ตอนที่ 532 ตีเหล็กก่อนเปิดศึก

ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods

ซังฮั่วกระวนกระวายอย่างหนัก เทพเสือขนดำนำพวกเขาเข้าไปในรังศัตรู หรือว่าเขาจะเปลี่ยนฝ่าย

แต่ทว่า เขาเป็นเทพเจ้า ไม่มีความจำเป็นต้องโกหกพวกเรา หากว่าเขาต้องการสังหาร ก็แค่เหวี่ยงพวกเราลงไป หรือกินพวกเราเข้าไปเสีย

แม้ว่าความคิดมีเหตุผลจะกล่าวเช่นนั้น แต่นางก็ยังรู้สึกกระวนกระวายในหัวใจอยู่ดี

เพราะถึงอย่างไร พวกเขาทั้งหมดก็อยู่ในค่ายทัพของศัตรู!

เผ่ามารได้ดำรงอยู่ในสวรรค์ไท่หวงมาราวๆ สองหมื่นปี และในความทรงจำของนาง พวกเขาล้วนแต่ดุร้ายและชั่วช้าอย่างถึงที่สุด หากว่าผู้ใดตกอยู่ในกำมือของพวกเขา อาจจะพบกับชะตาอันน่าอนาถเสียยิ่งกว่าตาย!

และบัดนี้ พวกเขาอยู่ในค่ายทัพของเผ่ามาร

นางมองไปรอบๆ และเห็นไพร่พลมารจำนวนนับไม่ถ้วนจ้องมายังพวกเขา มารฟ้าทั้งหลายทำให้นางหนาวเยือกถึงสันหลัง พวกเขาดูเหมือนกับสัตว์ร้ายหิวโหยที่ซุ่มซ่อนอยู่ในความมืด พร้อมที่จะกระโจนขย้ำและฉีกทึ้งพวกเขาออกเป็นชิ้นๆ!

ฝ่ามือของซังฮั่วเต็มไปด้วยเหงื่อเย็นเยียบ สายตาของนางตกลงไปยังมารเทวะตนหนึ่ง และนางไม่อาจเบือนสายตาออกไปได้

ชายผู้นั้นท่อนบนเปลือยเปล่า แต่ใบหน้าของเขาดูไม่เหมือนมนุษย์ปกติ มันมีรอยประทับอัคคีที่ปรากฏพร้อยไปทั่วร่างของเขา

ดวงตาของเขาประหลาดพิสดาร ที่กะพริบวูบวาบในเบ้าตานั้นเหมือนกับลูกไฟสองลูก เมื่อเขาเห็นพวกเขา เขาก็แย้มยิ้ม “สาวน้อย ข้าเคยเห็นเจ้ามาก่อน ครอบครัวของเจ้าตายใต้น้ำมือของข้า ใช่ไหม”

ซังฮั่วกำหมัดจิกเล็บแน่น แต่นางไม่กล่าวอะไร

ฉินมู่มองไปยังมารเทวะตนนั้น และม่านตาของเขาก็หรี่แคบ เขาจำได้ว่าครั้งแรกที่เขาพบกับซังฮั่ว ฝูงมารฟ้ามาโจมตีเมืองนั้น และบิดาของซังฮั่วก็ออกไปป้องกันอันทำให้เขาถูกล้อมเอาไว้ มารเทวะตนหนึ่งได้บุกตะลุยเข้ามายังบ้านตระกูลของซังฮั่วและสังหารผู้คนเกือบทั้งหมด

ในครั้งกระโน้น ภาพที่เห็นน่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง แม้ว่าเขาจะมองไม่เห็นใบหน้าของซังฮั่ว เขาก็สัมผัสได้ถึงความหวาดกลัวและโทสะของนาง

ฉินมู่ได้วิ่งหนีไปทุกหนแห่งพร้อมกับนาง และนั่นนางจึงรอดพ้นมาได้โดยไม่เป็นอันตราย

ในครั้งก่อนนั้น ฉินมู่และซังฮั่วอยู่ในโลกที่แตกต่างกัน ดังนั้นเขาจึงไม่มองเห็นใบหน้าของมารเทวะตนนั้นได้อย่างชัดเจน แต่เมื่อดูจากสีหน้าของซังฮั่วแล้ว เขาสามารถมั่นใจได้ว่ามารเทวะที่ท่อนบนเปลือยเปล่านี้ก็คือผู้ที่ฆ่าล้างครัวของนาง

“สิ่งปลูกสร้างที่นี้มีสถาปัตยกรรมที่คล้ายคลึงกับในแดนโบราณวินาศของพวกข้า ข้าได้เห็นซากโบราณมากมายแห่งยุคสมัยจักรพรรดิก่อตั้ง และพวกมันคล้ายคลึงกับตำหนักราชวังที่นี่” ฉินมู่พลันแย้มยิ้ม “น้องสาวซังฮั่ว สวรรค์ไท่หวงของเจ้าอาจจะเกี่ยวพันกับแดนโบราณวินาศของพวกข้า”

เขาอยากที่จะเบี่ยงเบนความสนใจของนาง แต่นางจ่อมจมกับความคิดในหัวใจจึงมิได้ใส่ใจเขา

เสือเทพยดาขนดำกล่าวตอบไปแทน “สวรรค์ไท่หวงเป็นของจักรพรรดิก่อตั้ง มันเป็นส่วนหนึ่งของสวรรค์แรกแห่งสามสิบสามสรวงสวรรค์ ดังนั้นย่อมไม่แปลกที่สิ่งปลูกสร้างจะดูคล้ายคลึงกัน”

“สวรรค์ไท่หวงมาจากยุคสมัยจักรพรรดิก่อตั้งหรือ” ฉินมู่สะท้านใจอย่างแรง และเขาร้องออกมา “สามสิบสามสรวงสวรรค์เป็นสถานที่แบบไหนกัน ไม่ใช่ว่ายุคสมัยจักรพรรดิก่อตั้งสิ้นสุดไปแล้วหรอกหรือ”

เสือเทพยดาขนดำงุนงง “ยุคสมัยจักรพรรดิก่อตั้งจบแล้วหรือ มันจะจบได้อย่างไรก็ในเมื่อจักรพรรดิก่อตั้งยังคงมีชีวิตอยู่ ตราบใดที่จักรพรรดิก่อตั้งยังมีชีวิตอยู่ ยุคสมัยจักรพรรดิก่อตั้งก็จะไม่มีวันถึงจุดจบ!”

ฉินมู่ว้าวุ่น และหัวใจเขาเต้นโครมครามอย่างหนัก ยุคสมัยจักรพรรดิก่อตั้งยังไม่สิ้นสุด!

ข่าวนี้น่าแตกตื่นเกินไปแล้ว!

เขาพลันคิดถึงประสบการณ์ของเขาในแดนโบราณวินาศและในยมโลก ว่ารูปสลักราชาสวรรค์ได้ปฏิบัติตามบัญชาของจักรพรรดิก่อตั้ง และขี่กิเลนมังกรออกไปสังหารราชามังกร และว่าท้าวยมราชแห่งยมโลกได้กล่าวว่าจักรพรรดิก่อตั้งเดินทางไปยังหมู่บ้านไร้กังวล

ทั้งสองเรื่องนี้คือสัญญาณอันชัดเจนว่ายุคสมัยจักรพรรดิก่อตั้งยังไม่สิ้นสุด!

แต่ถึงอย่างไร เมื่อเสือเทพยดาขนดำกล่าวออกจากปากเอง นี่ก็ยังคงทำให้ฉินมู่แตกตื่นอย่างรุนแรง

“กรอบคิดจิตใจของเจ้าไม่มั่นคง นั่นจะเป็นผลร้ายกับการต่อสู้ของเจ้าในภายหลัง” เทพเสือขนดำกล่าวอย่างเข้มงวด และเสียงของเขาก็ดังลั่น “ความสำเร็จของเจ้าในกรอบคิดจิตใจเดิมทีก็ไม่ได้สูงส่งอยู่แล้ว ทำไมอย่างน้อยเจ้าก็ไม่รักษาจิตใจให้มั่นเสียหน่อยล่ะ”

ฉินมู่งุนงง เขาถามด้วยความฉงน “การต่อสู้อะไร”

“พวกเรามาแล้ว!”

เทพเสือขนดำพลันหยุด และร่างกายของเขาสั่นเทิ้ม ผลักฉินมู่และซังฮั่วให้ลงจากหลัง เสือเทพยดาขนดำพลันแปลงร่างกลับเป็นเทพหัวเสือ เขามองลงไปและขมวดคิ้วให้แก่บุคคลทั้งสอง

เขาจึงกล่าวด้วยเสียงอันดัง “นายท่าน สองคนนี้ไร้ประโยชน์ จิตใจของพวกเขาล้วนแต่ว้าวุ่นไม่มั่นคง! พวกเขาคงจะพ่ายแพ้อย่างน่าอนาถหากว่าท่านส่งไปต่อสู้!”

ซังฮั่วได้เห็นมารเทวะที่เกือบจะฆ่าล้างตระกูลนางและจิตใจของนางก็พลุ่งพล่าน ทำให้ยากที่นางจะข่มระงับตนเองเอาไว้ได้ จิตใจฉินมู่ก็สั่นสะท้าน แต่สะท้านด้วยข้อมูลที่เสือเทพยดาขนดำบอกเขา เขายังคงเหม่อลอย ดังนั้นไม่ว่าใครก็ไม่ได้อยู่ในสภาพที่ดีในตอนนี้

แต่ทว่า หลังจากที่ได้ยินถ้อยคำของเสือเทพยดาขนดำ ทั้งสองคนก็ฟื้นสติกลับมาใหม่ และมองไปข้างหน้าพวกเขา ภาพที่เห็นทำให้ตื่นตระหนก

หมู่ปราสาทราชวังข้างหน้าตั้งอยู่ในทิวทัศน์อันโกลาหลและประหลาดพิสดารอย่างยิ่ง บ้างก็อาบย้อมอยู่ในกองไฟ แต่ไม่ถูกทำลายลงมา เพลิงไฟดูเหมือนจะเปล่งออกมาจากราชวังเอง แม้ว่ามันจะเกือบโปร่งแสงจากความร้อนแผดเผารุนแรง เด็กหนุ่มสามารถมองเห็นภาพข้างในปราสาทได้จากภายนอก

แสงสว่างจุดติดไปทั่วทั้งเมืองราวกับเวลากลางวัน!

บนท้องฟ้าเหนือราชวัง เทพและมารกำลังประจันหน้าซึ่งกันและกัน และฉินมู่พลันเห็นนักบุญคนตัดไม้ เขาก็เห็นเทพเจ้ามากมายยืนอยู่ข้างหลังเขา ท่ามกลางพวกเขาก็คือบิดาของซังฮั่ว

ตรงข้ามเหล่าเทพเจ้าคือมารเทวะตนหนึ่งที่ดูไม่เหมือนมารอสูร แต่กลับดูสูงส่งและสง่างาม ปัญหาเดียวของเขาคือไม่มีใบหู

ตรงจุดที่ควรจะเป็นหูซ้ายของเขา เป็นใบหน้าอีกใบหน้าหนึ่ง และมันก็เป็นเช่นเดียวกับตรงจุดที่ควรจะมีใบหูขวาของเขาด้วย

ฉินมู่มองไม่เห็นหลังของเขา ดังนั้นเขาจึงไม่รู้ว่าจะมีใบหน้าอยู่ที่ข้างหลังศีรษะด้วยหรือไม่

ทันใดนั้น เสาสีดำที่หนาหลายวาก็ผุดขึ้น มันเหมือนกับเจดีย์สีดำที่แทงขึ้นสู่ฟ้าจากลานราชวังอันกว้างใหญ่

ขวานใหญ่มหึมาเกินจินตนาการก็ถูกส่งเข้าไปในลานจัตุรัสนั้นด้วย ขวานนั้นก็ใหญ่หนาพอๆ กับเสาดำ

จนบัดนี้ฉินมู่ถึงเพิ่งสังเกตว่ามันมิใช่เสาสีดำ หรือเจดีย์สีดำ แต่เป็นทวนใหญ่มหึมา

มันไขว้กับขวานของนักบุญคนตัดไม้ และตั้งตระหง่านอยู่ในจัตุรัสใหญ่

ทั้งสองอาวุธวิญญาณมโหฬารเป็นอย่างยิ่ง และรอยแยกก็ปรากฏขึ้นมาบนพื้นจากแรงกดดัน

“เข้าจัตุรัสสิ” เสือเทพยดาขนดำเร่งเร้าเขา “เมื่อคนข้างหน้าตาย ก็จะถึงตาเจ้า”

ฉินมู่และซังฮั่วเดินตรงไปยังขอบสนามจัตุรัส มีผู้ฝึกวิชาเทวะมากมายอยู่ข้างใน พวกเขาล้วนแต่โชกไปด้วยเลือด และกำลังปรับลมหายใจของตนเองขณะที่ยืนอยู่ในชุดเกราะ พวกเขาน่าจะเพิ่งมาจากสนามรบ

อีกฝั่งหนึ่ง ก็มีผู้ฝึกวิชาเทวะเยาว์อีกกลุ่มเช่นกัน แต่พวกเขาเป็นเผ่ามาร และก็น่าจะเพิ่งมาจากสนามรบด้วย ในเมื่อบางคนมีบาดแผลอยู่ พวกเขาทั้งหมดล้วนดูดุดันและห้าวหาญ

“นายท่าน พวกเขามาแล้ว” เสือเทพยดาขนดำโค้งคารวะนักบุญคนตัดไม้บนท้องฟ้าข้างบน

“ทำไมจิตใจของพวกเขาถึงไม่สงบ”

เสือเทพยดาขนดำรีบตอบทันที “การฝึกปรือกรอบคิดจิตใจของพวกเขานั้นอ่อนแอเกินไป เมื่อเขาได้ยินว่าตอนนี้ยังคงเป็นยุคสมัยจักรพรรดิก่อตั้งอยู่ วิญญาณของเขาก็เหมือนจะลอยออกไปจากร่าง”

นักบุญคนตัดไม้ถลึงตาจ้องเขา และหูยาวๆ สองข้างของเขาลู่กลับไปติดหัว เขากลายเป็นเชื่องเหมือนแมวหง่าวและไม่กล้าพูดจา

นักบุญคนตัดไม้มองไปที่ฉินมู่ ซึ่งกำลังพลิกคุ้ยถุงเต๋าตี้ก่อนที่จะนำก้อนเหล็กดำออกมาจำนวนหนึ่ง เขาจึงจิ้มนิ้วไปที่ไฟอันแผดเผาออกมาจากราชวัง

“จิตไม่สงบและมีอารมณ์คึกไปทั่ว ข้าสงสัยว่าเขาจะมีประโยชน์ไหม หรือว่าข้าจะมีสายตาตัดสินผิดพลาด ตอนที่เขาอยู่ในสนามรบยังไม่อยากรู้อยากเห็นและกระโดดไปมาขนาดนี้…”

ก้อนเหล็กดำในมือฉินมู่พลันถูกกระทบด้วยความร้อนและติดไฟลุกกลายเป็นคบเพลิง ฉินมู่โยนมันทิ้งไปโดยไม่ลังเล เปลวไฟบนก้อนเหล็กยังไม่ทันดับดีเมื่อมันกลายเป็นกองเหล็กหลอมเหลว

มันยังคงติดไฟอยู่ และไม่ทันชั่วอึดใจหนึ่ง ก็กลายเป็นขี้เถ้า

“มิน่าล่ะเมืองนี้ถึงเรียกว่าเมืองหลี ที่แท้นี่ก็คือไฟหลี! ”

นักบุญคนตัดไม้ขมวดคิ้วเล็กน้อย ขณะที่รุ่นเยาว์ข้างหลังเขาร้องออกมาด้วยความตื่นตระหนก ทำลายความเงียบในราชวัง

“ไม่เพียงแต่ยังมีไฟหลี แต่ถึงกับมีไฟมารอีกด้วย!” ฉินมู่อุทาน

เสือเทพยดาขนดำอดไม่ได้ที่จะอธิบาย “สถานที่นี้ถูกเผ่ามารยึดครองและไฟของพวกเขาซ่อนอยู่ในไฟหลี อันเป็นแผนการร้าย! อย่าไปแตะมัน เดี๋ยวก็เผาตัวเจ้าเองจนตายหรอก จริงสิ แล้วเจ้ารู้ได้อย่างไรว่ามีไฟมารแฝงอยู่ในไฟหลี”

“ไฟหลีมีความร้อนสูงและดีเยี่ยมยอดสำหรับการตีเหล็ก ในเมื่อมันสามารถหลอมละลายเหล็กดำได้อย่างรวดเร็ว แต่ไม่มีทางเผาไหม้จนเป็นเถ้าถ่าน” ฉินมู่อธิบาย “ไฟมารนั้นมีคุณสมบัติกัดกร่อนสูงมาก แต่อุณหภูมิของมันไม่สูงนัก ที่หลอมละลายเหล็กดำคือไฟหลี ส่วนที่เผามันจนเป็นจุณนั้นคือไฟมาร”

ทันใดนั้น ดวงตาเขาก็เป็นประกาย และเสือเทพยดาขนดำก็กระโดดโหยงด้วยความตกใจ

“ไฟมารสามารถใช้ขัดเกลาอาวุธวิญญาณ ขณะที่ไฟหลีนั้นเป็นไฟเทวะที่ดียิ่งกว่า! มาครั้งนี้เยี่ยมเหลือเกิน ไจกระบี่ของข้าสามารถพัฒนาไปอีกขั้นแน่!” ฉินมู่ร้องออกมาด้วยความตื่นเต้น

เฒ่าใบ้สอนแง่อัศจรรย์ในการหลอมสร้างให้แก่เขา และเขารู้ประโยชน์ใช้สอยของไฟทุกชนิด บัดนี้เมื่อเขาได้มาเห็นไฟหายากสองชนิด เขาก็อดไม่ได้ที่จะเนื้อเต้นลิงโลด เขารีบนำเอาแผ่นเหล็กและทั่งออกมาก่อนที่จะดึงค้อนเหล็กดำออกมาด้วย

“พี่เสือ ท่านไม่รู้หรอก แต่ไจกระบี่ของข้าได้ถูกบ่มเพาะจนถึงขั้นที่มีความยืดหยุ่นม้วนพันไปรอบๆ นิ้วได้แล้ว อีกก้าวหนึ่งเท่านั้นมันก็จะเหมือนกับน้ำไหล ตลอดเวลามานี้ ข้าไม่อาจเสาะหาไฟคุณภาพสูง แต่บัดนี้ ในที่สุดข้าก็พบพวกมันแล้ว!”

ฉินมู่นำไจกระบี่ของเขาออกมาและมองไปยังเสือเทพยดาขนดำที่อึ้งจนอ้าปากค้าง เขากล่าวด้วยรอยยิ้ม “ไฟมารสามารถเผาผลาญเหล็กดำ แต่ไม่อาจเผาผลาญแก่นทองคำทมิฬได้ กระบี่ของข้าสร้างขึ้นมาจากแก่นทองคำทมิฬพร้อมด้วยโลหะเทวะผสมข้างในนั้น โดยการเคี่ยวหลอมมันด้วยไฟมาร ข้าก็จะสามารถรีดไล่มลทินของมันออกมาได้”

เทพและมารในบริเวณโดยรอบตกตะลึง พวกเขาเห็นฉินมู่จัดตั้งโต๊ะตีเหล็กขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ก่อนที่จะนำเอาผ้ากันเปื้อนสีดำหนักมารัดไว้รอบสะเอว เขาโยนกระบี่บินลงไปบนโต๊ะ จากนั้นหยิบหนึ่งในนั้นใส่เข้าไปในไฟ

เคร้ง!

เสียงของการฟาดตีเหล็กขับไล่บรรยากาศอันเคร่งขรึมออกไป ฉินมู่ฟาดทุบอาวุธวิญญาณแต่ละชิ้นของเขาอย่างจริงจัง แต่ละการฟาดทุบของเขาเต็มไปด้วยสมาธิ

“เด็กฟาดฟ่อนข้าว!” ซังฮั่วเรียกเขาเบาๆ “เจ้ารู้วิธีหลอมสร้างสมบัติด้วยได้อย่างไร”

ฉินมู่ตอบไปอย่างถ่อมตนโดยไม่เงยหน้า “ข้าได้เรียนรู้มันมาก่อนสิบปี ดังนั้นข้าค่อนข้างเชี่ยวชาญมันมากกว่าพีชคณิต”

ซังฮั่วแลบลิ้นออกมาและมองไปที่การตีเหล็กของเขา หัวใจของนางพลันสงบลงจากสภาวะว้าวุ่นสับสนเมื่อครู่

เมื่อบิดาของนางเห็นนางมาด้วย เขาก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย และอ้าปาก แต่ทว่าเขาก็ฝืนไม่กล่าวอะไร

เคร้ง เคร้ง เคร้ง

ฉินมู่ตีเหล็กอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าจะมีเทพและมารมากกว่าสิบตนอยู่รอบๆ เสียงเดียวที่ปรากฏก็คือเสียงของเขาตีเหล็ก มันทำให้ทุกคนรำคาญใจอย่างยิ่ง

ทันใดนั้น มารเทวะตรงข้ามนักบุญคนตัดไม้ก็หันหน้ามาเผชิญกับเขาด้วยใบหน้าอีกหน้าหนึ่ง เขากล่าวอย่างแช่มชื่น “ในที่สุดฟู่ยื่อลัวก็ได้พบพานครูบาสวรรค์แห่งสภาสวรรค์ปลอมในกาลครั้งนั้น ได้ยินกิตติศัพท์นับว่าไม่เท่ากับได้พบหน้าจริงๆ ผู้สืบทอดของเจ้าผู้นี้น่าสนใจแท้ๆ แต่เจ้าแน่ใจหรือว่าอยากจะให้เขามาสู้ให้แก่เจ้า”

นักบุญคนตัดไม้มีสีหน้าไม่ยินดียินร้าย

“ฝึกบำเพ็ญใจก็เหมือนการตีเหล็ก เมื่อครู่นี้หัวใจของเขาว้าวุ่น ดังนั้นเขาจึงเพียงแค่ใช้การตีเหล็กเพื่อสยบอารมณ์อันพลุ่งพล่านและให้หัวใจข้างในของเขาสงบลง นี่คือวิธีการฝึกบำเพ็ญใจที่ลึกซึ้งแบบหนึ่ง ฟู่ยื่อลัว เจ้ามองไม่เห็นหรือ”

เคร้ง เคร้ง เคร้ง

ฉินมู่เงื้อค้อนขึ้นและทุบลงไปที่ใบมีดอย่างไม่หยุดยั้ง เขาดูไม่เหมือนว่ากำลังฝึกบำเพ็ญใจเลยแม้แต่นิด ในทางกลับกัน เขาดูเหมือนกำลังตีเหล็กสร้างของอยู่จริงๆ เสียมากกว่า

หางตาของนักบุญคนตัดไม้กระตุกบิดเบี้ยว และเขาแทบจะไม่อาจทำหน้าตายได้อีกต่อไป ทำไมเขายังทุบตีเหล็กอยู่อีก

ข้างล่างนั้น ฉินมู่เก็บกระบี่ที่เคี่ยวกรำขัดเกลาเสร็จแล้ว และนำเอากระบี่ออกมาอีกกองใหญ่เพื่อเอาไปเผาไล่มลทินในไฟ

เส้นเลือดผุดปุดๆ ขึ้นมาบนหน้าผากของนักบุญคนตัดไม้ แต่เขาก็บังคับให้หายไปในทันที

ฟู่ยื่อลัวหัวเราะด้วยเสียงอันดัง “เจ้าจะกำจัดข้าก็ยาก และข้าเองก็ไม่อาจกำจัดเจ้าได้ ถ้าเช่นนั้น ให้พวกผู้เยาว์เหล่านี้สู้กันแทนพวกเรา! ครูบาสวรรค์ หากว่าฝ่ายของข้าชนะ เจ้าก็จงไสหัวกลับไปกอดหมอนนอนฝันหวานต่อเถอะ แต่ถ้าฝ่ายเจ้าชนะ ข้าจะถอนตัวจากเมืองหลีให้แก่เจ้า!”

นักบุญคนตัดไม้ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง และเสียงเคร้งๆ ก็ดังมาถึงหูเขาอีกครั้ง ฉินมู่ยังคงตีเหล็กอย่างขะมักเขม้น

ใกล้ๆ นั้น เจ้าเมืองนวลอาภากล่าวด้วยเสียงต่ำ “ครูบาสวรรค์ ไม่ต้องกังวล สวรรค์ไท่หวงของข้าก็มียอดฝีมือรุ่นเยาว์ พวกเขาแล้วแต่เป็นคนหนุ่มสาวที่มีพรสวรรค์ระดับเทพเที่ยงแท้ และพวกเขาไม่มีทางด้อยไปกว่าบรรดาศิษย์ของฝู่ยื่อลัว”

นักบุญคนตัดไม้มองไปที่ฉินมู่ซึ่งยังคงตีเหล็กต่อ และเขาก็ได้แต่พยักหน้า

………………………….