ตอนที่ 90 แม่สามี

หลังจากคุณแม่จี้กลับไป ซูตานหงก็บอกเรื่องนี้กับจี้เจี้ยนอวิ๋นที่เพิ่งกลับมาถึง “ต่อไปคุณอย่าพูดอะไรให้คุณแม่ฟังนะคะ คุณอาจไม่คิดอะไรในขณะที่พูด แต่คุณแม่ฟังแล้วเก็บไปคิดมากน่ะค่ะ”

จี้เจี้ยนอวิ๋นขอโทษครั้งแล้วครั้งเล่า ก่อนหน้านี้เขาพูดกับนางแค่ประโยคเดียวเท่านั้นเอง

แล้วเขาก็ไม่ได้หมายความอย่างนั้นด้วย แต่เป็นคุณแม่จี้ที่พูดขึ้นมาเอง บอกว่ามันต้องใช้เงินจำนวนมากในการซื้อแอปเปิลมากขนาดนั้นกลับมา แล้วจะกินกันหมดหรือ?

จี้เจี้ยนอวิ๋นจึงหัวเราะแล้วพูดว่าทำไมจะไม่หมดล่ะ? แอปเปิลอร่อยเสียขนาดนั้น ขนาดเยียนเอ๋อร์ยังกินแอปเปิลบดได้ครึ่งลูกต่อวันเลย

นี่ไม่ใช่สาเหตุที่คุณแม่จี้มาหาเพื่อพูดคุยโดยเฉพาะอย่างนั้นหรือ?

ซูตานหงไม่เอ่ยอะไร

ไม่กี่วันก่อนหน้านี้ คุณแม่จี้จะเป็นคนพาเยียนเอ๋อร์ไปกินข้าวเย็นที่บ้านนาง แต่ในตอนนี้เยียนเอ๋อร์มากินข้าวที่บ้านตานหงแล้ว เธอเริ่มกินอาหารเช้ากับคุณแม่จี้ และมากินอาหารกลางวันกับอาหารเย็นที่นี่

ความจริงแล้วซูตานหงเคยบอกคุณแม่จี้ว่าไม่ต้องทำอาหารเอง ให้มาร่วมกินข้าวที่บ้านเธอแทน แต่คุณแม่จี้ก็ยืนยันว่ามันไม่เหมือนตอนนั้นและไม่ใช่เรื่องลำบากอะไร

ที่คุณแม่จี้บอกว่าไม่ใช่เรื่องลำบากก็คือนางจะทำอาหารแค่ในตอนเช้า และเก็บไว้กินมื้ออื่นต่ออีกยาว ๆ

แต่ความกตัญญูก็ต้องได้รับการตอบแทน ซูตานหงจึงไม่ได้ขัดอะไรกับเรื่องเหล่านี้ หากคุณแม่จี้มากินด้วย ซูตานหงก็ต้อนรับ แค่เพิ่มชามกับตะเกียบขึ้นมาชุดหนึ่ง แต่ถ้านางไม่อยากมากินด้วยเธอก็ไม่ขัด เพียงแต่จะให้จี้เจี้ยนอวิ๋นนำกับข้าวจานเนื้อบางอย่างไปส่งให้นางเป็นระยะ

ส่วนคุณพ่อจี้ในตอนนี้ไม่ได้มากินข้าวกับคุณแม่จี้อีกแล้ว เขามักจะมากินข้าวกับลูกชายสามและสะใภ้สาม ซึ่งเขาก็ได้กินดีอยู่ดีในทุกวัน และรู้สึกว่าร่างกายของเขาแข็งแรงกว่าเมื่อก่อนมาก

ทันทีที่เทศกาลปีใหม่ผ่านไป เทศกาลโคมไฟก็มาถึง หลังจากเทศกาลโคมไฟไปแล้วบรรดาชาวบ้านถึงจะเริ่มลงมือทำงานในไร่นา

อากาศในปีนี้ปลอดโปร่งกว่าปีที่ผ่าน ๆ มา ไม่นานนักหลังจากเทศกาลโคมไฟ หิมะก็ละลาย ไม่ต้องพูดถึงต้นผลไม้ในสวนของพวกเขาเลย พวกมันเริ่มผลิตาใบสีเหลืองออกมาแล้ว

นี่เป็นสัญญาณที่ดีบ่งบอกถึงการเก็บเกี่ยวผลผลิตที่ดี

เดือนแรกผ่านไปจนเข้ากลางเดือนสอง จี้เจี้ยนอวิ๋นก็พาลูกพี่ลูกน้องของเขาทั้งสองคนในหมู่บ้านที่มีสวนของตัวเองไปเรียนรู้การจัดการสวนผลไม้กับเหล่าฉิน

เรื่องนี้เป็นสิ่งที่ซูตานหงบอก โดยการให้เขาหาอะไรบางอย่างทำและปูพื้นความรู้และประสบการณ์ที่ต้องใช้พัฒนาสวนผลไม้หลังจากนี้

เรื่องราวของเซียนจิ้งจอกทำให้คนเชื่อไปได้แค่ระยะหนึ่งเท่านั้น แต่ไม่สามารถใช้วิธีนี้ได้ตลอดไป เขาต้องใช้ทักษะการจัดการสวนในปัจจุบันมาดูแลสวนแทน

ในฐานะผู้ชายที่เป็นเสาหลักของครอบครัวแล้ว ต้องไม่ให้เขาว่างงานเกินไป ถ้าเขาไม่สามารถสร้างความมั่นใจในตัวเองได้ เขาก็จะกลายเป็นคนไม่เอาไหน สงสัยในความสามารถของตัวเอง และขาดความมั่นใจไปได้

ผู้ชายต้องสามารถค้ำจุนครอบครัวของเขาได้ ต่อให้เขาจะรู้สึกเหนื่อย มันก็ไม่ทำให้เขาขาดความมั่นใจในตัวเองแน่นอน

แม้ซูตานหงจะรักสามีของเธอ แต่เธอก็ไม่เข้าไปยุ่งวุ่นวายกับเขามากนัก เขาควรจะหล่อหลอมตัวเองได้ ซึ่งเรื่องนี้จะเป็นจุดด้อยไม่ได้เด็ดขาด นี่คือความรับผิดชอบของเขาในฐานะผู้ชาย เป็นภาระที่เขาต้องแบกไว้บนบ่า

จี้เจี้ยนอวิ๋นต้องจากบ้านไปไกลจึงรู้สึกกังวลอย่างมาก ที่บ้านของเขามีเพียงภรรยา ลูกชายของเขา และเยียนเอ๋อร์หลานสาวตัวน้อยอยู่ ภรรยาของเขาจะดูแลด้วยตัวคนเดียวไหวได้อย่างไร?

แต่ภรรยาของเขาก็บอกว่า “ไม่ใช่ว่าฉันเป็นฝ่ายดูแลคุณมาโดยตลอดเหรอคะ?”

จี้เจี้ยนอวิ๋นได้ฟังก็สะอึกในทันที

หลังจากนั้นเขาก็ไม่กังวลแล้ว เขาจัดการทำความสะอาดห้องรับแขกแล้วเชิญคุณแม่จี้มาอยู่ด้วย

เมื่อคุณแม่จี้ได้ยินว่าลูกชายของนางจะไปเรียนรู้การจัดการสวนผลไม้ ซึ่งเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับชีวิตความเป็นอยู่ของครอบครัวสามและสองสามีภรรยาชราอย่างพวกนางในอนาคต นางจึงขอรับเงินค่าเลี้ยงดูไว้ 12 เฟิน

นางตบอกลูกชายและบอกให้เขาเรียนรู้เทคนิคจัดการสวนผลไม้มาให้มากที่สุดโดยไม่ต้องกังวลใจใด ๆ และนางจะดูแลบ้านทางนี้ให้เขาเอง ต่อให้เขาจะโล่งใจแล้วก็ตาม

จี้เจี้ยนอวิ๋นจึงรู้สึกโล่งใจขึ้นมาเล็กน้อย

“คุณแม่ดูแลสองพี่น้องไปนะคะ ฉันจะเข้าไปทำอาหาร” ซูตานหงเอ่ยในตอนเที่ยงของวันนั้น

“เดี๋ยวแม่ไปทำเอง เธอมาดูแลพวกเขาเถอะ” คุณแม่จี้บอก

ซูตานหงหน้าเหวอไปเล็กน้อย แต่ก็ยังยืนกรานว่าเธอจะเป็นคนทำอาหารเอง เพราะเยียนเอ๋อร์กับเหรินเหรินอยากจะเล่นกับคุณย่า เมื่อคุณแม่จี้ได้ยินดังนี้ก็รู้ว่าเธออยากให้นางอยู่ว่าง ๆ ก็รู้สึกอุ่นซ่านในใจขึ้นมา

ดูสถานการณ์ในบ้านสามตอนนี้สิ ยากที่จะจับผิดหาข้อบกพร่องได้จริง ๆ

สะใภ้ตระกูลซูช่างไม่เอาไหนเลยสักคน แต่ลูกสาวที่บ้านนั้นสอนมาช่างทำให้นางได้หน้าเสียเหลือเกิน

ช่างน่าอายนักเมื่อหวนไปนึกถึงลูกสาวอกตัญญูของตัวเองอีกครั้ง แต่ก็ช่างเถอะ อย่าไปนึกถึงนังเด็กเจ้าปัญหานี่เลย

ซูตานหงมองนางเข้าไปดูแลเด็ก ๆ จากนั้นเธอก็เริ่มทำอาหารพลางถอนหายใจอย่างโล่งอก

ความจริงแล้วเธอก็มีความสุขที่ได้ช่วยแม่สามีเช่นกัน แต่นั่นไม่มีทางหรอก ทักษะการทำอาหารของแม่สามีอยู่ในระดับที่พอกินได้เท่านั้น แต่ถ้าจะให้ทำแบบกินแล้วอร่อย นั่นคงไม่ใช่สิ่งที่คนเราต้องการ

ตอนนี้บนภูเขามีงานให้ต้องทำหลายอย่าง คราวที่แล้วเธอเพิ่งไปซื้อเมล็ดสมุนไพรมา และนำกลับมามอบให้พี่ชายรองซู

ใช่แล้วล่ะ ตอนนี้พี่ชายของเธอได้มาช่วยงานในสวนแล้ว จากนั้นก็จะมีการคำนวณเงินเดือนกัน หลังจากนั้นอากาศจะดีขึ้นเรื่อย ๆ จนต้นไม้และไก่ในสวนเจริญเติบโต ถึงเวลานั้นค่อยเข้าเมืองไปหาดูหน้าร้านก็ได้

อย่างไรก็ตาม ร้านค้าในเมืองถูกขายออกหมดแล้ว โดยที่พวกเขายังไม่ทันได้ซื้อไว้ ซึ่งร้านค้าทั้งหลายก็เปิดตัวและมีคนหลายคนเริ่มต้นธุรกิจของตัวเองแล้ว จนเกรงว่าจะเป็นเรื่องน่ากังวลที่คนอื่นจะแย่งไป ดังนั้นจึงควรเช่าร้านไว้ก่อน อย่างมากก็จ่ายค่าเช่าเปล่าไป 1 เดือน และค่าเช่าเดือนหนึ่งก็มีราคาเพียง 5 หยวน ซึ่งนับว่าไม่แพงเลย

เธอทำกับข้าวไว้สามอย่าง ซึ่งอาหารจานเนื้อกับอาหารจานผักก็เข้ากันด้วยดี ทั้งแม่สามีกับลูกสะใภ้ลงมือกินกันก่อน ส่วนของเยียนเอ๋อร์ผู้กินอาหารเสริมได้แล้วนั้นเป็นไข่ตุ๋น หลังกินเสร็จคุณแม่จี้ก็เตรียมกับข้าวกับหมั่นโถวส่งขึ้นไปบนภูเขา

อาหารเหล่านั้นมีหมั่นโถวขนาดใหญ่ 6 ลูก ไข่ผัดขึ้นฉ่ายหนึ่งจาน ยำเนื้อหนึ่งจาน และผัดผักกวางตุ้งหนึ่งจาน

ทั้งคุณพ่อจี้กับซูจิ้นตั๋งพอใจในอาหารมื้อนี้มาก บอกได้ว่าคุณพ่อจี้คุ้นเคยกับอาหารของบ้านสามมากกว่าเดิม แต่ซูจิ้นตั๋งนั้นรู้สึกกระดากใจขึ้นมา เขารู้สึกมาโดยตลอดว่าที่น้องสาวต้องทำอาหารอร่อยแบบนี้ก็เป็นเพราะเขา

ชีวิตความเป็นอยู่ในบ้านตระกูลซูนั้นมัธยัสถ์มากเพราะคุณแม่ซู ได้เห็นอาหารจานเนื้อสองครั้งในหนึ่งสัปดาห์ก็ถือว่าหรูหรามากแล้ว ดูสิว่าน้องสาวของเขามีชีวิตอย่างไร?

ดังนั้นเมื่อเขาลงมาจากภูเขาในวันนั้น เขาก็มาหาซูตานหงและเอ่ยเสียงทุ้ม “ตานหง เธอไม่ต้องทำกับข้าวมาให้พี่รองเยอะขนาดนี้ก็ได้ อะไรที่เคยกินพี่ก็กินได้หมดล่ะ”

ซูตานหงยังคงมีท่าทางงุนงง “พี่รองพูดอะไรน่ะคะ? ปกติเราก็กินกันแบบนี้แหละค่ะ”

“ปกติกินแบบนี้เหรอ?” ซูจิ้นตั๋งจ้องนิ่ง

จากนั้นซูตานหงก็เข้าใจและเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “พี่รอง พี่ไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้นะคะ เรากินแบบนี้บ่อยจะตาย พี่ไม่เห็นอาการสงบเป็นปกติของคุณพ่อเหรอคะ? พี่ขยันทำงานนะคะ แล้วชีวิตเราจะดีขึ้น!”

หลังคุยกับพี่ชายรองของเธอแล้ว เธอก็ต้องส่งเขากลับ ส่วนคุณแม่จี้อุ้มเหรินเหรินออกมาและเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ตานหง เธอยังมีเนื้อเหลืออยู่ในตู้เย็นอีกเยอะไม่ใช่เหรอ? เอาไปให้จิ้นตั๋งซักชิ้นสิ”

ซูตานหงพยักหน้าและเดินเข้าไปหยิบเนื้อวัวที่ถูกแช่เย็นจนแข็งออกมา

“ไม่เป็นไรหรอก” ซูจิ้นตั๋งเอ่ยอย่างรวดเร็ว

“คนครอบครัวเดียวกันทั้งนั้น จิ้นตั๋งอย่าเกรงใจนักเลยจ้ะ แม่ของเธอก็มีน้ำใจเหมือนกันเอาไข่มาให้เสียตั้งมากมาย ไม่จำเป็นต้องเกรงใจกันหรอกจ้ะ เอาเนื้อกลับไปให้แม่ของเธอตุ๋นกับหัวไชเท้าเถอะ ก่อนหน้านี้หล่อนก็ลำบากไม่ใช่น้อย หล่อนต้องกินอะไรดี ๆ บำรุงเสียบ้าง อย่าให้หล่อนต้องอยู่อย่างประหยัดเลย” คุณแม่จี้พูด

ประโยคนี้นางพูดจริง เพราะยุคก่อนหน้านี้พวกนางไม่ได้อยู่กันอย่างสุขสบายเลย โดยเฉพาะช่วงสามปีแห่งความอดอยาก ซึ่งแทบจะเอาชีวิตกันไม่รอดเลยทีเดียว

……………………………………………