ตอนที่ 88 คุณยายใจป้ำ

หลังผ่านวันสิ้นปีและเริ่มวันปีใหม่วันแรกแล้ว วันเวลาที่บ้านก็ผ่านไปอย่างราบรื่น ไม่เกิดเหตุการณ์เหมือนอย่างปีที่แล้ว

ปีนี้นับเป็นปีที่ดีมากจริง ๆ

เรื่องนี้ทำให้รอยยิ้มของคุณพ่อกับคุณแม่จี้เผยกว้างเช่นกัน

วันที่สองของเทศกาลปีใหม่คือวันที่ลูกเขยต้องไปเยี่ยมบ้านฝั่งแม่ยาย

ในเช้าตรู่วันนั้นนี่เอง ซูตานหงกับจี้เจี้ยนอวิ๋นก็ได้พาเหรินเหรินน้อยออกจากบ้าน ปล่อยให้ต้าเฮยทำหน้าที่เฝ้าบ้าน แล้วทั้งสามคนก็เดินมาถึงบ้านตระกูลซู

บรรดาลูกชายตระกูลซูต่างพาครอบครัวไปเยี่ยมบ้านภรรยาในวันที่สองตามปฏิทินจีน เมื่อพวกเขามาถึงจึงพบว่าซูจิ้นจวินกับซูจิ้นตั๋งไม่อยู่บ้านแล้ว ทั้งคู่พาภรรยาไปเยี่ยมบ้านทางฝั่งแม่กันหมด

จึงเหลือแค่คุณแม่ซูอยู่ที่บ้านคนเดียว

เมื่อเห็นครอบครัวคนทั้งสามมาเยี่ยม คุณแม่ซูก็กระตือรือร้นต้อนรับขับสู้เป็นอย่างดี นางรอมาตั้งแต่เช้าตรู่แล้วเช่นกัน

“ไอ้หยา นี่หลานชายของฉันเหรอ? ไม่เจอกันแป๊บเดียวก็โตขนาดนี้แล้ว” คุณแม่ซูอุ้มเหรินเหรินน้อยเป็นครั้งแรก เมื่อเห็นว่าหลานชายมีหน้าตาเหมือนแม่ของเขา นางก็ยิ้มแย้มแล้วเอ่ยชมยกใหญ่

เหรินเหรินน้อยกำลังดูดน้ำจากขวดนมอยู่ เมื่อเห็นว่านางกำลังอุ้มเขา เขาก็อยากให้อุ้มเหมือนกับที่คุณแม่จี้เคยทำในช่วงเวลาที่ผ่านมา ครั้นรู้สึกถึงความเหมือนกันแล้ว บวกกับมองเห็นพ่อกับแม่ของตนอยู่ใกล้ ๆ เขาก็ปฏิบัติต่อคุณยายเหมือนกับที่ทำกับคุณย่าและไม่สร้างปัญหาเลย

“พี่ใหญ่กับพี่รองไปเยี่ยมบ้านแม่ยายกันหมดเลยเหรอคะ?” ซูตานหงถาม

“ไปกันหมดเลย ออกไปกันตั้งแต่เช้าตรู่แล้วล่ะ” คุณแม่ซูตอบ “อย่าไปสนใจสองครอบครัวนั้นเลย แกกลับมาวันนี้ก็ดีแล้ว”

จี้เจี้ยนอวิ๋นถามด้วยรอยยิ้ม “คุณแม่ครับ คิดว่าพี่รองจะมาช่วยงานในปีหน้าได้ไหมครับ?”

“เรื่องนี้แม่ก็ไม่รู้เหมือนกันจ้ะ แต่ดูจากคำพูดของพี่รองแล้ว เขาน่าจะไปช่วยได้ล่ะ ถึงเวลานั้นเธอก็ไปคุยกับเขาอีกทีนะ เรื่องนี้เป็นเรื่องในครอบครัวเธอเอง ไม่อย่างนั้นจะปล่อยโอกาสดี ๆ แบบนี้ไปให้ใครล่ะ?”

“คุณแม่อย่าพูดอย่างนั้นเลยครับ ถ้าพี่รองเต็มใจช่วย ผมก็ต้องขอบคุณเขา!” จี้เจี้ยนอวิ๋นเอ่ยเสียงขรึม

คุณแม่ซูยิ้มแล้วพูด “แม่รู้ว่าเธอเป็นคนตรงไปตรงมา”

ไม่อย่างนั้นทำไมเขาถึงไม่ไปหาพี่ชายของตัวเอง แต่มาหาลูกชายของนางแทนกันล่ะ?

จี้เจี้ยนอวิ๋นคุยกับคุณแม่ซูอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็พาลูกชายไปปัสสาวะ เด็กคนนี้เพิ่งดื่มน้ำเข้าไป ดังนั้นแล้วต้องรีบให้เขาถ่ายออก ไม่อย่างนั้นมันจะเป็นปัญหาในภายหลัง

จี้เจี้ยนอวิ๋นอุ้มพาเขาเข้าไปในห้องเล็ก ๆ คุณแม่ซูเห็นแล้วก็ยิ้ม “ดูลูกเขยที่แม่เลือกให้แกสิ ฉันเคยเลือกคนผิดให้แกด้วยเหรอ?”

แม้นางจะประเมินด้วยตัวเองไปบ้างแล้วก็ตาม นางก็ยังเรียกซินแสให้ไปที่บ้านตระกูลจี้เพื่อไปบอกว่าลูกสาวผู้มีบุญของนางจะต้องมัดใจสามีได้ในคราวเดียว หลานชายจะได้เข้าเรียนมหาวิทยาลัย และครอบครัวของเขาจะเจริญรุ่งเรืองด้วยเช่นกัน

ไม่ผิดหรอก คุณพ่อคุณแม่จี้เชื่อคำพูดซินแสที่คุณแม่ซูส่งไปอย่างสนิทใจทีเดียว

เป็นเช่นนี้แล้ว เมื่อนางต้องการเงินมารักษาพยาบาลสามีชราของนาง ก็นับเป็นการลงมีดเชือดอย่างโหดร้าย

ก่อนหน้านี้คุณแม่จี้ก็ไม่ได้ลงรอยกับนางมาก่อน แต่เพิ่งจะมาเปลี่ยนความคิดไปมากตั้งแต่ 2 ปีที่แล้ว

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่นางพูดนั้นไม่ได้ผิดแม้แต่น้อย ลูกสาวผู้เป็นที่ภาคภูมิใจของนางมีความกตัญญูต่อครอบครัวสามีขนาดไหนกันล่ะ? สะใภ้อีกสามคนสู้ลูกสาวของนางไม่ได้แม้แต่ส่วนเดียวด้วยซ้ำ

ดังนั้นคุณแม่จี้จึงมองนางดีขึ้นมาก ซึ่งในปีที่แล้วคุณแม่จี้เพิ่งจะใช้ให้คนในหมู่บ้านเดียวกันมาส่งปลาแห้งครึ่งชั่งให้นาง ทั้งหมดล้วนแล้วแต่เป็นของดี

แน่นอนว่านางไม่ได้รับของจากคุณแม่จี้เพียงฝ่ายเดียว นางได้ส่งเห็ดแห้งครึ่งตะกร้ากลับไปให้ ซึ่งเห็ดพวกนี้ซูจิ้นตั๋งลูกชายคนรองของนางเป็นคนขึ้นไปเก็บบนภูเขาหน้าฝนเมื่อปีก่อนหน้านั้น นางได้นำมาตากแห้งและเก็บเอาไว้ นับว่าเป็นของดีทีเดียว

ในสายตาของคนนอก นี่คือการแสดงความรักใคร่กลมเกลียวกันระหว่างสองครอบครัว แต่จริง ๆ แล้วเกิดอะไรขึ้นนั้น มีเพียงนางกับคุณแม่จี้เท่านั้นที่รู้

แต่ทั้งคู่ก็เต็มใจจะสานความสัมพันธ์อันดีนี้ไว้ ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องดีแล้ว

หากพูดตามตรงจริง ๆ ก็คือแม้ว่าการแต่งงานนี้จะเกิดขึ้นเพราะทางฝั่งคุณแม่ซูต้องการหาเงินมารักษาสามี แต่ซูตานหงก็เป็นลูกสาวของนาง นางคงไม่อยากหลอกใช้ลูกสาวตัวเองโดยการคลุมถุงชนแล้วปล่อยให้รักจี้เจี้ยนอวิ๋นไปเองหรอกนะ?

ความจริงแล้วนางไม่ได้รู้นิสัยจี้เจี้ยนอวิ๋นดีนัก แต่นางเคยเห็นเขามาก่อน เขาเป็นผู้ชายตัวสูงใหญ่ ทั้งยังเป็นทหาร เมื่อดูจากเรื่องนี้แล้วเขาก็น่าจะทนต่อความยากลำบากและมีความรับผิดชอบ

และการเป็นทหารนี่จะได้เงินเดือนทุกเดือนไม่ใช่เหรอ? เรื่องนี้จะทำให้ลูกสาวของนางมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีอย่างแน่นอน

ดังนั้นคุณแม่ซูจึงตกลงจัดงานแต่งนี้ขึ้น

ซูตานหงยิ้มแล้วพูด “แม่มีสายตาดีไม่น้อยเลยค่ะ”

“อย่าคิดว่าแม่ไม่รู้นะ ว่าในปีก่อนหน้านี้แกคิดว่าเจี้ยนอวิ๋นเป็นทหารแล้วจะกลับบ้านไม่ได้สองครั้งต่อปี” คุณแม่จี้กระซิบ

“ไม่ใช่ว่าตอนนั้นหนูไม่สนใจเหรอคะ?” ซูตานหงโกหกหน้าตาย “ตอนนี้ไม่เป็นไรแล้วค่ะ เขาได้อยู่บ้านตลอดแล้ว หนูเองก็ไม่ได้หวังพึ่งเงินเดือนจากเขา ตราบใดที่เขาจัดการสวนดี เราก็ไม่จำเป็นต้องกังวลแล้ว”

“ถูกแล้วล่ะ แต่แกเองก็ต้องดูแลครอบครัวด้วยนะ ฉันได้ยินว่าที่บ้านแกมีปลาตัวใหญ่กับเนื้อกินกันทุกวันเลยนี่ เป็นไปได้อย่างไรกัน? ต่อให้มีภูเขาเงินภูเขาทองก็ยังไม่พอให้แกใช้จ่ายอีกเหรอ?” คุณแม่จี้พูด

“เรื่องนี้แม่รู้ได้ยังไงคะ?” ซูตานหงยิ้ม

ตอนนี้ทุกคนในหมู่บ้านพากันพูดถึงบ้านของเธอแล้วว่ามีเนื้อมีปลากินทุกวัน มั่งคั่งยิ่งกว่าบ้านเจ้าของที่ดินสมัยก่อนเสียอีก ขนาดเจ้าของที่ดินยังไม่กล้ากินแบบนี้เลย

ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็เอ่ยด้วยดวงตาฉายแววละโมบ ซึ่งซูตานหงได้ยินคำพูดเหล่านี้แล้ว เพียงแต่เธอไม่เก็บมาใส่ใจ

“เจี้ยนอวิ๋นเป็นผู้ชายตัวใหญ่ จะไม่ให้เขากินเนื้อได้ยังไงคะ? ที่บ้านไม่มีเงินเหลืออยู่ก็จริง แต่หนูก็ปล่อยให้เป็นแบบนี้ไม่ได้หรอกค่ะ ถ้ามีเงินแล้วสุขภาพไม่ดี จะมีเงินไปเพื่ออะไรล่ะคะ?” ซูตานหงเอ่ย

คุณแม่ซูถอนหายใจเมื่อได้ยินคำพูดเช่นนี้ และเอ่ยกลับ “นั่นก็ฟังมีเหตุผลดีนะ พ่อแกเองก็เคยบอกว่าแม่หุงข้าวน้อยเกินไป แต่นี่ก็เพื่อเก็บไว้กินหลาย ๆ ปี ทว่าคนกลับจากไปเร็วเหลือเกิน พอมาถึงวันที่ทุกอย่างผ่อนคลาย เขาก็ไม่ได้มีชีวิตอยู่เพื่อร่วมเสวยสุขแล้ว”

“ถ้างั้นแม่ต้องใส่ใจกับเรื่องนี้เหมือนกันนะคะ แม่ต้องกินต้องดื่มบ้าง อย่าประหยัดเกินไป ถ้าตอนนี้แม่ยังไม่อยากกินอะไรดี ๆ พอถึงวันที่ฟันร่วงหมดแล้ว แม่จะไม่ได้กินของที่อยากกินนะคะ” ซูตานหงบอก

คุณแม่ซูยิ้มพลางพูด “แม่น่ะไม่ต้องห่วงแกแล้ว ดูแลเหรินเหรินให้ดีแล้วกัน”

ซูตานหงหยิบเงิน 10 หยวนออกมาจากกระเป๋าเสื้อ

แม้เงิน 10 หยวนจะดูไม่มากนัก แต่มันก็มีค่ามาก เป็นเรื่องดีที่ลูกสาวจะต้องให้เงินแม่ตัวเองไว้ใช้บ้าง

“แกเก็บเงินไปเถอะ แม่ไม่เอาหรอก ไม่รู้จะเอาไว้ใช้ตอนไหน ข้าวก็มีอยู่ในนา ผักก็ปลูกไว้ในแปลง แถมยังมีไก่ที่เลี้ยงไว้ด้วย แกน่ะต่างจากฉัน ตอนนี้มีเหรินเหรินแล้วก็ต้องใช้เงินกับทุกเรื่อง แกเก็บไว้ให้เหรินเหรินเถอะ” คุณแม่ซูพูดรัวเร็ว

“แม่คะ นี่เป็นน้ำใจจากเจี้ยนอวิ๋น แม่รับไว้เถอะค่ะ” ซูตานหงบอก

คุณแม่ซูได้ฟังแล้วก็ไม่รู้จะทำอย่างไร จึงได้แต่รับเงิน 10 หยวนนั้นไว้

พวกเขากินอาหารกลางวันกันที่บ้านตระกูลซู ซึ่งอาหารนั้นสดใหม่และอร่อยมาก เป็นเพราะคุณแม่ซูเตรียมไว้เพื่อต้อนรับพวกเขาสามคนโดยเฉพาะ มีไก่ย่าง 1 ตัว ขาหมู 1 ขา ไส้หมูผัดผักดอง และกับข้าวอย่างอื่นอีกมากมาย ซึ่งล้วนเป็นของหนักท้อง

เมื่อคนทั้งสามกำลังจะกลับไป คุณแม่ซูก็ให้ซองแดงกับเหรินเหรินน้อย ซึ่งซูตานหงรับไว้อย่างไม่เกรงใจ

เมื่อกลับไปถึงบ้านและเปิดซองแดงออกมา ก็พบว่าในนั้นมีเงิน 20 หยวน

“คุณยายนี่ใจป้ำมากเลยนะ” ซูตานหงเอ่ยและอุ้มลูกชายขึ้นมาหอม

…………………………………………………