ลานวัดไม่ใหญ่ ไม่นานก็เขียนจนเต็มแล้ว ฟางเจิ้งออกจากวัดไปโดยไม่รู้ตัว เขียนต่อบนพื้นข้างนอกวัด!
ส่วนโหวจื่อกับเหล่าอู๋มองจนอึ้งงัน มองอักษรราวกับมังกรเทพทะยานขึ้นฟ้าบนพื้น ในใจเหลือแต่ความเคารพ…
เวลาผ่านไปทีละวินาที ดินข้างนอกไม่ได้ราบเรียบ หลังฟางเจิ้งเขียนไปครู่หนึ่งก็ไม่มีที่ให้เขียนอีกจึงหยุดลง
“ฟู่!” ฟางเจิ้งถอนหายใจยาว รู้สึกว่ากำลังวังชาทั่วร่างผ่อนคลายลงพร้อมกัน ทั้งตัวเหมือนกับลอยขึ้น สบายสุดๆ!
พอมองอักษรพุทธองค์มังกรของตัวเองก็หัวเราะแห้งๆ ส่ายหน้าเล็กน้อย เขาเคยเห็นอักษรพุทธองค์มังกรแท้จริงในความคิดมาก่อน อักษรนั่นยิ่งใหญ่ราวกับมังกรแท้จริงมาเยือนโลกมนุษย์ ประหนึ่งพระโพธิสัตว์มาเยือนด้วยตัวเอง! ความโออ่าทรงพลังนั้น ตัวอักษรของเขาไม่อาจเทียบได้เลยสักนิด แม้อักษรของเขาจะดีกว่าที่เคยเห็นมาไม่รู้กี่หมื่นเท่า แต่ก็ยังเทียบกับของดั้งเดิมไม่ได้ เขาถอนหายใจด้วยความผิดหวังเล็กน้อย พูดพึมพำว่า “ยังต้องฝึกอีกเยอะ เราเพิ่งจะเรียนรู้พื้นฐานเอง”
พูดจบก็เดินไปโดยไม่สนใจว่าจะทำลายความสมบูรณ์แบบของอักษรหรือไม่ เหยียบบนอักษรเป็นรอยเท้ายาว คัมภีร์สมบูรณ์พลันเละเทะ ท่วงทำนองหายไปหลายส่วน
“อมิตาภพุทธ โยมสองท่านสบายดีนะ” ฟางเจิ้งมาถึงหน้าประตูก็ชะงักงัน ในวันหิมะตกหนักปกคลุมภูเขาแบบนี้ยังมีคนขึ้นเขามาอีก? พวกเขานี่เป็นดั่งดรุณีนั่งเกี้ยว[1]จริงๆ! เมื่อมองไปหนึ่งในนั้นเป็นคนรู้จักเก่า นั่นคือโหวจื่อที่ครั้งก่อนเกือบเอาชีวิตไม่รอด
“อ๊าก!” เหล่าอู๋กับโหวจื่อถูกเรียกจึงได้สติกลับมา เหล่าอู๋พลันร้องด้วยความอนาถ ผลักฟางเจิ้งออก มองอักษรที่ถูกเหยียบจนเละตรงหน้าพลางร้องเสียงดัง “เจ๊งแล้ว! เจ๊งแล้ว! อักษรสมบูรณ์แบบขนาดนี้ถูกทำลายจนเละแล้ว! เจ๊งแล้ว!”
ฟางเจิ้งงุนงง อดถามขึ้นไม่ได้ว่า “อาตมาแค่เขียนเล่นๆ เองนะ ทำไมโยมต้องทำถึงขนาดนี้ล่ะ?”
เหล่าอู๋พลันหันมามอง ดวงตาแดงก่ำ ฟางเจิ้งตกใจจนแทบจะตบอีกฝ่ายไปหนึ่งหัตถ์ เผื่อเจ้านี่ทำอะไรที่มันนอกกรอบขึ้นมา
เหล่าอู๋มองฟางเจิ้งแวบหนึ่งถึงระงับความฉุนเฉียวลง จากนั้นกล่าวด้วยความเศร้า “เณร เณรไม่รู้จริงๆ เหรอว่าอักษรพวกนี้มีค่าแค่ไหน?”
ฟางเจิ้งส่ายหน้า “อักษรนี่เป็นแค่ระดับพื้นฐานของอาตมา จะมีค่าอะไรกัน?”
เหล่าอู๋พูดไม่ออก อักษรระดับพื้นฐานเหรอ? ถ้านี่แค่ระดับพื้นฐาน เช่นนั้นอักษรของไต้ซือพวกนั้นก็คงไม่ได้มาตรฐานแล้วล่ะมั้ง? เหล่าอู๋คิดว่าหลวงจีนนี่เสแสร้งจึงมองค้อนฟางเจิ้ง แถมยังถือกล้องถ่ายรูปวิ่งไปพลางว่า “ไม่คุยกับเณรแล้ว พวกนายอย่าเข้ามาล่ะ จะให้อักษรที่สมบูรณ์อยู่ถูกทำลายอีกไม่ได้”
เหล่าอู๋พูดจบก็ถือกล้องถ่ายรูปเข้าไปในประตูใหญ่ เตรียมจะทำสารคดีเกี่ยวกับอักษรในวัดบันทึกเก็บไว้ เขามีลางสังหรณ์ว่าอักษรพวกนี้จะสร้างชื่อเสียงโด่งดังข้ามคืนให้เขาแน่! อย่างน้อยตำแหน่งก็สูงขึ้นหนึ่งขั้น!
ฟางเจิ้งกับโหวจื่อตามไปทันที กลัวว่าเจ้านี่จะก่อเรื่องอะไร แต่พอเข้ามาฟางเจิ้งก็พูดไม่ออก โหวจื่ออึ้งค้าง เหล่าอู๋แทบจะเป็นบ้า!
เห็นหมาป่าตัวใหญ่สีเงินตัวหนึ่งกำลังกระโดดโลดเต้นไปทั้งลาน กระโดดเอาหัวมุดลงไป ชนหิมะบนพื้นจนเป็นหลุมใหญ่! จากนั้นก็กระโดดอีก! อักษรทั้งลานอ่านไม่ออกแล้ว แต่กลายเป็นหลุม…อยู่ทุกที่ในลาน…
“อ๊าก! งานศิลปะของฉัน! หมาบ้า ฉันกับแกต้องตายกันไปข้าง!” เหล่าอู๋คลุ้มคลั่ง ร้องเสียงดังพลางจะพุ่งเข้าไปสู้ตายกับหมาป่าเดียวดาย!
โหวจื่อเห็นดังนั้นจึงกอดเหล่าอู๋ไว้
เหล่าอู๋ด่าทออย่างไม่พอใจ “ไอ้โหวจื่อปล่อยสิวะ! อักษรสมบูรณ์แบบขนาดนี้ถูกเดรัจฉานทำลายจนเละ ฉันจะสู้ตายกับมัน! ฉันจะอัดมันให้พิการไปเลย! แกปล่อย ปล่อยฉัน!”
โหวจื่อยิ้มแห้ง “เหล่าอู๋ ถ้านายชนะมันได้ฉันปล่อยแน่ ปัญหาคือนายชนะมันไม่ได้…”
“ชนะไม่ได้? ฉันชนะหมาไม่ได้เนี่ยนะ?” เหล่าอู๋ตะโกนด้วยความไม่พอใจ
“นั่นไม่ใช่หมา นั่นหมาป่า! หมาป่าตัวเท่าลูกวัวน่ะ! จ่าฝูงหมาป่า!” โหวจื่อตอบ
เหล่าอู๋ได้ยินดังนั้นก็เชื่อฟังโดยพลัน ขณะจะพิจารณามองหมาป่าเดียวดายอย่างละเอียด มันกลับตะกายออกมาจากในกองหิมะ กลิ้งไปมาแถมยังส่ายก้นให้เขา แล้วเดินสะบัดหางไปหลังลาน เดาว่าเจ้านี่คงจะอึดอัดใจ เช้าตรู่ขนาดนี้ทำไมถึงมีคนบ้ามากันสองคน ส่งเสียงดังเอะอะโวยวาย รบกวนชีวิตอันมีความสุขของมันเสียได้
ทว่าสายตาเหล่าอู๋ก็ยังถือว่าเฉียบแหลม มองออกว่านั่นคือหมาป่าจริงๆ! เพลิงโทสะที่คุกกรุ่นในท้องพลันมอดดับลง รู้สึกแค่ว่าขาสองข้างอ่อนยวบ ตัวสั่นระริก “โหวจื่อ จับฉันไว้ให้แน่น…น้องรัก อย่าปล่อยมือล่ะ ฉันกลัวว่าฉันจะวิ่งเข้าไปใส่มันน่ะ…”
โหวจื่อ “@¥@%…”
ฟางเจิ้ง “อมิตาภพุทธ โยมวางใจได้ หมาป่าตัวนี้นิสัยดี ไม่ทำร้ายคน”
“ไม่ทำร้ายคน แต่มันทำร้ายอักษร…” เหล่าอู๋พูดด้วยความเศร้าสร้อย
ฟางเจิ้ง “@¥…”
โหวจื่อหัวเราะเฝื่อนๆ “ไต้ซือ นี่เพื่อนผมครับ อู๋ฉางสี่ เป็นนักข่าวสำนักพิมพ์ในอำเภอ มีชื่อเสียงมากทีเดียว แต่ว่าเป็นพวกบ้างาน หวังว่าจะให้อภัยนะครับ”
ฟางเจิ้งพยักหน้า “อมิตาภพุทธ ที่แท้ก็อย่างนี้เอง แต่พุทธศาสนาเป็นแดนเงียบสงบ ยังไงให้เพื่อนโยมรักษาความสงบด้วย”
“ครับๆ ไต้ซือวางใจได้ ผมจะให้เขาหุบปากเอง” ตอนนี้โหวจื่อเคารพนับถือฟางเจิ้งเป็นอย่างยิ่ง จึงหยิกเหล่าอู๋ทันที “นายฟังฉันหน่อยสิ ฉันพานายมาไม่ได้จะให้เป็นบ้านะ”
เหล่าอู๋เห็นอักษรของฟางเจิ้งแล้วก็เลื่อมใสดั่งคนสวรรค์ไปนานแล้ว ความโอหังก่อนหน้าหายไป
ฟางเจิ้งกล่าว “โยมสองคน หิมะตกหนักยังขึ้นเขากันมาอีก มีเรื่องอะไรหรือเปล่า?”
“ไต้ซือ ผมมาขอบคุณท่านครับ ถ้าไม่ได้ท่านเตือนไว้ ผมกับภรรยาคงตายไปแล้ว ถือว่านี่เป็นสินน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ นะครับ…” โหวจื่อควักธนบัตรสีแดงออกมาจากกระเป๋ายัดให้ฟางเจิ้ง
ฟางเจิ้งตะลึงงัน เยอะขนาดนี้เชียว?
ฟางเจิ้งอยากจะรับมาจริงๆ แต่ว่ามันไม่มีประโยชน์กับเขา!
ดังนั้นฟางเจิ้งจึงละสายตากลับ ประนมสองมือ “อมิตาภพุทธ ถ้าโยมอยากขอบคุณก็ขอบคุณพระพุทธเถอะ พวกเรามาพบกันเป็นโชคชะตา พบกันเป็นพรหมลิขิต โยมเลือกเชื่อคำพูดของอาตมาก็ถือว่าไม่มีภัยนี้ในชีวิต ส่วนเงินนี้ช่างเถอะ”
ฟางเจิ้งกล่าวจบก็หมุนตัวจากไป จะอยู่ไม่ได้แล้ว ถ้าอยู่เขากลัวว่าจะคันมือรับเงินมา! นั่นคงน่าขายหน้า…
โหวจื่อคาดไม่ถึงว่าฟางเจิ้งจะเดินไปแบบนี้ ขณะจะตามไปเหล่าอู๋ดึงโหวจื่อไว้ “เจ้าโง่ นายบอกว่าเขาเป็นไต้ซือไม่ใช่เหรอ ไต้ซือจะรับเงินนายได้ยังไง? นี่ แต่ก็รับเงินบริจาคธูปไม่ใช่เหรอ? นายไปจุดธูป บริจาคเงินจุดธูปก็ได้ไม่ใช่รึไง?”
โหวจื่อพลันเข้าใจแจ่มแจ้งจึงรีบเดินเข้าไปในอุโบสถ หยิบธูปชั้นดีที่แพงที่สุดมาขอพรอะไรเล็กน้อย จากนั้นอึ้งไป! เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าวัดนี้เหมือนจะนับถือพระแม่กวนอิมปางประทานบุตร…
………………………………………………
[1] ดรุณีนั่งเกี้ยวหมายถึง ครั้งแรกย่อมขาดประสบการณ์เป็นธรรมดา