี่และกล่าวว่า “ฮ่า ๆ มาเถอะ อย่าบอกว่าข้าไม่ให้โอกาสล่ะ ไปทำแผลก่อน เก็บกระบี่ของเจ้าขึ้นมาซะ แล้วเราค่อยมาสู้กันต่อ ข้าจะทำให้เจ้าได้รู้ความหมายของคำว่าสิ้นหวังอย่างแท้จริง”

มู่ซินเยว่นั้นรู้สึกอึ้งกับคำพูดหลินเป่ยเฉิน

ผู้คุมสอบเองก็รู้สึกอึ้งเช่นเดียวกัน เขาหันไปมองอาจารย์หัวหน้าชั้นปีฉู่

ฉู่เหินลังเลเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มพร้อมกับพยักหน้า

ผู้คุมสอบจึงไม่พูดอะไรอีก

ในดวงตาของมู่ซินเยว่นั้นราวกับมีเปลวไฟคุกรุ่น “ได้ แล้วเจ้าจะเสียใจ”

หลินเป่ยเฉินไม่ได้ตอบอะไรกลับไป

มู่ซินเยว่พยายามห้ามเลือดบริเวณหัวไหล่ จากนั้นจึงเก็บกระบี่ที่กระเด็นไปไกลขึ้นมา

เมื่อตอนต่อสู้ครั้งที่แล้ว กระบวนท่าของหลินเป่ยเฉินโจมตีเข้าที่หัวไหล่ทั้งสองของนางจนเกิดแผลฉีกขาดเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้สาหัสมากนัก

หลังปฐมพยาบาลเบื้องต้นเล็กน้อย ก็สามารถกลับไปต่อสู้ต่อได้อย่างไม่มีปัญหา

“ครั้งนี้ ข้าจะไม่ใช้กระบวนท่าพิฆาตที่สี่ จะใช้เพียงกระบวนท่ากระบี่สามพิฆาตเท่านั้น ลองดูซิ จะยังคิดว่ากระบวนท่านี้ เป็นกระบวนท่าที่ไม่สามารถชนะเจ้าได้อยู่อีกหรือไม่”

หลินเป่ยเฉินพูดขณะกุมกระบี่คุณธรรมที่ส่องประกายราวกับดวงดาวบนฟากฟ้ายามราตรี

และเริ่มตั้งกระบวนท่ากระบี่สามพิฆาตอีกครา

ในดวงตาของมู่ซินเยว่นั้นราวกับเต็มไปด้วยเปลวเพลิงลุกโชน “เจ้าพูดเองนะ”

นางเริ่มตั้งกระบวนท่าอีกครั้งหนึ่ง

กระบี่ด้ามยาวในมือแทงปราดออกมาข้างหน้าด้วยท่าทีพิลึกพิลั่น

นี่เป็นกระบวนท่าที่รับมือกระบวนท่ากระบี่สามพิฆาตได้อย่างแน่นอน

แต่ในครั้งนี้นั้น

แกร๊ง!

คมกระบี่กระทบกันจนเกิดเสียงดังกังวาน

ทันใดนั้น กระบี่ในมือหลินเป่ยเฉินก็เพิ่มความเร็วขึ้นอีกครั้งดุจดั่งดอกไม้ไฟ รวดเร็วจนไม่อาจเร็วไปกว่านี้ได้อีกแล้ว และดูราวกับดวงดาวตกสู่พื้นดิน ทันทีที่กระบี่ยาวทั้งสองฟาดฟันเข้าหากัน หลินเป่ยเฉินก็บังคับกระบี่ทะลุทะลวงแหวกอากาศ และแทรกเข้าไปในช่องว่างที่ป้องกันไว้ของมู่ซินเยว่

ทะลุมาได้งั้นหรือ?

เป็นไปได้ยังไงน่ะ

มู่ซินเยว่ตกตะลึง

ตุบ!

สันกระบี่กระแทกเข้ามาบริเวณช่วงเอวของนาง

ส่วนท้องพลันรู้สึกชาขึ้นมาทันที

มู่ซินเยว่รีบเคลื่อนตัวออกไปไกล พร้อมกับขาข้างหนึ่งคุกเข่าอยู่บนพื้น

ของเหลวสีแดงสดค่อย ๆ ไหลออกจากมุมปากที่ซีดขาวราวกับหยกของนาง

“เป็นยังไงล่ะ รับมือได้ไหม?”

หลินเป่ยเฉินยืนขึ้นหลังจากเก็บกระบี่เข้าฝัก

สายรัดผมของมู่ซินเยว่ขาดออกจากกัน เส้นผมสีดำสนิทไหลลงมาปรกหน้าราวกับน้ำตก

นางเงยหน้าขึ้น พูดด้วยเสียงคำรามต่ำ “เจ้าทำได้ยังไงกัน”

เฉินเป่ยหลินตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “คิดไม่ออกใช่ไหมล่ะ? ฮ่า ๆ สิ่งที่เจ้าเชื่อว่าเป็นกลยุทธ์ในการแก้ทางกระบวนท่ากระบี่สามพิฆาตนั้น แท้จริงแล้วเป็นเพียงแค่กลยุทธ์ของคนอวดฉลาด ก็แค่ของเล่นเอาไว้หลอกเด็กเท่านั้น มันสามารถใช้ได้กับเพียงผู้ที่ยังไม่แตกฉานในวิชาเท่านั้น คนแบบนั้นจะไปเข้าใจกระบวนท่ากระบี่สามพิฆาตของจริงได้ยังไง ทั้งการเคลื่อนไหวรวดเร็วไม่มีที่สิ้นสุดและการเคลื่อนไหวอย่างอิสระ เจ้าคิดว่าด้วยกระบวนท่าที่เชื่องช้าแบบนั้น จะสามารถต้านทานได้จริงหรือ?”

ที่ด้านล่างเวทีประลอง

กวนเฟยตู้กำลังโกรธหน้าดำหน้าแดง

เมื่อเขาได้ยินสิ่งที่หลินเป่ยเฉินพูด

มันเป็นการตบหน้าเขาเข้าอย่างจัง

เจ้าเศษขยะ..

ช่างโอหังนัก!

กวนเฟยตู้ได้แต่เก็บความแค้นที่มีต่อหลินเป่ยเฉินไว้ในใจ

บนเวทีประลองนั้น

“ข้ารู้ เจ้ายังไม่อาจยอมรับความพ่ายแพ้นี้ได้”

หลินเป่ยเฉินกล่าวต่อ “คนอย่างเจ้าน่ะช่างหาข้อแก้ตัวให้ตัวเองเก่งจริง ๆ เจ้าคงคิดว่าเจ้ายังไม่ได้ใช้วิชาชั้นสูงอย่างกระบวนท่ากระบี่สอยดาวที่เจ้าฝึกฝนมาอย่างดี เพื่อแสดงให้ผู้คนได้เห็นถึงความสามารถของเจ้าเลย เพราะฉะนั้น หากมีโอกาสได้ใช้วิชานี้สักครั้ง เจ้าคงจะเอาชนะข้าได้อย่างแน่นอน ข้าพูดถูกใช่ไหม”

มู่ซินเยว่กล่าวตอบอย่างเย็นชา “ใช่ เจ้ากล้าให้ข้าใช้กระบวนท่ากระบี่สอยดาวนั่นสักครั้งและมาประลองกันอย่างยุติธรรมอีกสักรอบไหมล่ะ?”

“ฮ่า ๆ ยุติธรรมรึ น่าขันนัก หรือเจ้าว่าการต่อสู้เมื่อครู่ไม่ยุติธรรม?”

หลินเป่ยเฉินทำสีหน้าเย้ยหยันเหยียดหยาม “แต่ก็ได้ เอาสิ ข้าให้โอกาสเจ้าอีกครั้ง ให้เจ้าได้ยอมรับผลการประลองจากใจจริง”

เขาพูดพร้อมกับยกมือขึ้นมา

“ได้!!…”

มู่ซินเยว่แผดเสียงแล้วเช็ดเลือดที่มุมปาก ก่อนพุ่งตัวไปดั่งลูกศรที่วิ่งตรงออกจากคันธนู

กระบี่ในมือของนาง

ดูราวกับดวงดาวบนท้องฟ้าที่ส่องแสงกะพริบ

เป็นวิชากระบี่ชั้นสูงที่สมกับชื่อกระบวนท่ากระบี่สอยดาวจริง ๆ