ตอนที่ 66 เปิดภูมิปัญญา?

บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์

“ขี้โม้ทะลุฟ้าไปแล้ว หลวงจีนนี่เป็นหัวโจกเรื่องนอกกรอบรึไง”

“ใช่ ไม่แน่อาจเป็นหลวงจีนปลอมก็ได้!”

“หลวงจีนนี่ขี้โม้จริงๆ ไม่รู้ว่าไต้ซือไป๋อวิ๋นได้ยินเข้าแล้วจะว่ายังไง เหอะๆ…ถ้ามีอาจารย์และศิษย์ริเริ่มแบบนี้คงถูกตบจนตาย”

“ไต้ซือไป๋อวิ๋นวัดเมฆาขาวเป็นดั่งเทพเจ้า จะสนใจหรือไง? สนใจจริงๆ ค่อยเป็นข่าวเถอะ”

“ใช่…”

……

ขณะเดียวกัน โรงพยาบาลอำเภอเมืองซงอู่ก็มีคนไปสอบถาม กระทั่งหลู่ซวงซวงก็ยังมีคนไปเยี่ยม เวลานี้ผู้คนมากมายต่างยุ่งกันเพราะฟางเจิ้ง…

กลับกันฟางเจิ้งกำลังนอนยิ้มซื่อๆ อยู่บนเตียง!

“พระเจ้า! เงินมากขนาดนี้เลย? โหวจื่อใจกว้างจริงๆ ฮ่าๆ…” ฟางเจิ้งดีใจมาก! ข้าวผลึกเหลือน้อยลงทุกที ข้าวธรรมดาก็ไม่อยากจะกินอีก แม้แต่หมาป่าเดียวดายยังไม่เอาข้าวธรรมดาแล้ว

ทว่าไม่มีเงินจริงๆ ถ้ากินข้าวผลึกหมดคงได้แต่กินข้าวธรรมดา เดิมทีคิดว่าฤดูหนาวคงต้องเคี่ยวกรำสักหน่อย แต่ฉับพลันมีเศรษฐีมาแบบนี้ ฟางเจิ้งไม่ดีใจก็บ้าแล้ว!

เขานับธนบัตรทีละใบ ก็พบว่าตนไม่เหมือนหลวงจีนจริงๆ!

‘ระบบ นายดูสิ ฉันไม่เหมาะกับการเป็นหลวงจีนเลยใช่ไหมล่ะ ปล่อยฉันลงเขาเถอะ…’ ฟางเจิ้งนอนอยู่บนเตียงพลางพูดพึมพำในใจ

“ติ๊ง! นายฆ่าตัวตายได้ ฉันจะไปหาร่างสถิตคนใหม่”

ฟางเจิ้งหัวเสีย

“นี่ระบบ ฉันพูดจริงนะ จะเลือกฉันทำไม? วัดเมฆาขาวก็ใหญ่ออกขนาดนั้น ข้างในมีหลวงจีนเยอะแยะ นายสุ่มเลือกมาสักคนก็ยังได้” ฟางเจิ้งกลัดกลุ้มแล้ว ทำไมเขาถึงถูกรางวัลแบบนี้กันนะ?

“พุทธศาสนาของเรานำพาคนให้สำเร็จอรหันต์ นำพามารให้สำเร็จอรหันต์ ไม่ใช่นำพาพุทธให้สำเร็จอรหันต์ นายคือคนข้ามฝาก ฉันก็เป็นคนข้ามฝากเหมือนกัน นายพาคนในโลกนี้ข้ามฟาก ส่วนฉันพานายข้ามฟาก”

“เอ่อ…” ฟางเจิ้งงุนงง ระบบพูดแบบนี้เขาไม่รู้ว่าควรจะตอบยังไงดี

ฟางเจิ้งถูจมูก “ปัญหาคือฉันไม่อยากเป็นหลวงจีนจริงๆ! ใจฉันเป็นแบบนี้นายยังให้ฉันเป็นไต้ซืออีกเหรอ? เป็นแล้วก็เหมือนกับของปลอม?”

“จิตใจไม่ถึงไม่มีวันได้เป็นไต้ซือ จิตใจไม่ถึงไม่มีวันสำเร็จอรหันต์ การสำเร็จอรหันต์เป็นไต้ซือไม่เกี่ยวกับพลังยุทธ์ ไม่เกี่ยวกับอภินิหาร ไม่เกี่ยวกับคนนอก แต่เกี่ยวกับจิตใจ”

“ถ้างั้นฉันก็ไม่มีวันเป็นไต้ซือได้จริงๆ?” ฟางเจิ้งเพิ่งพบว่าปัญหานี้หนักหนานัก!

“บุญกุศล บุญกุศลร้อยเท่าก็เท่ากับสำเร็จเหมือนกัน! คนอื่นต้องมีจิตใจถึงบุญกุศลถึง แต่นายต้องมีบุญกุศลมากกว่าคนอื่นร้อยเท่า”

ฟางเจิ้งถาม “เอ่อ ถามหน่อยนะ ถ้าเป็นไต้ซือต้องใช้บุญกุศลเท่าไร?”

“คนอื่นเป็นไต้ซือต้องใช้บุญกุศลหนึ่งล้าน ของนายก็ร้อยล้าน”

“แล้วตอนนี้ฉันมีบุญกุศลเท่าไร? ฉันทำความดีไปเยอะนี่?” ฟางเจิ้งถาม

“โน้มน้าวคนให้เป็นคนดีกับเติมเต็มความปรารถนาได้หนึ่งบุญกุศล ช่วยคนสองบุญกุศล ให้คนชั่วกลับใจสี่บุญกุศล นายมีทั้งหมดสิบหกบุญกุศล”

ฟางเจิ้งได้ยินดังนั้นก็หน้ามืด! เขาพยายามมานานขนาดนี้เพิ่งได้สิบหกบุญกุศล! แล้วจะถึงร้อยล้านเมื่อไร? ตอนนี้เองฟางเจิ้งรู้สึกว่าตนนอนเป็นแมลงวันที่หมอบอยู่บนกระจก อนาคตเป็นแสงสว่าง หนทางไม่มีอยู่!

“นี่ระบบ นอกจากบุญกุศลจะได้เป็นไต้ซือกับสำเร็จอรหันต์แล้ว ไม่มีประโยชน์อื่นๆ เลยเหรอ?” ฟางเจิ้งถามด้วยความไม่ยอม

“ใช้ลดโทษได้ ถ้านายผิดศีลจะลดบุญกุศลแทนได้ ถ้าบุญกุศลไม่พอก็เป็นการเพิ่มกรรม”

“เพิ่มกรรมแล้วยังไง?”

“อธิบายไม่ได้ ได้แต่สัมผัสแต่บอกไม่ได้ นายสัมผัสเองแล้วกัน”

‘สัมผัส…สัมผัสกับผีแกสิ!’ ฟางเจิ้งด่าในใจ คำว่ากรรมในพุทธศาสนาพูดได้ว่าเป็นสิ่งที่พระโพธิสัตว์ไม่อยากแตะต้อง จะให้เขาไปสัมผัส? เขาไม่ได้โง่สักหน่อย

‘ช่างเถอะ ยังต้องเดินต่อไป เดินไปเรียนรู้ไปแล้วกัน บางทีวันหนึ่งระบบอาจจะถูกพิษเสียจิตวิญญาณไปก็ได้…’ ฟางเจิ้งพึมพำในใจ ก่อนเดินบนเส้นทางที่บีบให้เป็นสงฆ์ผู้กระทำความดี

นับเงิน เล่นกับหมา กลายเป็นเรื่องที่ฟางเจิ้งชอบที่สุดในทุกวัน

ข้าวใกล้จะหมดแล้ว ฟางเจิ้งโบกมือกว้างซื้อข้าวผลึกมาอีกร้อยเมล็ด! ไม่กินข้าวธรรมดาแล้ว กินแต่ข้าวผลึกหุงด้วยน้ำบริสุทธิ์ทุกมื้อ ช่วงเวลาสั้นๆ ก็ชุ่มชื้นไปแบบนี้ ขณะเดียวกันร่างกายก็กำยำขึ้น ผิวหนังแวววาวขึ้นเรื่อยๆ กำลังวังชาเต็มเปี่ยม เหมือนกับมีกำลังไม่มีสิ้นสุด

ในเวลาเดียวกันต้นโพธิ์ในลานเกิดการเปลี่ยนแปลง สภาพอากาศหนาวขึ้นเรื่อยๆ แต่เจ้านี่กลับมีชีวิตชีวาขึ้น เดิมทีคิดว่าจะถูกแช่แข็งตาย แต่ดันแตกใบใหญ่ เอ่อล้นไปด้วยพลังชีวิต!

เห็นดังนั้นฟางเจิ้งได้แต่ยกนิ้วโป้งให้มัน “จะตายอยู่แล้วยังทำได้ดีถึงขนาดนี้ ฉันนับถือ!”

“ระบบ นายมั่นใจนะว่าต้นไม้นี้ไม่ได้เปิดภูมิปัญญาแล้ว? หน้าหนาวยังเติบโตขนาดนี้ได้…” ฟางเจิ้งถาม

“ต้นโพธิ์สูบพลังพุทธกับกลิ่นอายธูปในวัดเลยไม่กลัวความหนาว จากนี้ยิ่งแสงธูปสว่างไสวเท่าไร มันก็ยิ่งเติบโตมากเท่านั้น ถ้าเป็นพันปีหมื่นปีจากนี้ก็อาจจะเปิดสัมผัสจริงๆ ก็ได้” ระบบตอบ

ฟางเจิ้งงุนงง “ถ้าอย่างนั้นทำไมวัดอื่นถึงไม่มีเรื่องแบบนี้ล่ะ?”

“วัดจากระบบจะไปเทียบกับวัดคนธรรมดาได้ยังไง?”

ฟางเจิ้งหมดคำจะโต้ตอบ จึงตบเข้าที่ลำต้นโพธิ์ “เอาเถอะ หวังว่าจะไม่ต้องเอาแกมาทำฟืนจุดไฟนะ พยายามเข้าล่ะ”

พูดจบก็หันหน้าไปมองอุโบสถอย่างเงียบเหงาแล้วส่ายหน้าอย่างจำใจ “เฮ้อ ยังมีหน้าไปพูดถึงคนอื่นอีก ภารกิจธูปร้อยดอกของฉันยังไม่รู้เลยว่าจะเสร็จเมื่อไร ตอนนี้ได้แค่ธูปสองดอกเอง…”

ฟางเจิ้งใกล้จะสิ้นหวังแล้ว แต่วันที่สองมีเสียงตะโกนดังมาจากข้างนอกจนเขาตกใจวิ่งออกมาจากห้องครัว หมอบอยู่ตรงสันกำแพงมองไป เห็นคนกลุ่มใหญ่กำลังเคลื่อนขบวนตรงมาที่วัดเอกดรรชนี!

คนนำหน้าถือกล้องกันมาไม่น้อย! เพียงแต่ว่าไม่มีคนที่รู้จักกัน

ฟางเจิ้งกลัดกลุ้มแล้ว นี่มันเรื่องอะไรกัน? ทำไมนักข่าวถึงมากันขนาดนี้? หรือว่าเรื่องที่เขาใช้เม็ดยาหวนคืนเล็กรักษาหมี่ลี่จะแพร่งพรายออกไป ต่อให้แพร่งพรายก็ไม่ควรมีใครเชื่อสิ ทำไมถึงมากันมากขนาดนี้?

ขณะฟางเจิ้งนับจำนวน กลุ่มคนก็มาถึงหน้าประตูใหญ่แล้ว ฟางเจิ้งรู้ว่าหลบไม่ได้ จึงได้แต่ออกหน้าต้อนรับ

ไช่ฟางหอบหายใจมองวัดเอกดรรชนีข้างหน้าพลางพูดด้วยความขมขื่น “ในที่สุดก็มาถึงแล้ว วัดโทรมๆ แบบนี้ไม่รู้ว่าใครช่างคิดมาสร้างในที่บ้าบอแบบนี้ ดีที่อู๋ฉางสี่หาเจอ คงลำบากเขาแย่เลย”

ผู้หญิงที่มีไฝดำตรงปากข้างๆ ยิ้มเยาะ “กลัวว่าอู๋ฉางสี่จะไม่ได้หาเจอน่ะสิ แต่หลวงจีนในวัดมีใจใฝ่กิเลส หาอู๋ฉางสี่เพื่อสร้างกระแส หลวงจีนสมัยนี้ยังมีคนที่ใจใฝ่พุทธอีกหรือไง? เล่นหุ้น เล่นเวยป๋อ ไม่ทำอะไรแถมยังแต่งงานมีลูกอีก…ก่อนหน้านี้ก็มีหลวงจีนเรียกตัวเองว่าเป็นศิษย์เอกหัวหน้าคณะวัดภาคใต้ วิ่งออกมาแสดงวิทยายุทธ์ต่างๆ อยากจะสร้างชื่อเสียงนี่? ฉันว่านะหลวงจีนที่นี่จะต้องคิดแบบนี้อยู่แน่ๆ”

“จิ่งเหยียน เธอรับผิดชอบคำพูดตัวเองหน่อย พวกเราเป็นนักข่าว ได้แค่พูดตามความจริง จะพูดจามั่วซั่วไม่ได้” ไช่ฟางพูดขึ้นด้วยความไม่พอใจเล็กน้อย

……………………………………….