ตอนที่ 89 รับเลี้ยงเยียนเอ๋อร์

ทะลุมิติไปเป็นเศรษฐีนียุค 80 [重生八零致富记]

ตอนที่ 89 รับเลี้ยงเยียนเอ๋อร์

เทศกาลปีใหม่ช่างคึกคักอย่างยิ่ง ภายในไม่กี่วันก็มีผู้คนเดินทางไปกลับขวักไขว่ แต่เวลาช่างผ่านไปรวดเร็วนัก

ชั่วพริบตาเดียว เทศกาลปีใหม่ก็ผ่านไป ในวันที่เจ็ดของปีใหม่นี่เอง บรรยากาศปีใหม่ก็ได้จบลง เมื่อถึงวันที่แปดและเก้า ทุกอย่างก็กลับคืนสู่ปกติ

แต่บ่อนพนันในหมู่บ้านยังคงครึกครื้นอยู่

ซูตานหงไม่ได้ไปที่นั่น จี้เจี้ยนอวิ๋นเองก็ไม่ชอบไป แต่คุณแม่จี้กลับชอบไปเล่นในบางครั้ง

เมื่อวานนี้เองคุณแม่จี้ก็มาถามเธอว่านางจะชนะพนันหรือเปล่า

ซูตานหงถึงกับนึกขำในใจ นางกะจะขอพรจากเซียนจิ้งจอกสินะ แต่มาขอพรเซียนจิ้งจอกแล้วจะได้อะไรขึ้นมาล่ะ? เดิมพันไว้น้อยก็มีความสุข เดิมพันไว้มากก็เจ็บตัว และในตอนบ่ายเมื่อวานนี้เอง คุณแม่จี้ก็มาคุยกับเธอ

นางบอกว่ารู้สึกเสียใจมาก เพราะในตอนแรกนางก็ทำท่าจะชนะพนันอยู่ แต่ไป ๆ มา ๆ ก็เสียพนันหมดตัว

คุณแม่จี้ไม่ได้เล่ารายละเอียดมากนัก เพียงแต่มาขอโทษเซียนจิ้งจอกที่ไม่เชื่อฟัง แทนที่จะวางเดิมพันไว้น้อย ๆ ถ้าวางเดิมพันไว้น้อยแล้วจะไม่มีโอกาสชนะเชียวหรือ?

หลังพนันขันต่อเป็นเวลานาน นางก็สูญเงินไปทั้งหมด

ซูตานหงยิ้มและไม่พูดอะไร

คุณแม่จี้กลับไปพนันใหม่อีกครั้ง จากนั้นก็แพ้พนันอีก หลังจากคราวนี้นางก็ไม่ได้เข้าบ่อนอีกเลย

เป็นเพราะนางรู้สึกว่าคราวที่แล้วตัวเองได้ลบหลู่เซียนจิ้งจอกเข้า โดยการบอกว่าเซียนจิ้งจอกไม่สนใจใยดีนาง ดังนั้นนางจึงไม่กล้าเสี่ยงโชคเมื่อไม่มีเซียนจิ้งจอกอยู่ ไม่อย่างนั้นจะมีแต่เสียกับเสีย

แต่ถึงอย่างนั้นนางก็เสียเงินไปราว 3-4 หยวน ซึ่งเรื่องนี้ทำให้นางปวดใจไปพักใหญ่เลยทีเดียว

เทียบกับคุณแม่จี้ที่ชอบพนันเป็นครั้งคราวแล้ว คุณพ่อจี้กลับไม่ชอบกิจกรรมนี้เลยแม้แต่น้อย แม้แต่ในวันแรกของเทศกาลปีใหม่ เขาก็เลือกที่จะเดินขึ้นเขาแทน

หลังวันที่ห้าผ่านไป คุณพ่อจี้ก็ยังอยู่บนภูเขา ปักหลักอยู่ในสวนแห่งนั้น แม้แต่ยามนอนก็นอนที่นั่น ไม่ลงจากภูเขาเลยแม้แต่น้อย

เห็นการอุทิศตัวของคุณพ่อจี้ที่มีต่อสามีภรรยาอย่างพวกเขาแล้ว ซูตานหงจึงให้จี้เจี้ยนอวิ๋นไปส่งอาหารให้ชายชราอย่างตรงเวลาทุกวัน และอาหารทุกมื้อที่ส่งไปล้วนอุดมสมบูรณ์เป็นอย่างมาก

ในวันที่สิบนี้เอง จี้เจี้ยนเหวินและอวิ๋นลี่ลี่ก็กลับไปพร้อมกับจี้อวิ๋นอวิ๋น เหลือเพียงเยียนเอ๋อร์ลูกสาวของพวกเขาที่ฝากให้ทางนี้ช่วยดูแล

เหตุผลที่ฝากเยียนเอ๋อร์ไว้ที่นี่ได้ก็เพราะเยียนเอ๋อร์หย่านมและกินอาหารอย่างอื่นได้แล้ว จึงสามารถฝากเธอให้อยู่ในความดูแลที่นี่ได้ราว 1 หรือ 2 ปี เมื่อโตขึ้นก็จะได้ส่งเธอเข้าโรงเรียนอนุบาลเลย ไม่อย่างนั้นสามีภรรยาทั้งคู่จะต้องจ้างพี่เลี้ยงเด็ก ซึ่งนั่นนับว่าเป็นค่าใช้จ่ายมหาศาล อวิ๋นลี่ลี่เองก็ไม่อาจปลีกตัวไปดูแลลูกสาวที่บ้านได้ และยังต้องใช้เงินซื้อนมผงและของอย่างอื่นอีก ซึ่งก็มีราคาแพงมาก

คุณแม่จี้เห็นด้วยกับเรื่องนี้เช่นกัน

ส่วนเฝิงฟางฟาง จี้มู่ตาน และซูตานหงไม่ได้เอ่ยอะไรในเรื่องนี้ เพราะถือว่าเป็นเรื่องธรรมดาสามัญมาก เมืองเจียงสุ่ยหรือจะสู้หมู่บ้านของพวกเขาได้ อยู่ที่นั่นมีอะไรไม่ต้องใช้เงินบ้างล่ะ?

เด็กก็ยังเล็กอยู่ แถมคนทั้งคู่ก็ต้องออกไปสอนหนังสือที่โรงเรียน จะมีเวลามาดูแลลูกได้อย่างไร?

เนื่องจากมีเยียนเอ๋อร์อยู่ที่บ้านอีกคน คุณแม่จี้จึงไม่ได้ออกไปพนันที่บ่อนอีก เพราะนางต้องดูแลหลานคนนี้ที่บ้าน

ในตอนแรกเยียนเอ๋อร์ก็ไม่คุ้นเคยกับสภาพความเป็นอยู่ใหม่เท่าใด เธอร้องไห้อยู่บ่อยครั้ง คุณแม่จี้ไม่รู้จะทำอย่างไรจึงพาไปหาเซียนจิ้งจอกด้วยความอยากรู้ว่านางลบหลู่อะไรไว้หรือไม่?

แต่ซูตานหงก็ชงนมผงให้เยียนเอ๋อร์ดื่ม เธอจึงได้เงียบเสียงลง

หญิงสาวยัดตุ๊กตาที่ทำให้เหรินเหรินน้อยกับเยียนเอ๋อร์ ซึ่งเธอก็มีท่าทางดีใจมาก

เด็กนั้นลืมเรื่องราวก่อนหน้าได้ไวมาก เพียงไม่กี่วันสาวน้อยคนนี้ก็ลืมพ่อแม่ของตัวเองไป ในตอนกลางคืนเธอจะมานอนกับคุณแม่จี้ที่บ้าน ครั้นตื่นขึ้นในวันถัดมา เธอก็จะมาที่บ้านสาม

มาที่นี่ก็เพื่อมาเล่น

คุณแม่จี้ไม่มีทางเลือกจึงต้องพาสาวน้อยมาที่นี่ และเอ่ยขอโทษกับซูตานหง “ตานหง เธอดูแลเด็กคนนี้ได้ไหม หรือจะให้เยียนเอ๋อร์อยู่ที่นี่แล้วให้แม่มารับกลับไปในตอนเย็นดี?”

“ได้ค่ะ” ซูตานหงตอบ

ความจริงแล้วเยียนเอ๋อร์หลานสาวคนนี้เป็นเด็กว่านอนสอนง่ายมาก แม้จะมีอายุเพียง 2 ขวบครึ่ง แต่ถ้าได้กินได้ดื่มเพียงพอและมีตุ๊กตาให้เล่น เธอก็สามารถเล่นสนุกสนานด้วยตัวเองได้

ในตอนที่ต้องการไปปัสสาวะ เยียนเอ๋อร์ก็จะพูดคำง่าย ๆ อย่าง ‘ไปฉี่’ เพื่อเตือนเธอ เวลาอื่นนอกจากนั้นก็จะเล่นกับตัวเองบนเตียงเตา เหรินเหรินน้อยก็เช่นกัน เขามักจะส่งเสียงอ้อแอ้และเป่าปากพ่นฟองน้ำลายออกมาจนเยียนเอ๋อร์ต้องหันมามองเขาเป็นระยะ ในบางครั้งเยียนเอ๋อร์ก็ยืนขึ้นและเดินไปหาเขาด้วยตัวเอง

เหรินเหรินน้อยเองก็อยากเล่นตุ๊กตาในมือเยียนเอ๋อร์เช่นกัน แต่เห็นชัดว่าเขาไม่รู้วิธีเล่น ทันทีที่คว้าตุ๊กตาได้เขาก็หยิบเข้าปากอมจนมันชุ่มโชกไปด้วยน้ำลาย

สองพี่น้องเล่นด้วยกันอยู่บนเตียงเตา ขณะที่ซูตานหงนั่งขึงสะดึงปักผ้าอยู่ข้าง ๆ และเริ่มลงมือปักผ้า ในเมื่อเด็ก ๆ ต่างว่านอนสอนง่ายและเลี้ยงง่าย เธอจึงยังมีเวลาพอที่จะทำงานของตัวเอง

เมื่อจี้เจี้ยนอวิ๋นกลับมาถึงบ้านและเห็นภาพนี้เข้า เขาก็ยิ้มออกมา “เยียนเอ๋อร์นี่เลี้ยงง่ายดีนะครับ ไม่สร้างปัญหาให้คนอื่นเลย”

“เธอค่อนข้างเลี้ยงง่ายเลยล่ะค่ะ พรุ่งนี้คุณไปซื้อแอปเปิลกลับมาสักลังนะคะ ครอบครัวเรากินกันหมดแล้ว” ซูตานหงบอก

“ครับ” จี้เจี้ยนอวิ๋นตอบ

วันต่อมาจี้เจี้ยนอวิ๋นก็เข้าเมืองและซื้อแอปเปิลกลับมา 2 ลัง เขาส่งแอปเปิล 12 ลูกไปให้คุณแม่ซู อีก 3 ลูกให้คุณแม่จี้ และอีกจำนวนหนึ่งให้คุณพ่อจี้ที่อาศัยอยู่บนภูเขา ส่วนที่เหลือนั้นก็แบ่งให้โหวหวาจือ เสี่ยวเจินกับเสี่ยวอวี้ในตอนที่พวกเขามาหา โดยแต่ละคนได้คนละ 2 ลูก

แอปเปิลลังหนึ่งนั้นไว้แจกจ่ายให้คนในครอบครัว ส่วนอีกกล่องหนึ่งพวกเขาเก็บไว้กินเอง

แอปเปิลแต่ละลังคิดเป็นเงินจำนวนมาก แต่ซูตานหงก็ไม่เข้ามายุ่งกับการใช้จ่ายเงินของจี้เจี้ยนอวิ๋นเลย

แม้เธอจะหาเงินได้เป็นจำนวนมาก แต่ก็ไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองยิ่งใหญ่อะไร ยังคงรู้สึกว่าตนเป็นภรรยาคนหนึ่ง เมื่อสามีต้องการเธอ เธอจะต้องรับใช้เขาในฐานะภรรยา เมื่อใดที่สามีกระทำผิด เธอก็ต้องตักเตือนเขาในทันที

เขาควรจะมีความสุขกับเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ นี้ ไม่ว่าเขาจะแบ่งของให้ฝ่ายใด ฝ่ายหนึ่งก็เป็นแม่ของเธอ อีกฝ่ายหนึ่งเป็นแม่ของเขา ไม่มีใครเป็นคนนอกทั้งสิ้น แล้วยังมีอะไรต้องพูดอีก?

ในบ้านตระกูลซูยังมีแอปเปิลอยู่เป็นจำนวนมาก รวมทั้งหมด 12 ลูก ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นพันธุ์ฟูจิแดง

แน่นอนว่าเป็นเพราะพี่สะใภ้รองซูกำลังท้องแก่และต้องกินแอปเปิลมากขึ้น เธอจึงส่งไปมากหน่อย

ซูตานหงกินแอปเปิลได้ เยียนเอ๋อร์ก็กินได้แล้วเช่นกัน ขณะที่เหรินเหรินน้อยยังกินไม่ได้เพราะไม่มีฟัน ดังนั้นเขาจึงกินได้แค่กากแอปเปิลเละ ๆ

ถ้าเป็นคุณป้าคนอื่นมาป้อนให้ เยียนเอ๋อร์จะไม่อยากกินอีก แต่คุณป้าซูตานหงนั้นเป็นข้อยกเว้น เพราะซูตานหงกินแอปเปิลกับเธอด้วย ทั้งยังบดกากแอปเปิลให้กินอีกต่างหาก

“แม่ กิน กิน”

ตอนนี้เยียนเอ๋อร์สาวน้อยคนนี้พูดได้แล้ว ซึ่งนั่นทำให้ซูตานหงต้องตะลึงงันไป จากนั้นก็กลายเป็นความขบขัน และไม่พยายามจะแก้ไขคำพูดให้เธอ

เด็กคนนี้ยังเล็กนัก ไว้โตขึ้นแล้วเยียนเอ๋อร์จะรู้เอง

“หนูอ้ำสิจ๊ะ ป้าสามอ้ำแล้วนะ” ซูตานหงยิ้ม

แล้วเยียนเอ๋อร์ก็กินด้วยตัวเอง

โดยปกติแล้วเยียนเอ๋อร์จะกินแอปเปิลครึ่งลูกทุกวัน ซึ่งซูตานหงก็ให้กินโดยไม่กระพริบตา เธออยากกินมากขนาดไหนก็กินไป ซึ่งถ้าคุณแม่จี้รู้เรื่องนี้ นางก็คงจะรีบมาพูดกับซูตานหงว่า ‘ตานหง เธอให้เยียนเอ๋อร์กินอาหารธรรมดา ๆ ก็ได้ ไม่จำเป็นต้องให้กินอะไรเสริมขนาดนี้เลย’

คำพูดนี้ซูตานหงไม่ได้เป็นคนพูด แต่เป็นจี้เจี้ยนอวิ๋นที่เอ่ยล้อ เขาแค่พูดขึ้นมาเฉย ๆ โดยไม่คิดว่าจะเป็นเรื่องจริงแต่อย่างใด

เพียงแต่คุณแม่จี้ฟังแล้วก็เก็บไปคิดว่าเขาซื้อแอปเปิลมาให้เยียนเอ๋อร์เป็นพิเศษ นางจึงมาหาเพื่อพูดเรื่องนี้

“คุณแม่คะ แอปเปิลนี่ฉันซื้อมากินเอง เยียนเอ๋อร์เพิ่งจะโตขนาดไหนกัน? ถ้าเธอชอบกินก็ให้กินไปเถอะค่ะ” ซูตานหงกล่าวอย่างไม่ทุกข์ร้อนนัก แค่แอปเปิลครึ่งลูกก็เป็นเรื่องใหญ่โตขนาดต้องมาพูดกันด้วยหรือ?

……………………………………………………