นักบุญคนตัดไม้มองไปยังฝั่งตรงข้าม ซึ่งมีมารเทวะจำนวนหนึ่งนำพาศิษย์อันเป็นเป็นที่ภูมิใจของพวกเขามา ยอดฝีมือมารรุ่นเยาว์เหล่านั้นล้วนแต่เต็มไปด้วยรัศมีอันกร้าวแกร่งดุดัน แต่ละคนล้วนร่างเนื้ออันน่าแตกตื่นและแข็งแกร่งอย่างสุดขีดขั้ว เห็นได้ชัดว่าพวกเขาคือยอดฝีมือที่ได้ผ่านความเป็นตายมาแล้ว
เขาได้ต่อสู้กับพวกมารมาก่อน และรู้ซึ้งถึงความแข็งแกร่งของเผ่าพันธุ์นี้ เมื่อดูจากกายเนื้ออย่างเดียว แม้ว่าผู้ฝึกวิชาเทวะแห่งสวรรค์ไท่หวงจะมีพรสวรรค์ระดับเทพเที่ยงแท้ แต่พวกเขาก็ยังคงด้อยกว่าอยู่เล็กน้อย
ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยว่ามีศึกสงครามบนสวรรค์ไท่หวงอย่างไม่หยุดหย่อน จนยากที่พวกเขาจะก่อตั้งโรงเรียนและสถาบันการศึกษาอย่างที่สันตินิรันดร์กระทำ พวกเขายังมิอาจก่อตั้งสำนักขนาดใหญ่ขึ้นมาอีกด้วย ดังนั้นส่วนใหญ่แล้วจึงเป็นเทพเจ้าทั้งหลายที่ไปเสาะหาผู้เยาว์ที่โดดเด่นเพื่อมาสั่งสอนพวกเขาด้วยตนเอง
การทำเช่นนั้นมีทั้งข้อได้เปรียบและข้อเสียเปรียบ ข้อได้เปรียบนั้นก็คือว่า ด้วยการสั่งสอนโดยตรงของเทพและมาร ศิษย์ทุกๆ คนก็จะเป็นยอดฝีมือระดับหัวกะทิที่มีกำลังฝีมืออันแข็งแกร่งอย่างสุดขีด ไม่มีช่องโหว่ในการสืบทอดมรรคา วิชา และทักษะเทวะในสวรรค์ไท่หวง แม้แต่วิชาฝึกปรือระดับเทพเจ้าก็ยังสามารถส่งต่อสืบทอดได้ อย่างเช่นซังฮั่ว นางนั้นได้รับการสั่งสอนจากบิดาของนางซังเย่โดยตรง
ข้อเสียเปรียบก็คือว่าบุคคลหนึ่งสามารถเรียนรู้ได้เพียงสิ่งที่อาจารย์ของตนมีสั่งสอน และก็เพียงเท่านั้น พวกเขาพบว่าการไปเรียนสุดยอดวิชาของผู้อื่นกลายเป็นเรื่องยากสุดๆ ยกตัวอย่างเช่น ซังฮั่วฝึกปรือวิชาและทักษะเทวะของซังเย่ ดังนั้นนางจึงไม่เคยเรียนรู้ทักษะเทวะที่เขาไม่มีในครอบครอง ต่อให้นางเรียนรู้มัน อีกฝ่ายก็ไม่อาจสั่งสอนนางอย่างตั้งใจได้เท่ากับซังเย่
โดยมิได้เรียนรู้วิชาฝึกปรือและทักษะเทวะของผู้อื่น ก็ย่อมเชี่ยวชาญแต่ด้านใดด้านหนึ่งเท่านั้น แต่ผลพวงที่ตามมาก็คือมรรคา วิชา และทักษะเทวะของสวรรค์ไท่หวงไม่เกิดความคืบหน้าพัฒนาเลยแม้แต่น้อย พวกมันล้วนแต่ด้อยกว่าวิชาและทักษะในสันตินิรันดร์มาก
ฉินมู่สามารถมองเห็นประเด็นนี้ นักบุญคนตัดไม้ก็ย่อมมองเห็นเช่นกัน
เขามองไปที่เด็กหนุ่มที่ยังคงหลอมสร้างอาวุธอยู่และอดไม่ได้ที่จะสงสัยตนเอง เมื่อข้าเห็นเขาตกอยู่ในอันตรายที่สนามรบ ข้าขับเคลื่อนทักษะเทวะที่เขาสามารถตรึกตรองเข้าใจได้ และเขาเรียนรู้มันโดยทันที ที่ถูกแล้วผู้สืบทอดของข้าควรจะมีพรสวรรค์อันไร้ผู้ต่อต้าน และได้ฝึกปรือวิชาที่ข้าถ่ายทอดไปจนถึงขั้นสมบูรณ์แบบ นั่นจึงเป็นสาเหตุให้เขาสามารถตรึกตรองเข้าใจทักษะเทวะของข้าได้ในพริบตา แต่ทว่าทำไมตอนนี้ เขากลายเป็นดูไว้วางใจไม่ได้ไปเสียแล้ว หรือว่าวิจารณญาณของข้าจะผิดพลาด
ในตอนนั้นเอง เทพตนหนึ่งก็ก้าวเข้ามาและโค้งคารวะ “ครูบาสวรรค์ ยอดฝีมือขั้นเจ็ดดาวแห่งสวรรค์ไท่หวงอยู่ที่นี่แล้ว!”
นักบุญคนตัดไม้มองไปที่พวกเขาและพยักหน้าอย่างเบาๆ “ให้พวกเขาเข้ามา”
ซังฮั่วมองไปรอบๆ และดวงตาของนางพลันลุกวาบ “เด็กฟาดฟ่อนข้าว หญิงสาวคนนั้นคืออวี่เหอ! เป็นอันดับหนึ่งในบรรดาผู้ฝึกวิชาเทวะขั้นเจ็ดดาว!”
ฉินมู่ดึงกระบี่ออกมาจากกำแพงไฟและเพ่งพิศตรวจตรามัน ความร้อนของมันยังไม่ได้ที่ เขาจึงยัดมันกลับเข้าไปใหม่
ซังฮั่วนั้นยิ่งกว่าตื่นเต้น นางกล่าวกับฉินมู่ “อวี่เหอเป็นศิษย์ของเทพเที่ยงแท้ผางอวี้ และได้ผ่านการทดสอบของเจดีย์สยบเทพ นางได้สังหารยอดฝีมือมารระดับมารเที่ยงแท้เยาว์ไปถึงสามคน และได้รับการยกย่องให้เป็นอันดับหนึ่งในขั้นเจ็ดดาว! คนนั้นนั่นแหละ หญิงสาวที่เกล้าผมเป็นมวลไม้สูงจนดูเหมือนเจดีย์เล็กๆ นางสวยเหลือเกิน!”
เสือเทพยดาขนดำมองไปที่เด็กสาวนามว่าอวี่เหอผู้ซึ่งมีสีหน้าเย็นชา นางปลดต่างหู กำไล และจัดแจงเสื้อผ้าของตนเอง เห็นได้ชัดว่านางพร้อมที่จะผจญศึกชิงเป็นชิงตาย
“นางนับว่าเป็นยอดฝีมือที่ไม่เลว” เสือเทพยดาขนดำกล่าวชม “นางถอดเครื่องประดับที่ไม่จำเป็นออกจากร่างกายเพื่อมิให้การเคลื่อนไหวถูกจำกัด นางกล่าวได้ว่าผ่านศึกมาร้อยสนาม”
“เด็กฟาดฟ่อนข้าว ดูสิ ดูสิ! ทั้งสิบอันดับสุดยอดผู้ฝึกวิชาเทวะขั้นเจ็ดดาวอยู่ที่นี่กันหมด…ช้าก่อน นี่ไม่ถูก มีคนหายไปสองคน หรือว่าพวกเขาได้ตายไปในศึก”
ฉินมู่เพ่งสมาธิกับการหลอมสร้างและสั่นเทิ้มร่างกายเพื่อเทวาจำแลงเป็นเทพครองดาวอังคาร เขาดึงเอาไอน้ำเย็นมาเพื่อหล่อเย็นให้กับกระบี่ จากนั้นเขาก็จับกระบี่บินเล่มนั้นและถ่ายเทพลังวัตรลงไป ถูๆ ไปมาในมือ เขาเปลี่ยนกระบี่อันสุกสกาวให้กลายเป็นเม็ดกลมๆ
จากนั้นเขาก็ผงกหัวด้วยความพึงพอใจ
ซังฮั่วตื่นเต้นอย่างสุดๆ “ดูสิ นั่นคือฉู่เหยา! อาจารย์ของเขาคือเทพเที่ยงแท้เอี๋ยนชั่ว แต่เขาน่าเสียดายนักที่ได้ตกตายไปในการต่อสู้กับฟู่ยื่อลัว…แต่ถึงอย่างไร ฉู่เหยาก็แข็งแกร่งอย่างอัศจรรย์ เขามีท่วงทีของปรมาจารย์และวิชาฝึกปรือของเขาก็เขื่องโของอาจ ขณะที่ทักษะเทวะของเขาก็ดุดัน มรรคาที่เขาเดินคือมรรคาของกายเนื้อบรรลุเป็นนักบุญศักดิ์สิทธิ์!”
เสือเทพยดาขนดำมองไปยังฉู่เหยาและพบว่าเด็กหนุ่มผู้นี้มีท่วงทีอันสงบนิ่ง ไม่แตกตื่นแม้ฟ้าจะถล่มลงมา ต่อให้ตอนนี้เขาเผชิญกับเทพและมารมากมาย เขาก็ไม่เปลี่ยนสีหน้าเลยสักนิด
“เขานั้นมั่นคงกว่าเด็กฟาดฟ่อนข้าวที่ชูคอชะแง้ชะเง้อไปทั่วตลอดเวลาจริงๆ ฉู่เหยาผู้นี้คือยอดฝีมือคนหนึ่งเช่นกัน” เทพเสือขนดำชมเปาะ
ผู้คนอีกจำนวนหนึ่งข้างๆ เขาก็ไม่ธรรมดาอย่างสุดๆ แต่ละคนนั้นไม่ว่าจะเป็นเด็กหนุ่มหรือเด็กสาว พวกเขาก็มีรัศมีฆ่าฟันอันเข้มข้นล้อมรอบตัว พวกเขาทั้งหมดน่าจะเพิ่งมาจากสนามรบ
ซังฮั่วตื่นเต้นจนเต็มเหยียด “ผู้คนเหล่านี้ที่สามารถเดินออกมาจากเจดีย์สยบเทพล้วนแต่เป็นยอดฝีมือเยาว์ และพวกเขาทุกคนก็ล้วนแต่เป็นตำนาน! นั่นคือหวงเยว่ เขาได้ผ่านศึกใหญ่มานับครั้งไม่ถ้วน และเป็นที่โด่งดังจากความดีความชอบในสนามรบของเขา! เขานั้นก็เป็นศิษย์ของเทพเที่ยงแท้ผางอวี้เช่นกัน และเป็นผู้ที่ผ่านด่านทดสอบเจดีย์สยบเทพได้รวดเร็วที่สุด เพียงแต่ว่าอันดับของเขาค่อนข้างจะต่ำ เพียงแค่อันดับสาม”
ฉินมู่เก็บกระบี่บินทั้งหมดที่เขาเอามาขัดเกลาเสร็จแล้ว ระหว่างที่เอาพวกที่ยังไม่ได้ทำยัดเข้าไปในไฟหลี และทำงานของตนต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง
เสือเทพยดาขนดำมองไปที่หวงเยว่ผู้ซึ่งเห็นได้ชัดว่าเป็นคนคลั่งยุทธ แม้แต่ภายใต้สถานการณ์เช่นนั้นเขาก็ยังฝึกปรือ เขาไม่ลืมที่จะโคจรวิชาฝึกปรือของตนแม้ขณะที่เดินเหิน และก็มีเมฆหมอกลอยอยู่เหนือศีรษะของเขา
วิชาฝึกปรือของเขาพิสดารเป็นอย่างยิ่ง และเขาได้ฝึกปรือจิตวิญญาณดั้งเดิมของเขาไปแล้ว แม้ว่าเขาจะยังไม่อาจฉายแสดงมันออกมาได้ เขาก็สามารถให้มันสูดปราณชีวิตเข้าและออกได้แล้ว
เมฆหมอกเหนือหัวของเขาคือภาพปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นจากจิตวิญญาณดั้งเดิมควบแน่นปราณชีวิต
“พลังวัตรของคนผู้นี้เข้มข้นอย่างสุดๆ!” เทพเสือขนดำดวงตาเป็นประกาย และเขากล่าวชม “คนคลั่งยุทธอีกคนล่ะ แต่ว่าความคิดของเขาบริสุทธิ์อย่างยิ่ง เขาไม่มีความคิดอื่นนอกจากจะต้องแข็งแกร่งขึ้นไป ดังนั้นกรอบคิดจิตใจของเขาย่อมต้องล้ำเลิศ! เด็กฟาดฟ่อนข้าวและเด็กสาวเปียยาว เจ้าทั้งสองควรเรียนรู้จากเขา”
ซังฮั่วรู้ว่าเขากำลังชี้แนะ จึงรีบผงกหัว
เทพเสือขนดำมองไปที่ฉินมู่ซึ่งกำลังนำกระบี่บินอีกชุดหนึ่งมายัดเขาไปในไฟ เขาฟาดค้อนทุบลงไปบนกระบี่อีกเล่มเพื่อขัดเกลาไล่มลทินออกไปจากข้างในนั้น
สีหน้าของเทพเสือขนดำกลายเป็นดำสนิท
อวี่เหอมองมาและสายตาของนางก็ทอดลงมาจับยังฉินมู่ผู้ซึ่งง่วนกับการหลอมสร้างกระบี่ นางขมวดคิ้วเล็กน้อยและถามซังฮั่ว “ศิษย์น้องหญิงซังฮั่ว คนผู้นี้คือ?”
ซังฮั่วมองไปที่นางด้วยความเลื่อมใสชื่นชม และตอบด้วยรอยยิ้ม “นี่คือฉินมู่ เขามาจากโลกอื่น ชื่อฉินของเขามาจากฉินของการฟาดฟ่อนข้าว ศิษย์พี่หญิง ท่านได้กลายเป็นยอดฝีมือโด่งดังระดับโลกในการศึกที่เมืองชือ…”
อวี่เหอสีหน้าหมองลง “แต่ทว่าเมืองชือก็ยังคงตกลงไปในเงื้อมมือของศัตรู กำลังฝีมือของมารพวกนี้นับว่าแข็งแกร่งกว่าพวกเราจริงๆ แต่ทว่าผู้ฝึกวิชาเทวะแห่งสวรรค์ไท่หวงของข้าก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าพวกมารที่อาศัยจำนวนคนมากเข้ากลุ้มรุม!”
ฉู่เหยาเดินเข้ามาและส่งยิ้มละไมมาให้ “น้องสาวซังฮั่ว เจ้ายังมิได้เข้าไปในเจดีย์สยบเทพ ใช่ไหม ข้าเห็นว่ากำลังฝีมือของเจ้าก็เหนือธรรมดา และได้เพิ่มพูนขึ้นมาอย่างมากหลังจากที่เราพบกันในครั้งก่อน เจ้าจะต้องผ่านการทดสอบในเจดีย์สยบเทพได้อย่างแน่นอน”
ซังฮั่วยืดอกด้วยความภาคภูมิใจ
ฉู่เหยามองไปที่ฉินมู่และขมวดคิ้วเล็กน้อย เขาถามด้วยเสียงต่ำ “นี่คือ?”
“ฉินมู่ เด็กฟาดฟ่อนข้าว”
อวี่เหอรู้สึกจนปัญญา “เขามาจากต่างโลก และนิสัยใจคอของเขาค่อนข้างประหลาด เขาดั้นด้นมาถึงที่นี่เพื่อที่จะตีเหล็ก”
ซังฮั่วหน้าแดงฉานและกล่าวด้วยเสียงแผ่ว “ฉินมู่แข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง เขามีประตูที่ข้าไม่เคยเห็นมาก่อน ไม่ว่าประตูนี้จะผ่านไปที่ใด ก็ไม่มีใครรอดชีวิต เขาสังหารยอดฝีมือเผ่ามารมากมาย เขายังมีเนตรหยกจันทราที่สามารถสังหารฟู่อวี่เซียวได้ในปราดเดียว ความสำเร็จในเชิงพีชคณิตของเขาก็เก่งกาจ แต่ฝีมือวิชาแพทย์ของเขายิ่งล้ำเลิศกว่า วิชาหลอมสร้างของเขาก็ยอดเยี่ยมกว่าพีชคณิต…”
“ฟู่อวี่เซียวศิษย์ของฟู่ยื่อลัวถูกเขาสังหารหรือ”
ทุกคนตื่นตระหนก และล้วนแต่มองไปยังฉินมู่ เพื่อที่จะเห็นว่าเขาก็ยังคงตีเหล็กอยู่ อวี่เหอกล่าวด้วยสีหน้าสงบนิ่ง “สมบัติของศิษย์พี่ฉินนับว่าเหนือธรรมดา”
คนอื่นๆ ผงกหัว ฟู่อวี่เซียวนั้นโด่งดังท่ามกลางชนรุ่นเยาว์แห่งวรยุทธขั้นชาวสวรรค์ การที่ฉินมู่สามารถสังหารฟู่อวี่เซียวได้ คงจะต้องเป็นเพราะพลานุภาพของสิ่งที่เรียกว่าเนตรหยกจันทรานั่นเป็นแน่
“นี่มิใช่เพราะสมบัติวิเศษเพียงอย่างเดียว ในเมื่อมันสำเร็จได้ก็เพราะว่าเด็กฟาดฟ่อนข้าวมีความสำเร็จเชิงพีชคณิตอันสูงส่ง เขากล่าวว่าเขาอาศัยพีชคณิตเพื่อคำนวณก้าวถัดไปของฟู่อวี่เซียว เพื่อที่จะสามารถยิงโดนเขา…”
ขณะที่กล่าวเช่นนั้น ซังฮั่วก็รู้สึกความมั่นใจถดถอยลงไปทุกที
“พีชคณิต?”
ทุกคนส่ายหัว และหวงเยว่กล่าวอย่างไม่ยินดียินร้าย “พีชคณิตมีประโยชน์อะไร ไม่เพียงแต่มันไม่เพิ่มพูนพลังการต่อสู้ แต่มันยังแย่งชิงเวลาในการฝึกวิทยายุทธอีก”
เสือเทพยดาขนดำกระแอมไอและกล่าวอย่างเคร่งขรึม “ทุกคน ไปสงบจิตใจของพวกเจ้าก่อน เดี๋ยวก็จะต้องไปต่อสู้อย่างดุเดือดแล้ว! นายท่านของข้าได้ต่อสู้กับฟู่ยื่อลัวมานับครั้งไม่ถ้วน แต่ผลแพ้ชนะไม่อาจชี้ขาดได้ ดังนั้นความคิดใหม่จึงผุดขึ้นมา ให้ชนรุ่นเยาว์เป็นผู้ต่อสู้เพื่อชี้ชะตาความเป็นเจ้าของเมืองหลี! พวกเราต้องอาศัยกำลังฝีมือของพวกเจ้าหากว่าต้องการแย่งชิงเมืองหลีกลับคืนมา!”
ฉู่เหยามองไปที่ฉินมู่ที่ยังคงตีเหล็กไม่หยุดและกล่าวด้วยหน้านิ่วคิ้วขมวด “พวกเราจะสงบจิตใจได้อย่างไรเมื่อศิษย์พี่ผู้นี้ยังคงตีเหล็กอยู่ตรงนั้น”
คนอื่นๆ ล้วนพยักหน้า
เสือเทพยดาขนดำมองไปที่พวกเขาด้วยความจนปัญญา “โปรดอย่าใส่ใจเขา กรอบคิดจิตใจของเขาไม่เหมือนกับพวกเจ้า ดังนั้นเขาจึงต้องอาศัยการตีเหล็กเพื่อสงบจิตใจ”
ทันใดนั้น สายตาของหวงเยว่ก็จ้องเขม็งไปยังฝั่งตรงข้าม และเสียงของเขาแหบพร่าขึ้น “เจ๋อหัวหลี ศิษย์เอกของฟู่ยื่อลัว! ข้าได้พบกับเขาในสนามรบ และในความมืด ข้าเกือบตายในน้ำมือของเขา โชคดีที่กำลังเสริมมาทัน”
ฉู่เหยาเองก็จ้องไปยังยอดฝีมือเยาว์ฝ่ายมาร มีดบนหลังเขาสั่นเทิ้ม ส่งเสียงร้องของมีด ยอดฝีมือเยาว์จึงกล่าวด้วยเสียงต่ำ “ข้าเองก็ได้แลกเปลี่ยนกระบวนท่ากับเขาและพ่ายแพ้ บางทีอาจจะมีเพียงศิษย์พี่หญิงอวี่เหอเท่านั้นที่สามารถเอาชนะเขาได้…”
สายตาของอวี่เหอไปจับจ้องที่เจ๋อหัวหลีและนางก็ส่ายหัว “ข้าเพิ่งพบกับเขาในสนามรบล่าสุดนี้ แม้ว่าพวกเราจะถูกขัดขวางด้วยพยุหะกระบวนทัพหลังจากประมือได้สองท่า แต่ก็เพียงพอที่ข้าจะตัดสินกำลังฝีมือของเขา ข้านั้นไม่มั่นใจเต็มร้อยที่จะเอาชนะเขาได้…พวกเจ้าจะต้องระวังให้ดีตอนที่ต่อสู้กับเขา!”
เสือเทพยดาขนดำมองไปที่ยอดฝีมือเยาว์แห่งเผ่ามารและอึ้งไปเล็กน้อย ตรงหน้าเขานั้นคือเด็กหนุ่มที่สุภาพและเต็มไปด้วยสง่าราศี ดูจากรูปลักษณ์ของเขาแล้ว มองไม่ออกเลยว่าเขาเป็นมาร
ไม่ใช่สิ! เขาไม่ใช่มาร! เขาคือมนุษย์! เสือเทพยดาขนดำหัวใจสั่นสะท้าน และเขาพลันตระหนักถึงปูมหลังความเป็นมาของเจ๋อหัวหลี เขากล่าวด้วยเสียงเบา “เขามิใช่เพียงแค่ศิษย์ของฟู่ยื่อลัว แต่ยังเป็นผู้คนที่มาจากแดนเบื้องบน!”
อวี่เหอ ฉู่เหยา และหวงเยว่ล้วนแต่ตกตะลึง พวกเขาหมายจะซักถามรายละเอียด แต่เทพเสือขนดำกระโจนขึ้นไปบนท้องฟ้า เขากล่าวแก่นักบุญคนตัดไม้ “นายท่าน ที่มาของเจ๋อหัวหลีผิดสังเกต เขามิใช่เผ่ามาร ดังนั้นเขาน่าจะมาจากแดนเบื้องบน!”
นักบุญคนตัดไม้พยักหน้าและมองไปยังฝั่งตรงข้าม เขากล่าวอย่างเคร่งขรึม “ฟูยื่อลัว ดูเหมือนว่าเจ้าจะเกี่ยวข้องกับสิ่งที่เรียกๆ กันว่าสภาสวรรค์ ศิษย์ของเจ้าผู้นี้มาจากแดนเบื้องบน ข้าสงสัยเสียจริงว่าเขาเป็นศิษย์ของเทพสูงส่งตนใด”
ฟู่ยื่อลัวหัวเราะด้วยเสียงอันดังและกล่าวอย่างไม่รีบร้อน “เจ๋อหัวหลีมีรากฐานอันมั่นคง และวิชามารของเขาก็ด้อยกว่าเพียงแค่ข้า กำลังฝีมือเขาโดดเด่นล้ำเลิศ และเขาเป็นศิษย์ที่ข้าชื่นชมที่สุด แต่ทว่า การคาดเดาของเจ้านั้นก็ไม่ผิด และปูมหลังความเป็นมาของเขาก็ยิ่งใหญ่ เขามีอาจารย์อีกคนหนึ่ง และเจ้าก็รู้จักเขาเช่นกัน บุคคลผู้นี้คือดาบเทวะผู้ซึ่งเรียกตนเองว่าอู๋ชวง เจ้าเคยแลกเปลี่ยนกำลังฝีมือกับเขามาก่อน”
สีหน้าของนักบุญคนตัดไม้เคร่งเครียด และเขาผงกหัว “ดาบเทวะลั่วอู๋ชวง แม่ทัพสูงสุดแห่งทัพหลิงซิ่ว เขานั้นนับว่าเป็นสหายเก่าจริงๆ ไม่เคยคิดเลยว่าเจ้านั้นจะเกี่ยวข้องกับเขา”
“ทัพหลิงซิ่ว ลั่วอู๋ชวง”
อวี่เหอกล่าวอย่างไม่ยินดียินร้าย “อาจารย์ของข้าเทพเที่ยงแท้ผางอวี้เคยกล่าวถึงเขา ลั่วอู๋ชวงเป็นดาบเทวะแขนขาดแห่งยุคโบราณ เทพเที่ยงแท้ที่มีเพลงมีดอันทรงพลังอย่างยิ่ง! เขามีแขนเพียงข้างเดียว แต่เพลงมีดของเขาได้บรรลุขั้นสมบูรณ์แบบ!”
ฉินมู่ตกตะลึง เขาพลันหวนระลึกถึงค่ำคืนเมื่อสี่หมื่นปีก่อน และลั่วอู๋ชวงแห่งทัพหลิงซิ่วที่เขาได้พบพาน
ในคืนนั้น เขายืนอยู่บนหีบเพื่อป้องกันเส้นทางหลบหนี และสะบั้นแขนของลั่วอู๋ชวงไปหนึ่งข้าง
หรือว่าลั่วอู๋ชวงทั้งสองนี้จะเป็นคนคนเดียวกัน
ฉินมู่รีบมองไปที่เจ๋อหัวหลี และฉู่เหยาก็แย้มยิ้มพลางถามไถ่ “ศิษย์พี่ฉินนักฟาดฟ่อนข้าว ทำไมเจ้าไม่ตีเหล็กแล้วล่ะ”
ฉินมู่ไม่ตอบ และเจ๋อหัวหลีที่อยู่ฝั่งตรงข้ามก็พลันรู้สึกถึงสายตาของเขา เขาเงยหน้าขึ้นมา และเมื่อสายตาทั้งคู่สบกัน สายตาของฉินมู่ก็เลยไปมองยังข้างหลังของเจ๋อหัวหลี อันเขามองเห็นมีดยาวที่ดูเป็นมารและชั่วร้ายอย่างยิ่ง บนด้ามของมันมีดวงตาอยู่
ดวงตานั้นพลันเปิดออกและจ้องไปยังฉินมู่
เจ๋อหัวหลีเห็นใบหน้าของฉินมู่และตะลึงไป สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความไม่เชื่อสายตา และเขานำเอาม้วนกระดาษออกจากอกเสื้อ เขาเพ่งพิศดูมาและหันมามองฉินมู่ ก่อนที่จะพลันแย้มยิ้มออกมาด้วยความเบิกบาน
สายตาของฉินมู่จ้องเขม็งที่มีดมารพลางกล่าวอย่างเคร่งขรึม “น้องสาวซังฮั่ว หากข้าบอกเจ้าว่าแขนของดาบเทวะลั่วอู๋ชวงถูกข้าเป็นคนตัดไปเอง เจ้าจะเชื่อไหม”
…………………………