ตอนที่ 65 เดิมพันครั้งใหญ่

บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์

อู๋ฉางสี่โกรธยกใหญ่ โยนความอดทนที่มีอยู่น้อยนิดทิ้งไปทั้งหมด แล้วชี้หน้าโอวหยางหวาไจ “โหวหยางหวาไจ! คุณอย่ารังแกคนอื่นให้มันมากนักนะ! ผมรู้นะว่าคุณเป็นนักเขียนพู่กันจีน แต่คุณไม่ได้เห็นกับตาไม่มีสิทธิ์พูดจาเหลวไหลตามอำเภอใจ! ถ้าเก่งนักก็ขึ้นเขาไปขอหลักฐานกับผม ถ้าไร้น้ำยาก็ไสหัวไปให้พ้นซะ!”

“ไอ้เวร!” โอวหยางหวาไจโกรธเหมือนกัน หลายปีมาแล้วที่ไม่มีใครกล้าพูดและถลึงตามองเขาแบบนี้

เจียงซงอวิ๋นหัวหน้าสมาคมศิลปะพู่กันจีนข้างๆ รีบตรงเข้ามา “ทั้งสองท่านๆ อย่าทะเลาะกัน เดี๋ยวผมจะจัดการให้อย่างเป็นธรรมตกลงไหม?”

อู๋ฉางสี่เห็นเจียงซงอวิ๋นออกปาก เพลิงโทสะถึงลดลง “หวังว่าหัวหน้าสมาคมจะตัดสินด้วยครับ”

โอวหยางหวาไจเอ่ย “หัวหน้าสมาคมเจียง ยังต้องดูอักษรนี่อีกเหรอ? ดูภาพที่หลวงจีนนั่นอยู่บนหิมะก็รู้แล้วว่าเป็นการสร้างกระแส!”

อู๋ฉางสี่พลันถลึงตามองโอวหยางหวาไจ โอวหยางหวาไจก็ไม่อ่อนข้อ เห็นดังนั้นก็จะลุกขึ้นเหมือนกัน

เจียงซงอวิ๋นกล่าว “เอาล่ะ สองท่านอย่าทะเลาะกัน ผมดูทั้งภาพกับอักษรแล้ว”

โอวหยางหวาไจกับอู๋ฉางสี่มองเจียงซงอวิ๋น รอฟังคำตัดสิน

เจียงซงอวิ๋นตบบ่าอู๋ฉางสี่ “เสี่ยวอู๋ ฉันรู้นะว่าคนหนุ่มสาวใจร้อนกันบ้าง แต่ถ้าใจร้อนมักทำการไม่สำเร็จหรอก ศิลปะพู่กันจีนน่ะไม่ได้จะสร้างเสร็จในสองสามวัน ภาพนี้มองจากมุมศิลปะก็ไม่เลวเลยจริงๆ…”

“หัวหน้าสมาคมอย่าพูดเลยครับ สรุปมาเลยดีกว่าว่าไม่เชื่อใช่ไหม?” อู๋ฉางสี่ออดกลั้นความคับอกคับใจไว้ ถามออกไป

เจียงซงอวิ๋นพยักหน้าและอยากจะพูดบางอย่าง แต่อู๋ฉางสี่หยิบภาพของเขาหมุนตัวจากไป เดินไปพลางพูดไปพลาง “มองแค่สั้นๆ กบในกะลา!”

“แก!” โอวหยางหวาไจกับเจียงซงอวิ๋นโมโหหน่อยๆ แล้ว!

แต่อู๋ฉางสี่พุ่งออกไปแล้ว หายไปแม้แต่เงาก็ด้วย

สองคนมองหน้ากันก่อนโอวหยางหวาไจพูด “ไอ้ห่านี่ ผมจะให้เขาเข้าใจว่าทำให้ผมโกรธแล้วต้องมีจุดจบยังไง!” พูดจบโอวหยางหวาไจก็โทรศัพท์ เจียงซงอวิ๋นไม่ได้พูดอะไร และไม่ได้ทำอะไร เห็นได้ชัดว่าปล่อยให้เขาทำไป

อู๋ฉางสี่ออกมานอกประตูก็สับสนเล็กน้อย ลงบนอินเทอร์เน็ตไม่ได้ ไปหาสมาคมศิลปะพู่กันจีนก็ไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นต่อไปเอายังไงดี? อู๋ฉางสี่เป็นเหมือนเส้นเอ็น ในเมื่อทางนี้ไม่ได้ เขาก็จะไปหาผู้เชี่ยวชาญด้านพู่กันจีน! เขาไม่เชื่อว่าจะไม่มีใครไร้ความสามารถมองไม่ออกจริงๆ!

ทว่าอู๋ฉางสี่ถูกลิขิตไว้แล้วว่าต้องผิดหวัง ผู้เชี่ยวชาญพู่กันจีนเหล่านี้อาจจะคิดว่าอักษรดี แต่กลับไม่มีใครคิดว่าเป็นของจริง ต่างบอกว่าเป็นภาพตัดต่อ แถมยังด่าเขามาอีกยกหนึ่ง ทำให้อู๋ฉางสี่คับแค้นใจอย่างที่ไม่มีใครอธิบายได้ ตกเย็นพอกลับสำนักพิมพ์แล้วอู๋ฉางสี่ถูกหัวหน้าบรรณาธิการเรียกไปคุย จากนั้นเขาก็เดินคอตกออกมาจากสำนักพิมพ์

ตกกลางคืน อู๋ฉางสี่ลากโหวจื่อไปดื่มเหล้าอย่างหนัก ด้วยความเมามายจึงพูดสาเหตุออกไป

โหวจื่อคอยจับตามอง รู้ว่าอู๋ฉางสี่มีปัญหาเลยอยากจะเมา เขาจึงไม่ได้ดื่มมากนักเพื่อรอส่งอีกฝ่าย หลังได้ฟังเรื่องของอู๋ฉางสี่ โหวจื่อก็ตบๆ อีกฝ่าย “พี่ใหญ่ นายอย่ารีบร้อนน่า พวกเขาไม่เชื่อภาพ นายก็ให้ไต้ซือเขียนส่งไปสิ! ส่วนเรื่องตกงานก็ช่างเถอะ พี่ชายฉันขาดคนพอดีนายช่วยฉันหน่อยได้ อ้อ ใช่ แล้วถ้าหาในเมืองไม่ได้ นายลองไปดูเมืองอื่นสิ…”

“ไม่ต่างอะไรกันหรอก ไม่ต่างกันหรอก!” อู๋ฉางสี่เมาจนตาพร่ามัว หลับตาพูดพึมพำ

โหวจื่อก็จนปัญญา ตอนนี้พูดอะไรไปอีกฝ่ายก็ไม่รู้เรื่อง จึงดื่มไปอีกสองสามแก้วแล้วปลุกอู๋ฉางสี่ ส่งเขากลับบ้าน

วันที่สองอู๋ฉางสี่ยังคงกลัดกลุ้ม โหวจื่อพูดโน้มน้าวต่อว่าให้ไปในมณฑลไปเมืองหลวงอะไรพวกนี้ แต่ไม่มีประโยชน์ ตอนนี้เองหลูเสียวอ่าพูดขึ้นอย่างรำคาญ “พวกนายเป็นหมูรึไง? พวกเขาไม่เชื่อก็เดิมพันกับพวกเขาสิ! เดิมพันสักล้านหนึ่ง ถ้าไม่ยอมก็ขึ้นเขา!”

ปัง!

อู๋ฉางสี่ตบโต๊ะยืนขึ้น ถามว่า “เธอว่าไงนะ?!”

หลูเสียวอ่าตกใจสะดุ้ง ตอบด้วยเสียงอ่อย “ฉะ…ฉันก็พูดๆ ไปอย่างนั้นแหละ”

โหวจื่อหัวเราะ “เธอพูดไปอย่างนั้น แต่บางทีอาจได้ผลจริงๆ ก็ได้นะ! ถ้าส่งเสริมให้เป็นการประลองได้จะเป็นโอกาสสร้างชื่อให้ไต้ซือด้วย ส่วนเหล่าอู๋ก็มีโอกาสสร้างชื่อ แถมยังได้กำไรอีก!”

อู๋ฉางสี่พยักหน้า “ใช่ เอา! แต่ว่าเงินนี่ต้องรออีกสักระยะ…”

“ไม่ต้อง ฉันออกเงินให้เอง!” โหวจื่อตบหน้าอก เรื่องมั่นใจแบบนี้ได้กำไรอย่างแน่นอนไม่ขาดทุน ถ้าไม่ได้กำไรก็จะไม่ทำ!

อู๋ฉางสี่ดีใจใหญ่รีบพุ่งออกไป ครั้งนี้เขาไม่ได้ไปหาโอวหยางหวาไจ แต่ไปหาเพื่อนที่เป็นนักข่าวในสำนักพิมพ์ใหญ่ ไม่ใช่เรื่องอื่น แต่เป็นการประกาศศึกกับโอวหยางหวาไจ!

เดิมทีทุกคนเป็นเพื่อนกัน พอได้ยินว่าอู๋ฉางสี่ถูกมือมืดถอดออกจากงานก็โกรธแค้น พากันส่งต่อกันไป!

เรื่องราวใหญ่โตขึ้นเรื่อยๆ ไม่นานก็ถึงหูโอวหยางหวาไจ

พอโอวหยางหวาไจเห็นเงินเดิมพันหนึ่งล้านแล้วก็อึ้งไป หนึ่งล้าน? ถึงเขาจะเป็นผู้เชี่ยวชาญพู่กันจีน แต่เงินหนึ่งล้านไม่ใช่จำนวนน้อยๆ! ขณะเดียวกันตัวเลขนี้ก็ไม่ได้น้อยสำหรับอีกฝ่ายด้วย! เงินเดิมพันมากขนาดนี้ หรือว่าอีกฝ่ายจะเตรียมพร้อมมาแล้ว?

คิดได้ดังนั้นโอวหยางหวาไจก็ไม่กล้าเดิมพันเล็กน้อย แต่ถ้าไม่ตอบกลับไปชื่อเสียงคงป่นปี้! ชื่อเสียงกับเงินทองอันไหนสำคัญกว่ากัน?

สุดท้ายโอวหยางหวาไจก็ตอบกลับไป “เดิมพันก็เดิมพัน! แต่เดิมพันอักษรไม่น่าสนใจ เอาเป็นอักษรใครสวยกว่าดีกว่า! ถ้าเณรนั่นอักษรสวยกว่าฉันจริงๆ ฉันจะยอมแพ้! กลับกัน อู๋ฉางสี่จะต้องมาขอขมาฉัน และยอมรับว่าเป็นคนโกหกหลอกลวงคนอื่น!”

อู๋ฉางสี่ตะโกนผ่านอากาศไป “ไม่มีปัญหา! ถ้านายแพ้ ฉันขอห้าแสน ที่เหลืออีกห้าแสนให้ไต้ซือซ่อมแซมวัด!”

โอวหยางหวาไจรับคำท้า สองคนนัดกันว่าอีกสามวันขึ้นเขา!

เวลานี้คนทั้งเมืองเฮยซานต่างสนใจการเดิมพันของสองคน ต่างเชิดหน้าเฝ้ารอคอยผลสรุป ขณะเดียวกันก็อยากรู้มากว่าภูเขาเอกดรรชนีกับวัดเอกดรรชนีเป็นที่แบบไหน ถึงทำให้เกิดสงครามครั้งนี้ขึ้นมาได้? แม้สังคมจะพัฒนามาจนถึงปัจจุบัน ศิลปะพู่กันจีนก็ไม่ได้แพร่หลายแล้ว แถมผู้เชี่ยวชาญศิลปะพู่กันจีนมักจะอยู่ในกลุ่มคนเงียบๆ ทว่าถ้าเรื่องนี้ดังขึ้นมาก็ยังกระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นในวัฒนธรรมของทุกคน

โดยเฉพาะวิธีการนำเสนอแบบนี้มีสีสันเหมือนในนิยายมาก หลวงจีนของวัดเล็กในที่กันดารหาไม่พบกลับท้าประลองกับผู้เชี่ยวชาญศิลปะพู่กันจีนในเมือง? มันน่าสนุกมากเลยละ

ทุกคนค้นหาในอินเทอร์เน็ตยิ่งสับสนกว่าเดิม ที่เล็กแบบนี้ กันดารแบบนี้ ดูไม่เตะตาแบบนี้ จะมีไต้ซืออยู่จริงๆ หรือ?

พลังของโซเชี่ยลมีเดียไม่มีสิ้นสุด ไม่นานก็มีคนค้นเจอเวยป๋อของเจียงถิง เรื่องที่หยางหวาขอลูกก็เป็นที่สนใจอีกครั้ง ขณะเดียวกันในเนื้อหาล่าสุดของเจียงถิง ยังมีข่าวสงสัยว่าเสียวหมี่ลูกสาวของหานเซี่ยวกั๋วที่เป็นเนื้องอกในสมองระยะสุดท้ายมารักษาหายที่วัดเอกดรรชนีด้วย

ผู้คนต่างฮือฮา แต่คนที่ไม่เชื่อกลับมีมากกว่า

“วัดเอกดรรชนีจะสร้างกระแสจริงๆ!”

…………………………………………….