ตอนที่ 62 คัมภีร์วัชรสูตร

บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์

‘ฝันไปเหรอ?’ ฟางเจิ้งถามในใจ ระบบก็ไม่ยอมตอบ เขาเองก็ไม่มั่นใจ แต่มีความรู้สึกเหมือนตนเรียนอะไรบางอย่าง และก็เหมือนไม่ได้เรียนด้วย ความรู้สึกนี้ลึกลับมาก บอกไม่ถูก

“โฮ่งๆ…” หมาป่าเดียวดายเห็นฟางเจิ้งตื่นก็เห่าด้วยความกังวล

ฟางเจิ้งโบกมือ “ไม่เป็นไร ไม่ต้องห่วง เอาเถอะ ดึกแล้วนอนดีกว่า” พูดจบฟางเจิ้งก็พลิกตัวหลับต่อ

คืนนี้หิมะตกหนัก เป็นหิมะครั้งแรกในฤดูหนาว…

ฟ้าสางบ้างแล้ว ฟางเจิ้งลุกขึ้นนั่งบิดขี้เกียจ รู้สึกเย็นสบายไปทั้งตัว สบายมากๆ!

หลังเดินออกไปก็เจอกับลมหนาว กลิ่นปะปนกับเกล็ดหิมะ ในความสดชื่นแฝงไว้ด้วยเย็นสบายยิ่งนัก!

ฟางเจิ้งหรี่ตามองในลาน ทั้งลานถูกคลุมด้วยหิมะขาว ความรู้สึกหนึ่งคืนเข้าหน้าหนาวทำให้เกิดความแปลกใหม่มากขึ้น หิมะเกาะบนต้นไม้ บนยอดกุฏิมีหิมะกองไว้หนา เดินเข้าไปในลานส่งเสียงดังแกรกๆ ฟังแล้วสบายหูเป็นพิเศษ

แต่ว่าไม่นานฟางเจิ้งก็กลัดกลุ้ม ในลานเต็มไปด้วยหิมะจะต้องไม่ดีแน่ คนเดินไปมายากลำบาก ต้องทำความสะอาดเสียก่อน ดังนั้นเขาจึงหาไม้กวาดใหญ่มาเริ่มทำงาน หมาป่าเดียวดายก็ใช้จมูกดันบนพื้น ลากเป็นรอยหิมะยาวหลายเส้น พอเงยหน้าขึ้นหิมะติดอยู่ที่ปลายจมูกมันเล็กน้อย แต่ก็ถือว่าทำงานเช่นกัน…

ฟางเจิ้งเห็นมันแบบนั้นก็อดไม่ไหวจริงๆ เลยผูกกระดานไม้ไว้ตรงหน้าอกมัน แบบนี้เวลามันเดินก็จะผลักหิมะไปด้วย มีประสิทธิภาพขึ้นมาก…

หมาป่าเดียวดายมองฟางเจิ้งด้วยแววตาคับแค้นใจ มันแค่อยากเล่นหิมะเท่านั้น แบบนี้คือบังคับทำงานกันรึเปล่า?

ฟางเจิ้งไม่สนใจมัน แต่หลังทำความสะอาดจากกุฏิไปจนถึงห้องน้ำและห้องครัวแบบง่ายๆ แล้วก็รีบไปทำอาหาร

กินข้าวกวาดหิมะกลายเป็นเรื่องหลักที่เขาต้องทำในวันนี้ ยุ่งอยู่หนึ่งชั่วโมงกว่าก็กองหิมะไว้หลังวัด ก่อนเล่นสนุกก่อหิมะเป็นตุ๊กตาหิมะตัวใหญ่ ใช้ดินทำเป็นดวงตา แล้วปักไม้ลงไป รวมเป็นตุ๊กตาหิมะตัวใหญ่สองเมตร

ฟางเจิ้งกวาดไปข้างหน้าวัดอีกทางหนึ่ง เขาจะเก็บที่เหลือไว้ใช้

เมื่อทำความสะอาดอุโบสถแล้วก็ว่างอีกครั้ง เขาหักนิ้วมือพลางยิ้ม “เล่าลือว่าอักษรพุทธองค์มังกรกำราบสวรรค์ได้ ไม่รู้ว่าตอนนี้ฉันจะเขียนอักษรออกมาเป็นยังไง”

พูดจบก็หยิบไม้มาท่อนหนึ่ง ยืนบนพื้นหิมะ สูดลมหายใจเข้าลึก ใช้ท่อนไม้เป็นพู่กัน ใช้แผ่นดินเป็นกระดาษเขียนลงไป!

ฟางเจิ้งกลั้นหายใจรวมสมาธิ เขาพลันเข้าไปอยู่ในสภาวะลืมตัวเอง ถือท่อนไม้ค้างไว้อย่างนั้น ราวกับกำลังเตรียมการบางอย่าง…

“นี่วัดเอกดรรชนีเหรอ โหวจื่อ นายมั่นใจนะว่าไม่ได้หลอกฉัน? นี่ทำเอาฉันเกือบตายแหน่ะ!” ชายวัยกลางคนหอบหายใจพลางปีนขึ้นเขามา ก่อนนั่งลงกับพื้น เป็นตายยังไงก็ไม่ลุกขึ้นมา

โหวจื่อข้างๆ ก็เหนื่อยจนเหงื่อท่วมหัว ยิ้มเฝื่อนๆ “หลอกนาย? หลอกนายแล้วจะมีประโยชน์อะไรล่ะ? ฉันจะบอกให้นะอีกเดี๋ยวก็พบไต้ซือแล้ว จะต้องทำตัวดีๆ ล่ะ เขาเคยช่วยชีวิตฉันไว้ ถ้านายไม่เคารพอย่าหาว่ามือฉันไปดูแลหน้านายก็แล้วกัน”

“รู้แล้วๆ อย่าพูดมากน่า ครั้งนี้ฉันมาเพราะข่าวใหม่เลย โหวจื่อ นายว่าข่าวลือเป็นจริงไหม? หลวงจีนที่นี่โน้มน้าวให้หานเซี่ยวกั๋วมอบตัวน่ะ? เขาเก่งกว่าตำรวจอีกเหรอเนี่ย?” ชายวัยกลางคนกล่าว

โหวจื่อตอบ “หึๆ เหล่าอู๋ นี่เห็นแก่ที่นายรู้จักฉันนะ ถ้าเป็นคนอื่นถามฉันไม่ยอมบอกแน่ คนอื่นไม่เชื่อ แต่ฉันเชื่อ! พั่งจื่อก็เชื่อ!”

“เอาเถอะ อีกเดี๋ยวพบเขาแล้วก็จะรู้เอง ไปกัน…” เหล่าอู๋ลุกขึ้นเดินไปยังวัดกับโหวจื่อ

ฟางเจิ้งยังไม่ได้ทำความสะอาดเส้นทางข้างนอกวัด ถ้าหิมะไม่ตกบนภูเขาก็ถือว่าดี แต่ถ้าหิมะตกจะเหมือนกับขนห่าน หิมะกองหนามาก สองคนเดินไปขาเกือบครึ่งจมในหิมะ เดินทีละก้าวอย่างยากลำบากจนมาถึงหน้าประตูวัด สองคนนี้เหนื่อยจนแทบจะนอนราบ

ดีที่ฟางเจิ้งกวาดหิมะหน้าประตูไปแล้ว สองคนนี้จึงยกขาออกมาจากหิมะเหยียบบนพื้นราบ ทันใดนั้นเองเหมือนมีความรู้สึกจะลอยขึ้น! สบาย สุขสมใจ!

“จริงๆ นะ ถึงวัดนี่จะไม่ใหญ่ แต่ก็อยู่บนเขาเดี่ยว มีกลิ่นอายงดงามพิเศษ พืชหญ้ามีเนื้อในแฝงอยู่ เหมือนหลอมรวมเข้าสู่กลางธรรมชาติใหญ่เลย ไม่เลวจริงๆ” เหล่าอู๋เป็นช่างกล้องนักข่าวมืออาชีพ ย่อมประเมิณค่าสุนทรียภาพได้ดีกว่าพวกโหวจื่อ มองแวบแรกก็เห็นถึงความไม่ธรรมดาของวัด

โหวจื่อฟังจนเคลิ้ม แต่มีสิ่งหนึ่งที่เขามั่นใจคือวัดนี้ดูสบายจริงๆ ไม่ให้ความรู้สึกเหมือนคนก่อสร้างอย่างกะทันหันเลย

ประตูวัดเปิดออก สองคนเดินเข้าไปก็เห็นฟางเจิ้งที่กำลังถือท่อนไม้ยืนอยู่บนหิมะ

เหล่าอู๋กำลังจะพูด แต่โหวจื่อรีบปิดปากเขาไว้และทำเสียงปราม โหวจื่อคิดมาตลอดว่าฟางเจิ้งเป็นผู้สูงส่งมาจากนอกโลกที่ซ่อนตัวอยู่ วิทยายุทธ์เลิศล้ำ ลึกลับอย่างยิ่ง ตอนนี้ฟางเจิ้งกำลังอยู่ในห้วงจิต ด้วยสัญชาตญาณของเขาจึงคิดว่าต้องเกิดเรื่องใหญ่แน่

เหล่าอู๋ก็เคยเห็นคนในเหตุการณ์ต่างๆ ในสังคม เห็นฟางเจิ้งยืนอยู่ตรงนั้นราวกับรูปปั้น ไม้ในมือประหนึ่งถือพู่กัน เขาจึงเข้าใจอะไรบางอย่าง หยิบกล้องออกมาถ่ายทำสารคดีเกี่ยวกับฟางเจิ้ง!

ในภาพสารคดี ฟางเจิ้งสวมชุดคลุมขาวกว่าหิมะ บุคลิกลอยล่อง หลุดพ้นและเหนือธรรมดา โดดเด่นออกมา ทว่าดวงตาฟางเจิ้งที่จดจ่อกลับกระตุ้นอารมณ์ของเหล่าอู๋ เขาอดใจเอ่ยขึ้นไม่ได้ว่า “แววตาจดจ่อแบบนี้จะต้องเขียนออกมาเป็นบทความยิ่งใหญ่แน่ๆ! เพียงแต่ไม่รู้ว่าเขามีความลึกซึ้งในความรู้กี่ส่วน…แต่ดูจากอายุแล้วยังไม่ถึงยี่สิบ อายุแค่นี้ความลึกซึ้งในความรู้น่าจะไม่พอ เนื้อในไม่พอ แต่ว่าถ้ายังรักษาความจริงจังแบบนี้ไว้ได้ อนาคตก็พูดยากแล้ว”

ตอนนี้เอง ฟางเจิ้งขยับ!

โหวจื่อกับเหล่าอู๋เหมือนเห็นมังกรตัวหนึ่งปรากฏขึ้นบนพื้นหิมะ ไม้ในมือฟางเจิ้งราวกับพู่กันจริงๆ กวัดแกว่งพู่กันบนผ้าวาดภาพบนพื้น ลากไปประหนึ่งมังกร หิมะสาดกระจาย! รวดเร็วอย่างยิ่ง แต่กลับแฝงไว้ด้วยท่วงทำนองบางอย่าง! หิมะลอยขึ้นแต่กลับไม่ทำให้ภาพเสียหาย!

สิ่งที่มหัศจรรย์กว่านั้นคือเห็นๆ อยู่ว่าฟางเจิ้งเหยียบกลางหิมะ แต่รอยเท้ากลับกลายเป็นส่วนหนึ่งของตัวอักษรโดยธรรมชาติ! ทำให้อักษรสมบูรณ์แบบยิ่งกว่าเดิม! มีความสมบูรณ์แบบที่ไม่ทำลายอักษร!

“นะ…นี่…ท่อนไม้คือพู่กัน สองเท้าก็เป็นพู่กัน! วาดสามพู่กันพร้อมกัน เขียนเป็นอักษรตัวหนึ่ง ต่างฝ่ายต่างส่งเสริมกันราวกับมังกรทะยานขึ้นฟ้า…” ลูกตาเหล่าอู๋แทบจะถลน เขากดชัดเตอร์กล้องถ่ายภาพรัวๆ โดยไม่รู้ตัว ถ่ายอย่างบ้าคลั่งทีเดียว!

โหวจื่อไม่เข้าใจอักษร เขาอยู่นอกวงการนี้ก็ได้แค่มอง รู้สึกว่าจังหวะก้าวฟางเจิ้งคล้ายๆ เหาะเหิน ร่างกายคล่องแคล่วแข็งแกร่งดุจมังกร ระหว่างที่อาภรณ์โบกสะบัดแสงพุทธองค์สว่างไสว กลิ่นอายวิทยายุทธ์เข้มข้นโชยเข้ามากระทบใบหน้า! ดวงตาสองข้างฉายแววตื่นเต้น ใบหน้าแดงก่ำ! เขารู้แล้วนี่คือสิ่งที่เขาต้องการ เป็นสิ่งที่เขาแสวงหา!

ทว่าฟางเจิ้งไม่รู้ว่ามีแขกมาหา ตอนนี้เขารวมสมาธิทั้งหมดในระดับสูง ในความคิดมีเพียงคัมภีร์ม้วนหนึ่ง! นี่คือคัมภีร์ฉบับสมบูรณ์ที่เขาค้นหาในอินเทอร์เน็ต คัมภีร์วัชรสูตร[1]!

‘ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วเช่นนี้ สมัยหนึ่งพระพุทธองค์ประทับอยู่ ณ วัดเชตวันมหาวิหารเมืองสาวัตถี พร้อมด้วยภิกษุหนึ่งพันสองร้อยห้าสิบรูป สมัยนั้นเป็นกาลแห่งภัตตาหาร พระพุทธองค์ทรงครองจีวรอุ้มบาตร…’ ฟางเจิ้งเพิ่งเริ่มก็แค่ใช้ท่อนไม้เป็นพู่กัน จากนั้นใช้สองขาช่วย สุดท้ายตัวเขาประหนึ่งกลายเป็นพู่กัน เขียนอักษรทีละช่วงออกมาบนภาพระหว่างฟ้าดินอย่างรวดเร็ว!

……………………………….

[1] คัมภีร์วัชรสูตร เป็นเนื้อหาสำคัญจากการเทศนาสั่งสอนของพระพุทธเจ้ากับพระสุภูติซึ่งเป็นพระอรหันต์สาวกที่พระเชตวันมหาวิหาร เป็นปัญญาญาณสมบูรณ ประดุจเพชรที่จะตัดภาพมายา