ตอนที่ 83 มารดาและบุตรีลอบพูดคุย แม่สามีขุ่นเคืองใจ (2)

หมอหญิงจ้าวดวงใจ

เฟิงเซ่าอิ่งจับแขนของสาวใช้แล้วค่อยๆ ลงจากรถม้า ในขณะเดียวกันนางก็เอ่ยถาม “ท่านแม่อยู่เรือนหรือไม่”

“จวิ้นจู่อยู่เรือนเจ้าค่ะ เยี่ยนหวังเฟยเสด็จมาที่นี่ กำลังตรัสกับจวิ้นจู่อยู่เจ้าค่ะ”

“เสด็จน้าสะใภ้ก็อยู่? ช่างบังเอิญยิ่งนัก” เฟิงเซ่าอิ่งแย้มยิ้ม แล้วสาวเท้าเดินขึ้นไปบนเกี้ยวที่มีบ่าวสองคนมายก

ผัวจื่อสองคนร่างกำยำยกเกี้ยวเข้าไปด้านใน จนกระทั่งถึงตำหนักจวิ้นจู่ ก็วางเกี้ยวลงตรงหน้าประตูทางเข้าสวนจื่อรุ่ย เฟิงเซ่าอิ่งถึงลงจากเกี้ยว ข้างในก็มีหมัวมัวและสาวใช้ที่คอยติดตามหลิงซีจวิ้นจู่ออกมาต้อนรับ

คนเหล่านั้นจึงเข้ามาพยุงเฟิงเซ่าอิ่งและถามสารทุกข์สุขดิบด้วยความรื่นเริง “คุณหนูกลับมาแล้ว น้อมคำนับคุณหนูเจ้าค่ะ! คุณหนูเชิญเข้ามาเถอะเจ้าค่ะ”

หลังจากที่กลับไปยังจวนที่ให้กำเนิดของตนเอง ความหดหู่ใจของเฟิงเซ่าอิ่งก็หายไปจนหมด ดวงหน้าของนางเจือด้วยรอยยิ้ม จากนั้นจึงได้ถามขึ้น “เสด็จน้าสะใภ้และท่านแม่กำลังสนทนากันอยู่หรือ”

“เป็นเช่นนั้นเจ้าค่ะ หวังเฟยและจวิ้นจู่อยู่ตรงเรือนหลัก วันนี้หวังเฟยเพิ่งส่งขาเป็ดตุ๋นมาหนึ่งหม้อ บอกว่าเป็นอาหารที่คุณหนูโปรดปรานที่สุด จวิ้นจู่ยังสั่งให้แบ่งให้คุณหนูครึ่งหนึ่ง บังเอิญคุณหนูมาพอดีเลยเจ้าค่ะ”

เฟิงเซ่าอิ่งถูกพยุงเข้าไปตรงประตู หลังจากที่เลี้ยวหักศอกไปตรงฉากกั้นหยกขาวโพลนที่มีภาพวาดทิวทัศน์อยู่ข้างใน ก็เห็นเยี่ยนหวังเฟยและหลิงซีจวิ้นจู่กำลังนั่งผิงไฟอยู่ด้านใน

เยี่ยนหวังเฟยแย้มยิ้มพลางตรัสขึ้น “วันนี้ข้ามาได้จังหวะเสียจริง ได้เจอผู้ที่อยากเจออีกด้วย”

เฟิงเซ่าอิ่งพลันเดินหน้ามาน้อมคำนับเยี่ยนหวังเฟยและหลิงซีจวิ้นจู่ จากนั้นก็นั่งลงข้างกายหลิงซีจวิ้นจู่ หลิงซีจวิ้นจู่จับมือนางไว้อย่างรักใคร่และเอ็นดู แล้วก็ถามขึ้น “เหตุใดถึงได้มาเวลานี้เล่า อาการของท่านซื่อจื่อเป็นเช่นไรบ้างแล้ว”

“ลำบากท่านแม่ที่คอยเป็นกังวลแล้ว อาการของเขาดีขึ้นมากแล้ว ตอนนี้แกะผ้าตาข่ายออก แผลก็สมานได้ดียิ่งนัก” เฟิงเซ่าอิ่งตอบกลับ

เยี่ยนหวังเฟยแย้มยิ้มพลางตรัสขึ้น “พูดถึงยาที่เป็นสูตรลับของตระกูลเหยาช่างอัศจรรย์ยิ่งนัก แผลตรงดวงหน้าของยัยหนูสามของข้ากลับไม่ทิ้งรอยแผลเป็นอะไรเลย ถึงแม้แผลของท่านซื่อจื่อจะหนักหนาสาหัสเล็กน้อย คิดว่าถ้าใช้ยาของตระกูลเหยาก็คงไม่เป็นเช่นไรแล้ว”

ในใจของเฟิงเซ่าอิ่งกำลังรู้สึกเคร่งเครียดกับเรื่องของเหยาเยี่ยนอวี่ เวลานี้พอได้ยินคำพูดของเยี่ยหวังเฟยก็ไม่กล้าพูดอะไรออกมา ทำได้เพียงยิ้มและพยักหน้า

หลิงซีจวิ้นจู่เห็นสีหน้าของบุตรีเป็นเช่นนี้ก็รู้ว่านางต้องมีเรื่องกังวลใจแน่นอน จึงบีบมือของนางเล็กน้อย และไม่ได้พูดถึงเรื่องของหันซังเกออีก

เยี่ยนหวังเฟยคือผู้ที่สามารถพิจารณาคำพูดและสังเกตสีหน้าของผู้อื่นได้เป็นอย่างดี และเพราะเฟิงเซ่าอิ่งกลับมาในเวลาที่ผิดปกติ นางจึงเดาออกว่าบุตรีของผู้อื่นต้องมีเรื่องอะไรสำคัญเมื่อนางกลับมาจวนมารดาผู้ให้กำเนิดตนเองที่เป็นเพียงน้าสะใภ้เกรงว่าจะไม่เหมาะสมที่จะอยู่ที่นี่ต่อ จึงพูดอีกสองสามประโยค จากนั้นก็เหยียดกายลุกขึ้นแล้วกล่าวอำลา

หลิงซีจวิ้นจู่ก็ไม่คิดจะรั้งนางไว้ จึงส่งเยี่ยนหวังเฟยไปตรงหน้าประตูเรือน จากนั้นก็มองนางขึ้นเกี้ยว แล้วผัวจื่อร่างกำยำก็ยกเกี้ยวออกข้างนอกไป จากนั้นก็กำชับกับหมัวมัวที่คอยติดตามตนออกมาส่งคน แล้วนางก็จับมือบุตรีและเดินกลับเรือนไป

“เกิดอะไรขึ้นกันแน่ เรื่องอะไรถึงทำให้บุตรีคนโตที่สง่าผ่าเผยและรู้จักควบคุมอารมณ์ของข้ากลายเป็นเยี่ยงนี้” หลิงซีจวิ้นจู่เอนกายนั่ง และขณะเดียวกันก็มองหน้าเฟิงเซ่าอิ่งพลางถามขึ้น

เฟิงเซ่าอิ่งถอนหายใจแล้วตอบว่า “ลูกจะขอไม่ปิดบังท่านแม่ บาดแผลของท่านซื่อจื่อดีขึ้นแล้วจริงๆ หมอทหารบอกว่าไม่ได้มีอาการผิดปกติใดๆ ทั้งฝีมือการแพทย์ของคุณหนูเหยายังอัศจรรย์ยิ่งนัก”

หลิงซีจวิ้นจู่ขมวดคิ้วพลางถามขึ้น “เช่นนั้นไยเจ้าทำสีหน้าราวกับว่าใครติดหนี้เจ้าเป็นจำนวนมากกระทั่งนับไม่ถ้วนอย่างนั้นแหละ”

เฟิงเซ่าอิ่งแสยะยิ้มอันขมขื่นพลางเอ่ยขึ้น “ลูกเจอปัญหาอย่างหนึ่ง จึงอยากจะมาขอความเห็นจากท่านแม่”

หลิงซีจวิ้นจู่ทำสีหน้านิ่งเฉยพลางตบหลังมือของบุตรีเบาๆ “มีเรื่องอะไรก็ว่ามาเถอะ” จวนอัครเสนาบดีมีอำนาจของจวนเยี่ยนอ๋องและจวนกั๋วกงมาเสริม นางไม่เชื่อว่าปัญหาใดที่บุตรีเผชิญ แล้วพวกนางจะไม่มีปัญญาแก้ไขเรื่องนั้นๆ ได้

“วันนี้ลูกไปจวนติ้งโหวมา เพราะว่าการบาดเจ็บของท่านซื่อจื่อในครั้งนี้ ลูกจึงไปกล่าวคำขอบคุณกับทางจวนมา”

หลิงซีจวิ้นจู่พยักหน้า “นี่เป็นเรื่องที่สมควรแล้ว เกิดเหตุใดขึ้นเล่า หรือว่าจวนติ้งโหวได้ขอสิ่งใดกับเจ้าจนต้องทำให้เจ้าลำบากใจ?”

“พวกเขาไม่ได้ขอสิ่งใด หากพวกเขาอยากจะได้อะไรก็คงเป็นเรื่องที่ดีกว่า เพียงแต่ฮูหยินน้อยสามทอดถอนใจกับลูก บอกว่าน้องสาวของนางต้องเสียชื่อเสียงของความเป็นกุลสตรีเสียแล้ว เหตุเพราะไปทำการรักษาบาดแผลท่านซื่อจื่อ จึงถูกคนอื่นซุบซิบนินทา” เฟิงเซ่าอิ่งยิ้มอย่างขมขื่น ถ้าหากเหยาเฟิ่งเกออ้าปากขอทองคำหรือเพชรพลอย นางจะไม่พูดแม้แต่คำเดียว และพร้อมจะให้เป็นของกำนัลหลายคันรถ ทว่าตอนนี้มีคนต้องการจะแบ่งสามีกับตนเอง แล้วตนจะทำเยี่ยงไรดี

หลิงซีจวิ้นจู่ขมวดคิ้วขึ้นมาทันที เรื่องชื่อเสียงของความเป็นกุลสตรีนั้นเป็นเรื่องใหญ่ยิ่งนัก ทว่าเหยาฮูหยินตระกูลซูเอ่ยเช่นนี้ออกมากลับไม่ใช่ช่องโหว่เสียทีเดียว โลกนี้มักจะมีคนประเภทที่ชอบเคี้ยวโคนลิ้นตนเอง และมักจะเชี่ยวชาญเรื่อง ‘ช่องทาง’ โดยหยิบยกประเด็นเยี่ยงนี้มาเป็นหัวข้อเสวนากัน ทุกครั้งที่พวกเขาพูดถึงเรื่องพวกนี้ ยิ่งพูดก็ยิ่งรู้สึกตื่นเต้นมาก จากนั้นยิ่งลือเท่าไรก็ยิ่งห่างไกลจากความเป็นจริง

อย่างคำกล่าวที่ว่ากันว่า น้ำลายของมนุษย์สามารถสังหารคนได้จริง

หลิงซีจวิ้นจู่ครุ่นคิดสักพัก จึงได้เกิดความคิดขึ้นมา “แท้จริงแล้ว นี่ก็ไม่ได้มีอะไร คุณหนูรองเหยาผู้นั้นก็อยู่ในวัยที่เหมาะแก่การออกเรือน พวกเราช่วยเป็นแม่สื่อแทนนาง แล้วช่วยนางตามหาบุรุษที่เหมาะสมกับนางก็ได้แล้วไม่ใช่หรือ เจ้าลองถามเหยาฮูหยินตระกูลซูว่านางรู้สึกว่าบุรุษแห่งตระกูลใดที่เหมาะสมกับน้องสาวนาง ข้าจะเป็นคนออกหน้าและเป็นแม่สื่อเอง แล้วยังจะกลัวว่าจะไม่ได้รับเกียรติอีกหรือ”

“ทว่า คุณหนูรองสกุลเหยาต้องการจะรักษาแผลให้ท่านซื่อจื่อ นางจึงได้เช็ดคราบเลือด ตัดขากางเกง และทายา อีกทั้งยังทำการพันแผล…อีกอย่างเรื่องพวกนี้ก็มีคนมากมายคอยมองอยู่ บุรุษตระกูลใดจะยอมสู่ขอคุณหนูเหยาเป็นภรรยาอีก”

“เรื่องนี้มีอะไรที่ไม่น่ายินยอมบ้าง!” หลิงซีจวิ้นจู่รู้สึกขุ่นเคืองใจเล็กน้อย “ภายใต้สายตาของคนมากมาย พวกเขาก็แค่ทำการรักษาบาดแผลเท่านั้น คนมากมายได้เห็นทุกกระบวนการอย่างกระจ่างแจ้ง ว่าพวกเขาซื่อตรงและไม่ได้ทำอันใดอื่นอีก เหตุใดเจ้าถึงต้องรู้สึกผิดไปก่อน”

“ไม่ใช่ว่าลูกรู้สึกผิดไปก่อน อย่างไรตามความหมายของฮูหยินน้อยสามแล้ว เรื่องที่ใหญ่หลวงที่สุดในชีวิตของคุณหนูรองเหยาได้ถูกท่านซื่อจื่อทำลายจนป่นปี้ไปแล้ว!”

“เหลวไหล!” หลิงซีจวิ้นจู่ตรัสขึ้นอย่างเกรี้ยวกราด “นี่หมายความว่าอะไร! นางเองที่เป็นฝ่ายเอ่ยเช่นนี้ก่อน แล้วไม่กลัวผู้อื่นจะเอาไปซุบซิบนินทาหรืออย่างไร”

“นางไม่ได้เอ่ยพูดโดยตรง แค่ทอดถอนใจแล้วพึมพำออกมาเท่านั้น…”

“เจ้าก็ไม่ใช่คนอ่อนแอ เหตุใดจึงไม่อาจตอบนางด้วยคำพูดที่แข็งขืน! เหยาหย่วนจือที่เป็นเพียงข้าหลวงใหญ่ระดับขุนนางขั้นที่สอง เขากลัวว่าบุตรีของตนจะไม่ได้ออกเรือน จำต้องยัดเยียดบุตรีให้ไปเป็นอนุภรรยาของผู้อื่นเลยหรือ อีกอย่าง เรื่องนี้องค์หญิงใหญ่จะสมยอมหรือไม่”

เฟิงเซ่าอิ่งยิ้มขมขื่น “องค์หญิงใหญ่จะเป็นเช่นไร ยังไม่ต้องไปเอ่ยถึง ทว่าน้องรองกลับพูดออกมาก่อนแล้ว การบาดเจ็บของท่านซื่อจื่อในครั้งนี้ อย่าทำให้คุณหนูเหยาต้องพลอยลำบากไปด้วยเลย วันนี้นางเดินทางไปบ้านนาที่อยู่นอกเมืองเพื่อที่จะไปขอบคุณคุณหนูเหยา”

หลิงซีจวิ้นจู่ที่กำลังรู้สึกเกรี้ยวโกรธ จึงแสยะยิ้มเย็นชาขึ้น แล้วตรัสโดยไม่ยั้งคิดว่า “นางจะคิดถึงเรื่องอาการบาดเจ็บของพี่ชายนางได้อย่างไร เกรงว่าคงมีความคิดที่อยากจะรีบไปพัวพัน เพื่อประจบผู้อื่น จะได้ง่ายต่อการขอ ‘ยาวิเศษ’ มาลบรอยแผลเป็นบนใบหน้าของนางให้หายไปกระมัง?”

“ท่านแม่!” เฟิงเซ่าอิ่งขานเรียกด้วยเสียงทุ้มต่ำ ดวงตาจ้องไปด้านนอกอย่างรวดเร็ว

หลิงซีจวิ้นจู่รู้ว่าตนพูดในสิ่งที่ไม่สมควร ทว่าตนเองอยู่ในเรือน อีกทั้งยังปิดประตูสนทนากับบุตรี แน่นอนว่าต้องไม่ครุ่นคิดถึงสิ่งใด ทันใดนั้น นางแสยะยิ้มและพูดขึ้นต่อ “หรือว่าเจ้ายินยอมให้คุณหนูรองเหยาเป็นอนุภรรยาของท่านซื่อจื่อ? ตามด้วยฐานันดรศักดิ์ของเหยาหย่วนจือ หากจะจัดเตรียมเรื่องเยี่ยงนี้ เขาไม่มีทางปล่อยให้แต่งตั้งอนุภรรยาโดยการใช้เกี้ยวเล็กหามเข้าจวนเหมือนอนุภรรยาทั่วๆ ไป แล้วเรื่องทุกอย่างก็จะจบสิ้นอย่างแน่นอน อย่างไรก็ต้องมีการจัดงานเลี้ยงเฉลิมฉลองและจัดเตรียมโต๊ะอาหารสองสามโต๊ะกระมัง? ทว่าพวกเจ้าสมรสกันยังไม่ถึงสองปี ตระกูลหันของพวกเขาจะใช้ชื่อเสียงอะไรมาสู่ขออนุภรรยาให้บุตรชายอย่างเป็นทางการเล่า”

“ลูกไม่อยากจะแบ่งสามีให้กับสตรีอื่น” เฟิงเซ่าอิ่งตอบกลับอย่างทนไม่ไหว “ดังนั้นลูกจึงมาขอความคิดเห็นและอยากปรึกษาท่านแม่ เผื่อจะมีความคิดดีๆ อะไรบ้าง”