ตอนที่ 67 บนเขามีหมาป่า

บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์

จิ่งเหยียนเบะปาก “ฉันไม่ได้เดามั่วสักหน่อย แต่เห็นมาเยอะแล้ว ไม่ว่าจะพูดยังไงนะ คนพวกนี้ก็มีดีอยู่บ้างแหละ ให้พวกเราทำข่าวได้เยอะเลย ไม่อย่างนั้นโลกนี้คงไม่ได้เม้าท์มอยกันหรอก?”

“อาจารย์ไช ผมว่าจิ่งเหยียนพูดก็มีเหตุผลนะ อาจารย์ดูวัดนี่สิ อยู่ในถิ่นกันดารแบบนี้ใครจะมาจุดธูปไหว้พระ? ถ้าไม่มีช่องทางรวยจริงๆ วัดจะใหม่ขนาดนี้ได้ยังไง? ผมเคยเห็นวัดในถิ่นกันดารมาแล้ว แต่ละที่มีแต่จะถล่มลงมาได้ตลอดทั้งนั้น” เฉินจิ้งพูดเสริมจิ่งเหยียน

ไชฟางอ้าปากหมดคำจะโต้ตอบ ทำได้แค่พยักหน้า “อย่างนั้นก็เข้าไปดูกันเถอะ”

“ใช่ เจิ้งจู่ยังไม่มา พวกเราเข้าไปเดินดูกัน ทำความคุ้นเคยกับสถานที่ก่อน อีกเดี๋ยวจะได้หาที่เหมาะๆ” เฉินจิ้งพูดจบก็เชื้อเชิญจิ่งเหยียนให้ไปด้วยกันอย่างกระตือรือร้น

จิ่งเหยียนไม่ปฏิเสธ เดินตามเฉินจิ้งเข้าไปทางวัดอย่างรวดเร็ว ช่างกล้องข้างหลังที่ตามมาต่างส่ายหน้าเล็กน้อย พวกเขาขี้เกียจจะสนใจเรื่องที่คนพวกนี้คุยกัน แค่ถ่ายภาพให้ดีไปก็พอ

ขบวนหกคนเดินมาถึงประตูวัดอย่างเร็วไว

ไชฟางเงยหน้ามองป้ายวัดเอกดรรชนี “ถ้าไม่นับอักษรในอินเทอร์เน็ต แค่อักษรบนป้ายวัดเอกดรรชนีก็ดีแล้ว เป็นสี่เหลี่ยม มีความถูกต้องน่ายำเกรง”

“อาจารย์ไช ฉันไม่เข้าใจอักษรและก็ไม่สนด้วยว่าอักษรจะเป็นยังไง แค่อยากดูผลการแข่งขันเท่านั้น ถ้าเณรนั่นไร้ความสามารถจริงๆ เหอะ…ต่อให้ป้ายวัดนี่เป็นภาพของเหยียนเจิงชิง[1]แล้วยังไง?” จิ่งเหยียนกล่าว

ไชฟางส่ายหน้าเล็กน้อย จนปัญญากับนักข่าวสาวสวยมือใหม่คนนี้ ใครใช้ให้เธอเส้นใหญ่กันล่ะ อีกทั้งยังมีความสามารถจริงๆ ด้วย ได้ตัดหน้าทำข่าวที่ดังๆ ตั้งหลายครั้ง ตอนนี้เป็นคนมีชื่อเสียงของเมืองเฮยซาน

“อมิตาภพุทธ พวกโยมมาวัดอาตมามีอะไรรึ?” ตอนนี้เอง เสียงราบเรียบดังแว่วข้างทุกคน

จิ่งเหยียนตกใจสะดุ้ง ปากกำลังวิจารณ์วัดอยู่ ความจริงก็ไม่ใช่ว่าเธอไม่เข้าใจอักษร เพราะถ้าไม่เข้าใจก็คงไม่ถูกส่งมา เธอเพิ่งถูกอักษรบนป้ายดึงดูดไปจึงไม่ได้สนใจ พอมีเสียงดังแว่วมาจึงตกใจจริงๆ

อย่างที่ว่าไว้ บริสุทธิ์ใจก็ไม่ต้องกลัวอะไร แต่ถ้าไม่บริสุทธิ์ใจจะต้องลนลาน โดยเฉพาะคนที่พูดจาร้ายๆ ลับหลังคนอื่น พอเจ้าตัวได้ยินเข้า…

จิ่งเหยียนได้ยินดังนั้นก็มองไป เห็นหลวงจีนผิวขาวสะอาดรูปหนึ่งยืนอยู่ตรงประตู สวมชุดคลุมขาว หัวโล้นมันวาว สิบนิ้วเรียวยาว ไม่มีเล็บเกินออกมาแม้แต่น้อย ทั่วร่างให้ความรู้สึกสะอาดสะอ้าน! นี่คือหลวงจีนที่สะอาดจนให้ความรู้สึกสบาย!

หลวงจีนเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย ใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้มอบอุ่น ให้ความรู้สึกเหมือนอาบอยู่กลางสายลมฤดูใบไม้ผลิ รอยยิ้มนี้ไม่เหมือนพวกนักบวชชรา ในความอ่อนโยนมีความน่าเกรงขาม เพียงแต่มันทำให้รู้สึกว่าหลวงจีนรูปนี้อบอุ่นมาก…

‘เป็นหลวงจีนที่สวยจริงๆ’ จิ่งเหยียนพูดในใจ ใช้คำว่าสวยมาบรรยายบุรุษคงไม่เหมาะนัก แต่นี่เป็นคำแรกที่ปรากฏขึ้นในใจ ทว่าเธอก็รู้ในทันทีว่าหลวงจีนตรงหน้าคือหลวงจีนที่เห็นในภาพเวยป๋อของอู๋ฉางสี่!

หลังยืนยันเป้าหมายแล้ว ความรู้สึกดีในใจจิ่งเหยียนพลันลดต่ำลงถึงจุดเยือกแข็ง คิดในใจว่า ‘หลวงจีนลวงโลกดีๆ นี่เอง แค่ศิลปะะการแสดงก็ชิงรางวัลออสการ์ได้เลย แทบจะหลอกสายตาเฉียบคมของเราได้! ศิลปะพู่กันจีนจะต้องฝึกฝนอย่างหนักเป็นเวลานานและมีพรสวรรค์ รวมถึงมีอาจารย์ชื่อดังคอยชี้แนะถึงจะประสบความสำเร็จ หลวงจีนนี่อายุแค่นี้จะมีความสามารถแค่ไหนกัน? เขาต้องไม่ใช่คนที่เขียนอักษรในภาพนั้นแน่! แต่กลับเอาไปขาย เป็นพวกเปลือกนอกดูดีแต่ภายในเลวทรามอีกขั้นหนึ่งเลย!’

คิดได้ดังนั้นจิ่งเหยียนก็จะกล่าวออกไป

แต่ไชฟางเอ่ยไปก่อน “สวัสดีครับเณร พวกเราเป็นนักข่าวจากเมืองเฮยซาน ได้ยินว่าเณรจะประลองศิลปะะพู่กันจีนกับโอวหยางหวาไจผู้มีชื่อเสียงด้านศิลปะพู่กันจีนในเมืองเฮยซาน เลยมารอดูการแข่งขันก่อนน่ะครับ แล้วก็จะบันทึกกับรายงานด้วย”

ฟางเจิ้งได้ยินดังนั้นก็งงใหญ่ “เมืองเฮยซาน? นั่นไกลมากเลยนะ…พวกโยมเป็นนักข่าวเมืองเฮยซาน? อาตมาจะประลองศิลปะพู่กันจีนกับผู้มีชื่อเสียงด้านศิลปะพู่กันจีน? นี่…พวกโยมมาผิดที่รึเปล่า?” ฟางเจิ้งนึกคิดดูก็นึกไม่ออกว่าไปนัดประลองกับใครเมื่อไร! นักบวชไม่สนใจชื่อเสียง เขาลงเขาไม่ได้ คิดยังไงก็คิดไม่ออก แถมยังไปสมคบกับคนอื่นให้มาประลองอีก? เป็นไปได้เหรอ?

ไชฟางมึนงง “เณร เรื่องนี้ไม่ได้ล้อเล่นนะ เมื่อสามวันก่อนสื่อนำเสนอกันยกใหญ่แล้ว คุณโอวหยางหวาไจนัดประลองกับเณรวัดนี้ นับเวลาแล้วคุณโอวหยางหวาไจใกล้จะมาถึงแล้ว อีกอย่างยังมีสมาคมศิลปะะพู่กันจีนเมืองเฮยซานกับผู้ชื่นชอบศิลปะพู่กันจีนคนอื่นด้วย…”

“ฉันเข้าใจแล้ว เณรคะ เห็นเรื่องใหญ่แล้วกลัวใช่ไหมล่ะ?” ตอนนี้เองจิ่งเหยียนพูดด้วยท่าทางปลิ้นปล้อน

ฟางเจิ้งส่ายหน้า “อมิตาภพุทธ นักบวชไม่โกหก อาตมาไม่รู้จริงๆ ว่ามีการประลองครั้งนี้”

“ไม่รู้? ไม่รู้แล้วให้อู๋ฉางสี่ถ่ายภาพทำไม ไม่ได้จะประกาศให้โลกรู้เหรอ ไม่รู้แล้วให้อู๋ฉางสี่ไปก่อเรื่องที่สมาคมศิลปะะพู่กันจีนเมืองเฮยซานทำไม ไม่รู้แล้วยังกล้ารับเดิมพันหนึ่งล้านเหรอ เณร กล้าทำก็กล้ารับ แบบนั้นจะถือว่าเป็นผู้ชาย ไม่งั้นเณรอย่าเป็นนักบวชเลย ไปดูในวังดีกว่า เขาอาจจะยังรับขันทีนะคะ” จิ่งเหยียนกล่าว

เฉินจิ้งที่เข้ามาด้วยกันพูดเสริม “ขันทีก็ต้องซื่อสัตย์ด้วยถึงจะรับไม่ใช่เหรอ?”

ฟางเจิ้งได้ยินดังนั้นก็โกรธในใจ ผู้หญิงตรงหน้าสวยสาว แต่ทำไมถึงพูดจาร้ายแบบนี้? เขาไปหาเรื่องใครรึเปล่า? ทำไมเธอถึงเพ่งเป้ามาที่เขา? มิหนำซ้ำเขาไม่รู้เรื่องจริงๆ! ความคับแค้นใจอัดแน่นท้องไปหมด ฟางเจิ้งก็โกรธแล้วเหมือนกันจึงสวดไปบทหนึ่ง “อมิตาภพุทธ พวกโยม ถ้าจะจุดธูปขอพรก็เชิญด้านใน ถ้าไม่มีอะไรอาตมาขอตัว”

พูดจบฟางเจิ้งก็หมุนตัวเดินไป! ใครจะสนใจพวกแกกัน อาตมาไม่อยู่ด้วยแล้ว!

“หยุด! เณรเป็นคนพูดเองนะ หรือว่าพูดจาไร้สาระ?” จิ่งเหยียนต่อว่าด้วยความโกรธ

ฟางเจิ้งขมวดคิ้ว โบกมือให้ “ทำไมอาตมาต้องรับคำที่ไม่เคยพูดล่ะ? โยม พุทธศาสนาเป็นแดนเงียบสงบ อย่าส่งเสียงดัง นอกจากนี้บนเขามีหมาป่า ระวังด้วย”

“มีหมาป่า? ฮ่าๆ…จะขู่ฉันรึไง? คิดว่าฉันไม่เคยเห็นสัตว์มาก่อนเหรอ? ฉันเคยล่าสิงโตที่แอฟริกา ล่าหมีที่รัสเซีย หมาป่าตัวเดียวจะเท่าไรกันเชียว? เณรมีจิตใจไม่บริสุทธิ์ เป็นนักบวชยังอยากมีชื่อเสียง ถึงจะมีหมาป่าก็เป็นหมาป่านิสัยแบบเณรรึเปล่า?” จิ่งเหยียนพูด

ฟางเจิ้งได้ฟังแล้วก็เอาเถอะ เจอกับผู้หญิงไร้เหตุผลจะกวนโมโหไม่ได้ ต้องเลี่ยง!

ฟางเจิ้งก้าวเท้ายาวเข้าไปหลังลาน จากนั้นเตะหมาป่าเดียวดายที่นอนอาบแดดอยู่บนพื้นไปทีหนึ่ง “เจ้าอาวาสวัดแกถูกรังแก นายเป็นผู้ปกปักพุทธศาสนาประสาอะไร? รีบไปทำงาน! ไม่อย่างนั้นไม่ต้องกินข้าวเย็น!”

หมาป่าเดียวดายได้ยินประโยคแรกก็ยังนอนขี้เกียจ แต่พอได้ยินว่าจะไม่ได้กินข้าวดวงตาพลันแดงก่ำ! ฟ้าใหญ่แผ่นดินใหญ่ หมาป่าตัวหนึ่งศึกษาธรรมเพื่ออะไร? ข้อหนึ่งกลัวถูกทุบตี ข้อสองเพื่อคำว่าข้าวหอมฉุยคำนั้น! ใครกล้าไม่ให้มันกินข้าว? มันจะสู้สุดชีวิต!

ตอนนี้เองมีเสียงฝีเท้าดังแว่วมาจากข้างนอก ขณะเดียวกันเสียงจิ่งเหยียนดังแว่วตามมา “เณรคะ หมาป่าที่บอกล่ะ? หมาป่าล่ะ? ทำไมฉันไม่เห็นเลย เณรให้มันออกมาหน่อยสิ! หึๆ…โกหก ไอ้พวกโกหกพูดจาซี้ซั้ว…”

……………………………

[1]เหยียนเจินชิง ขุนนางเลื่องชื่อสมัยราชวงศ์ถัง ทั้งยังเป็นอาลักษณ์ผู้มีชื่อเสียงโด่งดัง