โหวจื่อคิดไปคิดมา ถึงยังไม่อยากแต่งงานเร็ว แต่มีลูกก็ไม่เสียหาย! ดังนั้นจึงพูดเบาๆ ว่า “พระโพธิสัตว์ ขอให้ท่านคุ้มครอง ให้ลูกแฝดผมด้วยเถอะ!”

จุดธูป คุกเข่าไหว้พระ ส่วนเงินตอนนี้ไม่มีกล่องบริจาค เขาเลยวางไว้ตรงหน้าเบาะนั่งแทน ตอนนี้เองเหล่าอู๋เดินมาข้างโหวจื่อ จุดูธูปคุกเข่าไหว้เหมือนกัน

โหวจื่องุนงง “เหล่าอู๋ นายก็ขอลูกด้วยเหรอ? นายสี่สิบกว่าแล้วนี่!”

เหล่าอู๋เหลือบตามองโหวจื่อแวบหนึ่ง “สี่สิบกว่าแล้วยังไง? ชีวิตนี้ฉันมีลูกชายคนเดียว จากนั้นมาเป็นตายยังไงก็ไม่ท้องแล้ว ตอนนี้ฉันอยากมีลูกสาวบ้าง มีปัญหารึไง?” พูดจบเหล่าอู๋ก็ไหว้ ก่อนหยิบเงินสองร้อยหยวนไปวางไว้ข้างหน้า

สองคนออกมาจากอุโบสถ โหวจื่อพลันนึกขึ้นได้ “เหล่าอู๋ เมียนายทำหมันแล้วไม่ใช่เหรอ?”

เหล่าอู๋หัวเราะเฮอะๆ “ใช่ คิดจริงๆ เหรอว่าฉันอยากได้อีกคน? การเลี้ยงเด็กก็เหมือนกับดูแลบรรพบุรุษ ไม่ง่ายเลยนะที่จะเลี้ยงเด็กคนหนึ่งให้โตมาอย่างอิสระ จะต้องการอีกทำไม แต่ถ้าไม่ขอแล้ววางเงินไว้เฉยๆ ไต้ซือคงไม่เอาแน่ ไม่ใช่เพื่ออะไรหรอก แต่เพื่ออักษรนั่น คนนี่คุ้มค่า!”

โหวจื่อหัวเราะแห้งๆ และก็ไม่ได้พูดอะไร ในตอนนี้เอง ฟางเจิ้งถือน้ำออกมาสองชาม

โหวจื่อตาลุกวาว แต่ก็ถามขึ้นด้วยความเจ้าเล่ห์ “เหล่าอู๋ นายไม่ดื่มใช่ไหม?”

เหล่าอู๋พยักหน้าโดยจิตใต้สำนึก “ไม่ดื่ม”

“ฉันหิวจะแย่ เดี๋ยวช่วยนายดื่มเอง” โหวจื่อพูดจบก็วิ่งเข้าไปรับชามน้ำ ดื่มอึกๆๆ จนหมดเกลี้ยง จากนั้นพูดด้วยสีหน้าสุขสบาย “ไต้ซือ น้ำที่ยังอร่อยเหมือนเดิมเลยนะครับ!”

ฟางเจิ้งพยักหน้าเล็กน้อย ไม่ได้ตอบอะไร

โหวจื่อถามหยั่งเชิง “ขออีกชามได้ไหมครับ?”

“ไม่ได้” ฟางเจิ้งปฏิเสธอย่างเด็ดขาด

โหวจื่อเอ่ยด้วยความไม่ยอม “ครั้งก่อนก็ดื่มได้ไม่ใช่เหรอครับ?”

“ยังเหลือน้ำอีกครึ่งโอ่ง โยมลองเติมดูได้” ฟางเจิ้งมองโหวจื่อพลางหัวเราะ

โหวจื่อนึกถึงโอ่งน้ำยักษ์กับถังน้ำใหญ่แล้วก็ปวดหลัง จึงล้มเลิกความคิดจะดื่มน้ำไป

เหล่าอู๋มองโหวจื่อด้วยความสงสัย “โหวจื่อ ไม่ใช่มั้ง?…แค่น้ำชามเดียวเนี่ยนะ?”

โหวจื่อตอบกลับอย่างจำใจ “รู้จักพอเถอะ ท่านกลัวว่าเราจะหิวน้ำตายเลยให้ดื่มน้ำ ไม่งั้นด้วยนิสัยของไต้ซือคงไม่ได้ดื่มแม้แต่ชามเดียว นายจะดื่มไหม? ถ้าไม่ฉันช่วยนายเอง?”

เหล่าอู๋มักรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติจึงเหลือบตามองโหวจื่อแวบหนึ่ง แล้วก็ดื่มน้ำไปหนึ่งอึก จากนั้นอึดใจเดียวหมดเกลี้ยง แต่กลับสำลักหายใจไม่ทัน พ่นน้ำออกมาเป็นสายฝนเต็มฟ้า

โหวจื่อเห็นอย่างนั้นก็ส่ายหน้า “สิ้นเปลือง…”

เหล่าอู๋หน้าแดง รีบเบี่ยงประเด็นไป ถามฟางเจิ้งด้วยความแปลกใจ “ไต้ซือ น้ำที่เป็นน้ำพุบนเขาเหรอครับ? ทำไมอร่อยอย่างนี้ล่ะ?”

ฟางเจิ้งยิ้มน้อยๆ “เป็นน้ำพุบนเขา แต่เมื่อน้ำเข้ามาในวัดแล้วจะมีกลิ่นอายพุทธ รสชาติเลยต่างไปเล็กน้อยเท่านั้น”

“นี่…” เหล่าอู๋ไม่เชื่อเรื่องกลิ่นอายพุทธ แต่ก็ไม่ดีนักถ้าจะคัดค้านต่อหน้าฟางเจิ้ง ถ้าฟางเจิ้งไม่อยากพูดก็จะไม่ถาม ทว่าในใจก็อยากรู้อยากเห็นเหมือนกัน ตรึกตรองว่าจะหาเวลาตั้งใจศึกษาสักหน่อย หากไขความลับในนั้นได้…

เหล่าอู๋คึกคักขึ้นมาทันที

เหล่าอู๋กล่าว “ไต้ซือ อักษรที่ท่านเพิ่งเขียนเมื่อกี้ทำไมไม่เขียนลงบนกระดาษล่ะครับ?”

ฟางเจิ้งหัวเราะแห้งๆ “พูดความจริงนะ บนเขาลำบาก ไม่มีพู่กันหรือกระดาษกับจานฝนหมึกหรอก ได้แต่เขียนบนหิมะตามใจชอบ”

เหล่าอู๋พยักหน้าเหมือนมีความคิดบางอย่าง

จากนั้นโหวจื่อก็แสดงความขอบคุณฟางเจิ้งอีกครั้ง ยังบอกอีกว่าช่วงนี้แฟนเขาไม่ค่อยสบาย อีกทั้งหิมะตกทำให้เดินบนเขาลำบากเลยไม่ได้มาด้วย แล้วถึงจะลากเหล่าอู๋ลงเขาไป

แต่เดินไปได้ครึ่งทางเหล่าอู๋ก็ตบป้าบเข้าที่หัวตัวเอง “โอ๊ย ลืมถามเรื่องหานเซี่ยวกั๋วเลย”

โหวจื่อหัวเราะเยาะ “นายจะถามจริงๆ เหรอ?”

เหล่าอู๋หัวเราะเฝื่อนๆ “ช่างเถอะ ข้างนอกเขาไม่พูดเรื่องนี้กัน เราก็อย่าไปยุ่งด้วยเลย แค่ได้เห็นอักษรพวกนั้นฉันก็ได้กำไรแล้ว!” เหล่าอู๋ขยับกล้องไปมาอย่างโอ้อวด ในกล้องมีคัมภีร์วัชรสูตรที่ฟางเจิ้งใช้อักษรพุทธองค์มังกรเขียนอยู่ แม้จะมีเพียงส่วนเดียวก็มากพอแล้ว

สองคนลงเขาไปอย่างมีความสุข

บนเขากลับมาเงียบสงบอีกครั้ง ฟางเจิ้งไม่มีอะไรทำจึงพาหมาป่าเดียวดายถือท่อนไม้เดินเข้าไปในภูเขา เดินไปพลางตามหาพื้นที่กว้างเพื่อจะฝึกอักษรพุทธองค์มังกร อักษรนี้มีพลังน่าหลงใหลจริงๆ ยิ่งเขียนมากเท่าไรก็ยิ่งรู้สึกสบาย เสพติดราวกับดูดกัญชา! ฟางเจิ้งสาบานว่าตั้งแต่เล็กมาไม่เคยหลงใหลอักษรแบบนี้มาก่อน!

พริบตาเดียวผ่านไปหนึ่งวัน วันที่สอง บนหนังสือพิมพ์อำเภอเมืองซงอู่ตีพิมพ์บทความเรื่องไต้ซือลับในวัดเล็ก อีกทั้งยังแนบอักษรพุทธองค์มังกรอีกหลายแผ่น ทันทีที่อู๋ฉางสี่ส่งออกไปก็รอกับพวกหัวหน้ากองบรรณาธิการ เฝ้าหวังว่าครั้งนี้จะสร้างกระแสครั้งใหญ่ได้

แต่พวกเขาประเมิณผลตอบรับของหนังสือพิมพ์สูงเกินไป สมัยนี้หนังสือพิมพ์เล็กๆ ในอำเภอจะขายได้เท่าไรกันเชียว? ต่อให้ขายได้ก็เป็นการสั่งจองจากภายในเล็กน้อย ซื้อไปแล้วก็เอาไปวางไว้ รอห้องน้ำในหมู่บ้านทางตะวันออกขาดกระดาษแล้วก็จะรีบเอาไปเสริมให้เท่านั้น

ดังนั้นสามวันผ่านไปจึงไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ เลย

หัวหน้าบรรณาธิการตบบ่าอู๋ฉางสี ไม่ได้พูดอะไร แต่กลับสื่อความหมายชัดเจนมากว่าอักษรนี้ใช้ไม่ได้!

อู๋ฉางสีไม่ยอมเลยขอลา ถือภาพเดินไปในเมือง เขาไม่เชื่อว่าอักษรที่สวยขนาดนี้ มีพลังขนาดนี้จะขายไม่ได้? ขณะเดียวกันอู๋ฉางสีอัปเดตภาพเกี่ยวกับวัดเอกดรรชนีจำนวนมากลงในเวยป๋อ ในนั้นมีภาพฟางเจิ้งกำลังเขียนอยู่บนหิมะ แถมยังมีอักษรที่สมบูรณ์ ซ้ำยังแท็กผู้เชี่ยวชาญด้านพู่กันจีนที่มีชื่อเสียงอีกจำนวนมาก

แต่ว่า…

“นี่มันหนังเหรอ?”

“ทำออกมาได้ไม่เลวเลยนะ”

“เณรก็แสดงได้จริงจังมากเลย”

“ขอชื่อหนังหน่อย น่าดูจัง”

“หนังสั้นเหรอ? ไม่เห็นโฆษณาเลย…”

อู๋ฉางสีเห็นดังนั้นก็พูดไม่ออกและจนปัญญา ตอบกลับไปว่า “นี่เป็นเรื่องจริงนะ ไม่ได้ตัดต่ออะไรทั้งนั้น ถ้าหลอกแม้แต่นิดขอให้ฟ้าผ่า! วัดนี่อยู่บนเขาเอกดรรชนี! ใครไม่เชื่อก็ไปดูเอง!”

“ขี้โม้ล่ะมั้ง?”

“เขาเอกดรรชนี? นั่นมันที่ไหนกัน?”

“ค้นดูแล้วเป็นภูเขาเล็กนะ ข้างบนยังมีคนอีกเหรอ?”

“จะสร้างกระแสรึไง?”

………

อู๋ฉางสีโกรธแล้ว “ถ้าเชื่อก็เชื่อ ไม่เชื่อก็ช่างเถอะ”

ส่วนนักเขียนพู่กันจีนเหล่านั้นเดาว่าส่วนใหญ่ไม่เห็น ถึงอย่างไรอู๋ฉางสีก็ตัวเล็กจ้อยเกินไป ต่อให้เห็นก็คิดว่าเป็นของตัดต่อ

กระทั่งผู้เชี่ยวชาญด้านพู่กันจีนในเมืองนี้หรือโอวหยางหวาไจยังถามกลับอย่างไม่เกรงใจว่า “คงทำเพื่อได้รับการยกย่องเชื่อถือล่ะสิ ใช้มือเท้าเขียนบนหิมะเนี่ยนะ? เป็นการทำให้ลูกศิษย์คนอื่นไขว้เขวได้ ภาพของนายมันห่วยที่สุด! เขียนบนกระดาษให้เข้าใจก่อนค่อยว่าอีกทีเถอะ!”

อู๋ฉางสีโกรธแทบตาย ตอบกลับไปว่า “คุณโอวหยาง คุณจะไม่เชื่อก็ได้ จะขอหลักฐานก็ได้ แต่ไม่ควรดูถูกคนอื่น!”

โหวหยางหวาไจย้อนถาม “หึ! นายคู่ควรรึไง?!”

อู๋ฉางสีโกรธจนแทบกระอักเลือด

พอมาถึงเมืองเฮยซาน อู๋ฉางสี่ตรงไปที่สมาคมศิลปะพู่กันจีน แต่มาเจอกับโอวหยางหวาไจที่กำลังดื่มชาอยู่ในสมาคม! โอวหยางหวาไจกวาดสายตามองภาพในมืออู๋ฉางสีแวบหนึ่งจากนั้นก็โยนทิ้งไป เอ่ยอย่างไม่แยแสว่า “อวดดีหลอกคนอื่นเขาไปทั่ว!”

…………………………………….