บทที่ 39 การประลองกับมู่ซินเยว่ (ภาคจบ)

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

บทที่ 39 การประลองกับมู่ซินเยว่ (ภาคจบ)

ทันใดนั้น เกิดแสงสว่างวูบวาบ มวลอากาศรอบกายเย็นลง

ต้องยอมรับเลยว่า ความสามารถของมู่ซินเยว่นั้นสุดยอดยากหาใครเทียบ

ในรายชื่อของบรรดาศิษย์มากความสามารถแห่งสถานศึกษาที่สามแห่งนี้ ตำแหน่งของนางนั้นเป็นอันดับ 2 รองจากฮันปู้ฟู่ ผู้เป็นศิษย์ชั้นปีที่ 3 เพียงคนเดียวเท่านั้น

และเมื่อนางใช้กระบวนท่ากระบี่สอยดาว มันก็ดูราวกับดวงดาวนั้นถูกดึงลงมาจากฟากฟ้าและร่ายรำอยู่ล้อมรอบกระบี่ของนาง แม้แต่กวนเฟยตู้ผู้เป็น 1 ใน 4 สุดยอดศิษย์แห่งชั้นปีที่ 3 ก็อดตกตะลึงกับความสามารถของมู่ซินเยว่ไม่ได้ เขานั้นไม่อาจละสายตาออกจากนางได้เลยสักนิดเดียว

ผู้สังเกตการณ์หลี่ที่นั่งชมการประลองอยู่บนแท่นสังเกตการณ์นั้นพยักหน้าอย่างเงียบ ๆ

ศิษย์หญิงคนนี้ช่างเหมาะสมจะเป็นผู้ได้รับการฝึกและคำแนะนำโดยพิเศษอย่างแน่นอน

ความสามารถของนางนั้นไม่ธรรมดาเลยทีเดียว

แต่อย่างไรก็ตามในชั่วอึดใจต่อมา หลินเป่ยเฉินก็ได้ฟาดฟันกระบี่ไปข้างหน้า

เขากำลังใช้กระบวนท่ากระบี่ดาราคล้อย

ชวิ้งงง ชวิ้งงง ชวิ้งงง

หนึ่งกระบี่พลันมีสี่เงา

แกร๊ง!

มู่ซินเยว่รู้สึกถึงพลังที่กำลังเข้ามาห่อหุ้มตัวนาง และส่งผ่านไปยังฝ่ามือจนรู้สึกได้

ข้อพับระหว่างนิ้วโป้งกับนิ้วชี้รู้สึกชายิบ ก่อนที่เด็กสาวจะรู้ตัวว่าผิวหนังบริเวณนั้นถูกตัดขาดออกจากกัน

มู่ซินเยว่ไม่สามารถถือกระบี่ไว้ในมือได้อีกต่อไป มันปลิวออกจากมือของนางเพียงในเสี้ยววินาทีต่อมา

และในขณะเดียวกัน เงาทั้งสามที่เหลือก็โจมตีเข้าที่หลังมือ แขน และขาขวาของมู่ซินเยว่

ฟู่!

เลือดสีแดงสดสาดกระเซ็นออกมาจากปากแผลทั้งสามนั้น

อาจารย์ฉู่ผู้ที่กำลังชมการประลองอยู่ถึงกับนิ่งอึ้ง กำลังจะเข้าไปห้ามหลินเป่ยเฉิน แต่แล้วเด็กหนุ่มก็ไม่ได้โจมตีหรือทำอันตรายแก่มู่ซินเยว่ต่อ เขาดึงกระบี่กลับคืนเมื่อเห็นว่ามู่ซินเยว่ได้รับบาดเจ็บเพียงพอแล้ว ทำให้อาจารย์ฉู่วางใจ และไม่เข้าไปขัดขวาง

“ตอนนี้ยอมรับความพ่ายแพ้หรือยังล่ะ”

หลินเป่ยเฉินยืนนิ่งในขณะที่ถือกระบี่อยู่ในมือ

มู่ซินเยว่นั้นนิ่งเงียบไปและตกอยู่ในความสับสน

“ข้าไม่ยอมรับ” นางตะโกนออกมาด้วยความเดือดดาล

ผลั่ก!

หลินเป่ยเฉินพุ่งตัวเข้าไปกระโดดถีบนางโครมใหญ่ จนเด็กสาวลอยกระเด็นทะลุม่านพลังออกไป

“อ๊าก…ตุบ”

มู่ซินเยว่ตกกระแทกพื้นดินอย่างแรง ก่อนจะพยายามยืนขึ้นอย่างทุลักทุเล นางพ่นเลือดในปากออกมา หันหน้ามองไปยังหลินเป่ยเฉินอย่างไม่เชื่อสายตาตนเอง

“ยังไม่ยอมรับความพ่ายแพ้อีก หรือว่าข้าปรานีเจ้ามากเกินไป”

หลินเป่ยเฉินกระโดดลงจากเวทีและตบเข้าที่หน้าของนางอย่างจังนับไม่ถ้วน

นี่ถือเป็นการแก้แค้นให้กับหลินเป่ยเฉินผู้น่าสงสารคนก่อน

เพี๊ยะ!

ใบหน้าของผู้เคยเป็นเจ้าหญิงแห่งปวงชนนั้นบวมไปหมด ดูราวกับศีรษะของหมูไม่มีผิด

รอยมือเปื้อนเลือดปรากฏขึ้นบนใบหน้าที่เคยนุ่มนวลบอบบางของนาง

ผู้ชมรอบ ๆ เวทีประลองต่างก็ตกใจกันหมด

โหดร้าย

ช่างโหดร้ายจริง ๆ

หลินเป่ยเฉินนั้นช่างโหดร้าย ทำร้ายได้แม้กระทั่งสาวงาม

อีกทั้งเขายังเอาชนะเด็กสาวผู้นี้ด้วยวิธีโหดเหี้ยมอีกด้วย

สงสัยหลินเป่ยเฉินจะต้องเป็นโสดไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ

“อย่าคิดว่าเพราะมีหน้าตาสะสวย เจ้าจะทำอะไรก็ได้ตามใจชอบ”

“แล้วก็อย่าคิดว่าบรรดาผู้ชายจะโดนเจ้าปั่นหัวด้วยคำหวานได้หมดทุกคน”

“ข้าไม่ได้ติดค้างอะไรเจ้าทั้งนั้น อย่ามาให้เห็นหน้าอีก อย่ามากวนข้าอีก แล้วก็ไม่ต้องแกล้งทำตัวเป็นคนดีด้วย”

“ในตอนนี้ข้าแค่เตือนเจ้าเท่านั้น”

“ถ้าเจ้ายังคิดจะลองดีอีก ข้าจะฆ่าเจ้าเสีย”

หลินเป่ยเฉินตบหน้านางทุกครั้งเมื่อพูดจบประโยค

และทันทีที่เขาพูดจบ เด็กหนุ่มก็มีสีหน้าเหมือนได้ระบายความคับแค้นใจทั้งหมดออกมาแล้ว

มู่ซินเยว่นั้นทั้งบอบช้ำและรู้สึกมึนงงตั้งสติไม่ทัน ขาทั้งสองข้างของนางอ่อนแรงจนแทบจะยืนหยัดตรง ๆ ไม่ไหว ในขณะที่หยดน้ำตาเริ่มไหลออกมาจากดวงตาทั้งสองข้าง

นางร้องไห้เพราะว่านางรู้ว่าตนเองพ่ายแพ้แล้วนั่นเอง

ในขณะนั้น มู่ซินเยว่พลันรู้สึกหมดหวังกับชีวิต

นางพ่ายแพ้แล้วสินะ

ทั้งที่ใช้ทุกกระบวนท่าที่ทำได้แล้วแท้ ๆ

แต่ก็ยังพ่ายแพ้ให้แก่เขาผู้นี้

แถมพ่ายแพ้อย่างยับเยินเสียด้วย

นางนั้นไม่มีโอกาสที่จะชนะเลย

มิหนำซ้ำยังโดนดูถูกอย่างเหลือร้าย

และเมื่อมองย้อนไปในการประลองของปีนี้

แม้แต่การสอบด้านทฤษฎี นางก็ยังไม่สามารถเอาชนะเขาได้เลย

ในการตรวจวัดค่าพลัง หลินเป่ยเฉินก็ยังเอาชนะนางได้เสียขาดลอย

แม้แต่การประลองวิทยายุทธ์ที่มู่ซินเยว่แสนจะมั่นใจนักหนา นางก็ยังพ่ายแพ้ถึง 3 ครั้งติด ๆ กัน

มีทางอื่นที่จะเอาชนะหลินเป่ยเฉินได้อีกไหม

ไม่ว่าจะพยายามคิดเท่าไหร่ นางก็คิดหาหนทางไม่ออกเลย

ไม่มีทางเอาชนะหลินเป่ยเฉินได้เลยสักทางเดียว

มู่ซินเยว่ปาดน้ำตาขณะมองไปยังหลินเป่ยเฉิน ในขณะนี้นางยังไม่เข้าใจด้วยซ้ำ ว่าทำไมเพียงระยะเวลาสั้น ๆ เด็กหนุ่มคนนี้ถึงได้เปลี่ยนแปลงไปมากขนาดนี้ เขากลายเป็นผู้แข็งแกร่งและสามารถเอาชนะคู่ต่อสู้ทุกคนได้อย่างง่ายดาย

หรือที่ผ่านมาเขาแกล้งทำเป็นโง่งมมาตลอด

ถ้าเช่นนั้น งั้นมันก็ถือว่าเขาประสบความสำเร็จในการแกล้งโง่แล้ว

“ทำไมต้องทำกับข้าแบบนี้”

มู่ซินเยว่มองขึ้นไปในขณะที่ดวงตายังชุ่มด้วยน้ำตาและเต็มไปด้วยความโกรธเกลียด

หากหลินเป่ยเฉินแสดงความสามารถที่แท้จริงมาก่อนหน้านี้ นางคงไม่มีวันเลิกกับเขาเป็นแน่

หลินเป่ยเฉินต้องตั้งใจทำแบบนี้กับนางเป็นแน่ ๆ

ภายในหัวของมู่ซินเยว่นั้นเต็มไปด้วยความโกรธและความเกลียดชัง

นางนั้นขายขี้หน้าเกินไปกว่าจะกล้าถามคำถามนั้นออกมา

ส่วนหลินเป่ยเฉินก็คงขี้เกียจเกินกว่าจะตอบคำถามของนาง

ต่อให้เขาจะเกิดมาพร้อมกับความพิการทางสมอง แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะกลายเป็นคนที่โง่เง่าและสามารถให้ผู้อื่นหลอกได้ตามใจชอบ

เขารู้ดีว่าปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับเขาเมื่อสองสามวันที่ผ่านมา ล้วนมีต้นเหตุมาจากนางทั้งสิ้น

และในที่สุด การประลองในวันนี้ ก็จบเรื่องราวของพวกเขาได้จริง ๆ เสียที

หากไม่ใช่เพราะอาจารย์หัวหน้าชั้นปีฉู่ลงมาเป็นผู้คุมสอบ เขาก็คงลงมือสั่งสอนมู่ซินเยว่อย่างสาสมมากกว่านี้ไปแล้ว

“การประลองสิ้นสุดลงแล้ว ผู้ชนะคือ… หลินเป่ยเฉิน”

ผู้คุมสอบประกาศขึ้นเสียงดังกังวาน

ไม่มีเหตุผลที่จะต้องประลองอีกต่อไป

ทุกคนเป็นประจักษ์พยานได้ว่ามู่ซินเยว่พ่ายแพ้อย่างราบคาบขนาดไหน

เสียงเชียร์ดังขึ้นรอบเวทีประลอง

บรรดาศิษย์ห้อง 9 นั้นต่างตื่นเต้นและเชียร์กันเสียงดังกระหึ่ม

ยังไม่รวมถึงบรรดาศิษย์หญิงชั้นปีที่ 2 อีกมากมาย ที่ตะโกนส่งเสียงเชียร์และเรียกชื่อของหลินเป่ยเฉินไม่หยุดหย่อน

และในตอนนี้เอง หลินเป่ยเฉินรู้สึกราวกับตนเองเป็นศิลปินที่อยู่ในคอนเสิร์ต ห้อมล้อมด้วยบรรดาแฟน ๆ นับพัน

แต่อย่างไรก็ตาม เขาจำเป็นต้องขยายฐานแฟนคลับให้มากกว่านี้

ยังดีที่ไม่มีใครถึงขั้นเป็นลมด้วยความตื่นเต้น หรือฝ่าด่านอาจารย์เข้าไปหอมแก้มหลินเป่ยเฉินและมอบช่อดอกไม้ให้เสียก่อน

ผู้ชนะและบรรดาแฟนคลับของเขาต่างก็เฉลิมฉลองกัน

มู่ซินเยว่ ผู้ที่ปกติแล้วนั้นจะเป็นที่จับตามองเสมอ ถึงกับสูญเสียจุดสนใจไปในพริบตาเดียว เด็กสาวราวกับเป็นคนไร้ค่าที่ถูกทอดทิ้งโดยไม่ไยดี

“มู่ซินเยว่ เจ้าไปได้แล้ว”

ผู้คุมสอบกล่าวกับนางด้วยน้ำเสียงสุภาพ

สีหน้าของเด็กสาวเต็มไปด้วยความผิดหวัง

รอบกายมีแต่เสียงเชียร์ที่มู่ซินเยว่คิดว่าควรเป็นของนาง

น่าเสียดายนักที่มันไม่ได้เป็นของนาง

นางไม่ได้เดินจากไปในทันที

สิ่งที่มู่ซินเยว่ทำ ก็เพียงยืนอยู่ด้านล่างเวทีประลองและมองขึ้นไป

นางบอกกับตัวเอง อย่าลืมความรู้สึกนี้เป็นอันขาด

นางต้องจำความรู้สึกอับอายขายขี้หน้านี้ไว้ตลอดไป

เพื่อที่มันจะเป็นแรงขับเคลื่อนความแค้นให้กับนาง

“ฮ่าาา…สุดยอดมาก ชั้นปีที่ 2 ของเราทำได้ดีมากในการประลองนี้ หลินเป่ยเฉิน… เจ้าทำให้ข้าแปลกใจจริง ๆ ” อาจารย์ฉู่กล่าวขึ้น แล้วตบบ่าของเด็กหนุ่ม ก่อนจะกล่าวต่อว่า “ หลินเป่ยเฉิน เจ้านี้มันช่างอัจฉริยะเสียจริง ในที่สุดก็เลือกที่จะเปลี่ยนแปลงตนเองเป็นคนดีแล้วสินะ เยี่ยมยอดมาก”

“ขอบคุณท่านอาจารย์ฉู่สำหรับคำชมขอรับ”

หลินเป่ยเฉินนั้นดูทั้งสุภาพอ่อนน้อมและถ่อมตัวในเวลาเดียวกัน ก่อนจะกล่าวว่า “ข้ายังคงมีภารกิจพิชิตตำแหน่งผู้มีพรสวรรค์ประจำเมืองให้ได้ เพื่อความรุ่งโรจน์ของสถานศึกษาเราต่อไปขอรับ”

เขานั้นจะล้างแค้น จัดการศัตรูให้หมด และรับรางวัลที่ควรเป็นของเขามาให้ได้ !

ในตอนนั้นเอง ที่หลินเป่ยเฉินรู้สึกทั้งดีใจและโล่งใจในเวลาเดียวกัน ราวกับเด็กหนุ่มได้ดื่มน้ำอัดลมในวันที่ร้อนระอุ ทำให้รู้สึกมีชีวิตชีวาขึ้นมาอีกครั้ง

“ดีแล้วที่เจ้าคิดแบบนั้น เจ้าน่ะเหมาะสมแล้วที่จะเป็นสุดยอดศิษย์ของสถานศึกษากระบี่ที่สาม” ท่านอาจารย์ฉู่หัวเราะขึ้น

อาจารย์ติงมองลงมาจากแท่นสังเกตการณ์ข้าง ๆ ขณะพยายามห้ามตนเองไม่ให้ทำหน้าบูดพลางคิดว่าท่านอาจารย์ฉู่นี่ช่างโดนหลอกง่ายเสียจริง เด็กคนนี้มันก็ทำเพื่อรางวัลเท่านั้นแหละ

แน่นอนว่าในพริบตาต่อมา หลินเป่ยเฉินก็กล่าวขึ้นว่า “ท่านอาจารย์ฉู่…แล้วรางวัลล่ะขอรับ”

เมื่อได้ยินแบบนั้น ท่านอาจารย์หัวหน้าชั้นปีฉู่ก็พลันหัวเราะขึ้นมา ก่อนจะกล่าวว่า “อย่าเพิ่งกังวลไป เรายังเหลือการทดสอบอีกอย่าง”

เขากวักมือเรียกผู้คุมสอบและกล่าวว่า “มานี่สิ เอาแท่งหินวัดค่าพลังงานระดับ 6 มาไว้ตรงนี้เลย”

บรรดาผู้คุมสอบสองสามคนต่างก็ช่วยกันแบกแท่นหินมาไว้เบื้องหน้า และในที่สุด หลังจากเตรียมพร้อมอยู่ครู่หนึ่ง แท่งหินนั้นก็ได้มาวางลงตรงกลางลานประลองที่แสนกว้างใหญ่อีกครั้ง