ดวงตาของหลิงซีจวิ้นจู่เปล่งประกายขึ้นมาในทันที นางพูดขึ้น “ผ่านปีใหม่นี้ไป คุณชายรองเจิ้นกั๋วกงก็อายุยี่สิบปีแล้ว เมื่อเด็กชายเติบโตเป็นบุรุษ ก็ถึงเวลาสมควรที่จะสู่ขอภรรยาแล้ว”
เฟิงเซ่าอิ่งยิ้มเศร้า “เรื่องนี้ลูกก็เคยครุ่นคิดถึง เพียงแต่ว่าคุณหนูรองเหยาเป็นบุตรีอนุภรรยา ลูกจึงไม่รู้ว่าองค์หญิงใหญ่จะยินยอมให้นางสมรสเป็นภรรยาเอกของน้องรองหรือไม่”
หลิงซีจวิ้นจู่ถอนหายใจแล้วกล่าวขึ้น “จากที่แม่พิจารณา นี่ต่างหากคือความต้องการที่แท้จริงของเหยาฮูหยินตระกูลซู แม้ว่าบรรพบุรุษตระกูลเหยาของพวกนางจะมีฐานันดรศักดิ์เป็นเพียงพ่อค้าพาณิชย์ ทว่าบิดาของเหยาหย่วนจือและตัวเหยาหย่วนจือเองก็ได้เข้ามาทำงานรับใช้ในราชสำนัก โดยผ่านการสอบเคอจวี่ ไม่ว่าอย่างไรพวกเขาก็ย่อมมีความทระนงในศักดิ์ศรี แล้วจะยอมให้บุตรีไปเป็นอนุภรรยาของผู้อื่นได้อย่างไร และแม้ว่าจะเป็นอนุภรรยาที่มีหน้ามีตาแต่ถึงอย่างไรก็เป็นเพียงอนุ เป็นฐานะที่ไม่อาจเชิดหน้าชูตาได้”
เฟิงเซ่าอิ่งส่ายหน้า แล้วพูดขึ้น “หากตระกูลเหยาคิดเช่นนี้จริงๆ เกรงว่าจะจัดการได้ยาก เมื่อหลายวันก่อนองค์หญิงใหญ่เพิ่งเอ่ยถึงบุตรีภรรยาเอกคนที่สามของอันอี้โหว องค์หญิงใหญ่ตรัสว่าเมื่อผ่านปีใหม่นี้ไปนางก็อายุครบสิบห้า ก็ถึงเวลาสมควรออกเรือนแล้ว สตรีผู้นั้นมีรูปโฉมงดงาม ทั้งนางยังมีนิสัยเหมือนกับฮูหยินของอันอี้โหว เป็นสตรีอ่อนโยนและจิตใจดี เมตตาและมีสัมมาคารวะ น้องรองเป็นผู้ที่มีอารมณ์ร้อนจึงควรที่จะมีสตรีเช่นนี้มาคอยดูแลเรื่องในเรือน อีกทั้งตลอดสองปีที่ผ่านมานี้ ฮูหยินของอันอี้โหวและองค์หญิงใหญ่ก็ไปมาหาสู่ด้วยกันอยู่เรื่อยมา แม้ว่าเรื่องนี้จะยังไม่ได้มีการตกลง ทว่าทั้งสองตระกูลก็ไม่มีสิ่งใดที่เห็นต่างกัน เวลานี้ เพียงแค่รอให้ผ่านช่วงไว้อาลัยของแคว้น หลังจากนั้น ก็ถึงเวลาอันสมควรแก่การตกลงเรื่องนี้แล้วเจ้าค่ะ”
หลิงซีจวิ้นจู่ยกยิ้มบางๆ “ด้วยเหตุนี้ เหยาฮูหยินตระกูลซูจึงได้เอ่ยถึงชื่อเสียงกุลสตรีของน้องสาวตนเอง นี่คือหมากของนางไงเล่า ไม่เช่นนั้น บุตรีอนุภรรยาของตระกูลพวกนาง แล้วจะกล้าใฝ่สูงที่จะคิดอะไรกับบุตรชายคนรองของเจิ้นกั๋วกงและองค์หญิงใหญ่ได้อย่างไร”
เฟิงเซ่าอิ่งยิ้มด้วยความขื่นขม “คำพูดของท่านแม่มีเหตุผลยิ่งนัก เหยาหย่วนจือไม่ใช่ผู้ที่ไม่รู้ว่าสิ่งใดควรหรือไม่ควร เขาไม่น่ามีความคิดคำนวณการไกลเช่นนี้ ด้วยเหตุนี้ ลูกจึงไม่คิดว่าพวกเขาหมายถึงน้องรอง แต่กลับคิดว่าพวกเขาต้องการหมายถึงท่านซื่อจื่อ”
หลิงซีจวิ้นจู่ถอนหายใจอย่างจนปัญญา “เจ้านี่จริงๆ เลย เจอเรื่องแค่นี้ก็ถึงขั้นกระวนกระวายแล้ว เหตุใดเวลานั้นจึงไม่กล่าวให้ชัดเจน เอ่ยถามให้กระจ่างชัดว่าพวกเขาอยากจะให้เหยาเยี่ยนอวี่เป็นอนุภรรยาของท่านซื่อจื่อ หรืออยากจะให้นางเป็นฮูหยินของคุณชายรอง ดั่งโบราณว่าไว้รู้ราคาที่แน่ชัดจึงจะสามารถทำการค้าได้ดี”
คำพูดของหลิงซีจวิ้นจู่ ทำให้เฟิงเซ่าอิ่งหัวเราะขบขันได้ “ท่านแม่ นำเรื่องนี้ไปเปรียบเทียบกับการค้าขายได้อย่างไรกัน”
“พวกเขาต้องการให้บุตรีของตนออกเรือนไปยังตระกูลที่ดี ทว่ากลับไม่อยากเสียหน้า จึงไม่ยอมพูดให้กระจ่างแจ้ง ดังนั้นพวกเขาจึงเรียกร้องถึงบุญคุณที่ช่วยรักษาท่านซื่อจื่อไว้ แล้วยังจะให้เจ้าไล่ตามความคิดของพวกเขาให้ทันอีก” หลิงซีจวิ้นจู่หัวเราะในลำคอ “ได้ยินผู้อื่นพูดกันว่าฮูหยินน้อยคุณชายสามตระกูลซูนั้นฉลาดหลักแหลมทั้งยังมีความสามารถยอดเยี่ยมอยู่บ่อยๆ ก่อนหน้านี้แม่ไม่มีโอกาสได้พูดคุยกับนาง มาวันนี้ถือว่าแม่ได้รับรู้แล้ว”
เฟิงเซ่าอิ่งถอนหายใจแล้วพูดขึ้น “เรื่องนี้ไม่อาจกล่าวโทษพวกเขา หากคุณหนูรองเหยาเป็นบุรุษ แม้แต่ยศถาบรรดาศักดิ์และลาภยศ พวกเรายังสามารถให้นางได้ อย่าว่าแต่สมรสเลย? และหากว่าครั้งนี้ผู้ที่นางช่วยรักษาไม่ใช่ท่านซื่อจื่อ แต่เป็นคุณชายตระกูลคหบดีที่ยังไม่ได้สมรสมีภรรยา เรื่องที่เกิดขึ้นก็จะกลายเป็นบุพเพสันนิวาส ทว่าสวรรค์กลับไม่เป็นใจ เหตุใดจึงต้องให้ลูกพบเจอเรื่องลำบากใจเช่นนี้ด้วย!”
“ยังไม่เป็นไรหรอก แม่เคยเจอคุณหนูรองเหยามาแล้ว แม้ว่าภายนอกของนางจะแลดูอ่อนโยนและพูดง่าย ทว่านางเป็นผู้ที่มีความคิดเป็นของตนเองสูงยิ่งนัก แม่คิดว่านางคงไม่ยินยอมไปเป็นอนุภรรยาของท่านซื่อจื่ออย่างแน่นอน และเรื่องนี้ก็ไม่ใช่ว่าจะทำได้ด้วยความปรารถนาเพียงฝ่ายเดียวของเหยาฮูหยินตระกูลซู อีกทั้งฝ่ายนั้นก็ยังไม่ได้กล่าวอย่างกระจ่างชัด พวกเรามาคิดหาวิธีร่วมกัน ช่วยกันหาคู่หมายที่เพียบพร้อมให้นางก็สิ้นเรื่องแล้วไม่ใช่หรือ”
เฟิงเซ่าอิ่งทำได้เพียงตอบตกลง “ขอให้เป็นไปตามที่ท่านแม่กล่าวเถิด”
“เอ๊ะ? คราวนี้เจิ้นกั๋วกงชนะสงครามกลับมา ฮ่องเต้ได้เลื่อนตำแหน่งให้แม่ทัพหนุ่มหลายคนไม่ใช่หรือ เจ้าไม่มีผู้ใดเหมาะสมบ้างเลยหรือ อีกอย่างน้องสาวของท่านซื่อจื่อก็ยังไม่ได้ออกเรือน เวลานี้เกรงว่าองค์หญิงใหญ่และเจิ้นกั๋วกงคงจะคัดเลือกแม่ทัพหนุ่มที่มีอนาคตพวกนั้นไว้หลายต่อหลายรอบแล้ว หากไม่มีบุรุษที่คู่ควรเหมาะสมกับคุณหนูรองของตระกูลสามีเจ้า ถึงอย่างไรก็ควรจะมีบุรุษที่คู่ควรเหมาะสมกับคุณหนูรองเหยาแล้วกระมัง หรือว่าบุตรีอนุภรรยาของเหยาหย่วนจือจำต้องสมรสออกเรือนกับอ๋อง กง โหว ปั๋วเพียงเท่านั้น”
เฟิงเซ่าอิ่งรื่นรมย์ขึ้นมาในทันที แม่ทัพหาญกล้าเหล่านั้นล้วนได้เลื่อนตำแหน่งเพราะเจิ้นกั๋วกง หากมีท่านกั๋วกงเป็นพ่อสื่อ เกรงว่าพวกเขาคงจะรู้สึกเป็นบุญคุณยิ่งนัก ด้วยเหตุนี้นางจึงคลี่ยิ้ม “ท่านแม่กล่าวถูกต้องเจ้าค่ะ”
เมื่อมารดาและบุตรีทั้งสองพูดคุยตกลงกันแล้ว เฟิงเซ่าอิ่งจึงขอตัวกลับ เวลานั้น หลิงซีจวิ้นจู่จึงบ่นขึ้น “ถึงจะเป็นบุตรีที่ออกเรือนไปแล้ว เมื่อกลับมาก็ควรที่จะอยู่กินอาหารเป็นเพื่อนแม่ก่อนแล้วค่อยกลับไป”
เฟิงเซ่าอิ่งยิ้มแล้วพลันขออภัย “วันนี้ลูกบอกเพียงไปจวนติ้งโหว หากพวกเขารู้ว่าลูกกลับมาที่จวนจวิ้นจู่ ไม่รู้ว่าจะถูกว่ากล่าวอย่างไรบ้าง นิสัยขององค์หญิงใหญ่ท่านแม่ก็กระจ่างชัดไม่ใช่หรือเจ้าคะ”
พระพักตร์ของหลิงซีจวิ้นจู่ยิ่งทียิ่งบูดบึ้ง “บุตรีของข้าอภิเษกสมรสเข้าไปยังจวนกั๋วกง ไม่ได้ขายให้กับจวนกั๋วกงเสียหน่อย เหตุใดจึงกินอาหารที่บ้านไม่ได้”
“ท่านแม่!” เฟิงเซ่าอิ่งขยับเข้าไปกอดแขนแล้วพูดออดอ้อนเหมือนตอนเด็กของหลิงซีจวิ้นจู่ “ลูกรู้ว่าท่านแม่รักและเอ็นดูลูกมากที่สุด ทว่าเวลานี้บาดแผลของท่านซื่อจื่อยังไม่หายดี ลูกเองก็รู้สึกกังวลใจ ประเดี๋ยวรอให้บาดแผลของท่านซื่อจื่อหายดีแล้ว พวกเราทั้งสองจะกลับมาเยี่ยมท่านแม่สักสองวันดีหรือไม่”
“บุตรีที่ออกเรือนย่อมมีใจอยู่นอกเรือน” หลิงซีจวิ้นจู่ยิ้มแล้วบีบหน้าของบุตรี จะทำเช่นไรได้เล่า ในเมื่อบุตรีของตนรักใคร่หันซังเกอตั้งแต่เด็ก ตอนนั้นนางมีใจคิดเพียงแค่ใคร่จะอภิเษกสมรสกับเขา แล้วตนที่เป็นมารดาจะทำเช่นไรได้ นอกเสียจากช่วยบุตรีคิดหาวิธี
ยามที่เฟิงเซ่าอิ่งออกมาจากจวนหลิงซีจวิ้นจู่แล้วกลับไปถึงจวนกั๋วกง ก็มืดค่ำเสียแล้ว
หลังจากที่นางกลับมานางก็ไปเข้าเฝ้าเพื่อกราบทูลองค์หญิงใหญ่ ทว่าเหตุเพราะไม่พบหันหมิงชั่น นางจึงเอ่ยถามขึ้น “น้องสาวยังไม่กลับมาหรือเพคะ บ้านนาที่ชานเมืองนั้นอยู่ไกลยิ่งนัก ประเดี๋ยวฟ้าจะมืดแล้ว”
องค์หญิงใหญ่ยิ้มแล้วพูดขึ้น “นางให้บ่าวรับใช้ส่งสารกลับมาแล้ว กล่าวว่าคืนนี้จะนอนค้างที่เรือนคุณหนูรองเหยา”
“ดูท่าน้องหญิงรองจะถูกชะตากับคุณหนูเหยายิ่งนัก”
“อืม ได้ยินมาว่าคุณหนูรองเหยาผู้นั้นเป็นสตรีที่อ่อนโยน สะใภ้เคยพบเจอกับนางมาก่อน เจ้าคิดว่านางเป็นเช่นไร”
เฟิงเซ่าอิ่งอึ้งไปนิดหนึ่ง จากนั้นนางก็รีบยิ้มแล้วขานตอบในทันที “เป็นสตรีที่อ่อนโยนอย่างแท้จริงเพคะ ทว่าเป็นสตรีที่อ่อนนอกแข็งใน เมื่อครานั้นฮูหยินน้อยรองจวนติ้งโหวบอกให้นางกลับไปพักรักษาตัวที่จวนติ้งโหว แต่นางกลับปฏิเสธไปทันควัน หม่อมฉันคิดว่านางน่าจะเป็นผู้ที่มีความคิดเป็นของตนเองสูงเพคะ”
“เช่นนั้นสิดี หากแข็งกระด้างจนเกินไป จากฐานันดรศักดิ์ของนางแล้วนั้นจะทำให้นางถูกเอารัดเอาเปรียบได้ ทว่าหากอ่อนโยนจนเกินไปก็จะกลายเป็นผู้ไร้ความสามารถ การที่นางสามารถรักษาสมดุลระหว่างความแข็งกระด้างและอ่อนโยนได้ดีเช่นนี้ ถือว่าเป็นสตรีที่ไม่เลวนัก” องค์หญิงใหญ่หนิงหวากล่าวชื่นชมเหยาเยี่ยนอวี่อย่างเหนือคำบรรยาย
เฟิงเซ่าอิ่งได้ยินเช่นนั้นจึงได้แต่ทอดถอนใจ หรือว่าไม่ต้องรอให้คนของตระกูลเหยาเป็นผู้เอ่ยพูด องค์หญิงใหญ่ก็มีใจคิดให้เหยาเยี่ยนอวี่เข้ามาอยู่ในจวน?
องค์หญิงใหญ่ทอดพระเนตรมองดูเฟิงเซ่าอิ่งที่จิตใจล่องลอย จึงโบกมือขึ้นแล้วกล่าวว่า “เอาล่ะ วันนี้เจ้าก็เหน็ดเหนื่อยมาทั้งวัน กลับไปดูแลซู่เอ๋อร์ให้ดี”
แน่นอนว่าเฟิงเซ่าอิ่งไม่กล้าไป นางคอยดูแลปรนนิบัติรับใช้อยู่ข้างๆ รอให้องค์หญิงใหญ่ดื่มชาจนหมด นางก็รีบไปรับถ้วยชามา พร้อมทั้งเล่าเรื่องที่ไปพูดคุยกับเหยาเฟิ่งเกอในวันนี้ให้กับองค์หญิงใหญ่ฟัง แต่ทว่านางได้ปิดเรื่องที่เหยาเฟิ่งเกอถอนหายใจเรื่องชื่อเสียงเรียงนามที่เสียหายของเหยาเยี่ยนอวี่
ค่ำคืนนี้ หันหมิงชั่นนอนค้างอ้างแรมที่บ้านนาน้อยวัวจวู ทางด้านเหยาเยี่ยนอวี่ก็สั่งให้สาวใช้ทำอาหารค่ำรสชาติแบบชนบทมาต้อนรับนาง
เฝิงหมัวมัวลอบบอกกับเหยาเยี่ยนอวี่อย่างเงียบๆ ว่าอาหารมื้อนี้ธรรมดาเกินไปแล้ว เกรงว่าคุณหนูหันจะไม่ชอบได้ ทว่าเหยาเยี่ยนอวี่กลับไม่คิดเช่นนั้น หันหมิงชั่นเป็นถึงบุตรีของเจิ้นกั๋วกงและองค์หญิงใหญ่ จะมีสิ่งเลิศเลออันใดบ้างที่นางไม่เคยพบเห็น ทำไมจึงไม่ให้กินอาหารเพียงเพื่อให้ดื่มด่ำกับบรรยากาศเท่านั้น
เป็นจริงตามนั้น หันหมิงชั่นกินอาหารรสชาติแบบชนบทได้อย่างรื่นรมย์ เฉกเช่นเดียวกับซูอวี้เหิงในค่ำคืนนั้น นางกินทุกอย่างจนอิ่มแปล้และหมดในคราวเดียว