“แขนของดาบเทวะลั่วอู๋ชวงถูกเจ้าตัดไป?”
ทุกคนในบริเวณรอบๆ พบว่านี่มันเหลวไหลเกินไปแล้ว ขนาดฉู่เหยาที่มั่นคงที่สุดก็ยังอดไม่ได้ที่จะระเบิดหัวเราะออกมา “ศิษย์พี่ฉินนักฟาดฟ่อนข้าว ตั้งใจตีเหล็กของเจ้าไปเถอะ”
ฉินมู่เบือนสายตาไป และสีหน้าของเขากลายเป็นเคร่งเครียดอย่างประหลาด ทันใดนั้น อวี่เหอ หวงเยว่ ฉู่เหยา ซังฮั่ว และคนอื่นๆ ก็ผงะถอยออกห่างจากฉินมู่ไปก้าวหนึ่งอย่างไม่รู้ตัว
ในเสี้ยววินาทีนั้น พวกเขารู้สึกว่าเด็กหนุ่มที่กำลังตีเหล็กข้างๆ พวกเขาจู่ๆ ก็กลายเป็นกระบี่ที่กำลังจะถูกชักออกจากฝัก รังสีแสงกำลังจะระเบิดออกมาในทุกทิศทาง จิตวิญญาณอันเฉียบขาดของเขาคุกคามร้ายกาจ แต่ทว่ามันถูกเก็บไว้ในฝักกระบี่โดยมิได้ถูกชักออกมา
คนหนุ่มสาวทั้งหลายผงะไปเพราะสัญชาติญาณของพวกตน หลีกเลี่ยงจิตหาญสู้และจิตสังหารอันน่าสะพรึงกลัว
เคร้ง เคร้ง
เสียงของเหล็กถูกฟาดทุบดังมาเมื่อฉินมู่เดินกลับไปที่โต๊ะตีเหล็ก จดจ่อกับการตีเหล็กกระบี่บินของตนเอง
ทุกคนอดไม่ได้ที่จะสงสัยว่าเป็นประสาทสัมผัสพวกเขาที่พลุ่งพล่านไปเองเมื่อครู่นี้หรือเปล่า
ในขณะเดียวกันนั้น อีกฟากหนึ่ง มารสาวข้างๆ เจ๋อหัวหลีมองปราดหนึ่งและกล่าวอย่างตกตะลึง “บุคคลในภาพวาดของเจ้า เหมือนกับไอ้เด็กที่กำลังตีเหล็กฝั่งนั้นเลย!”
เจ๋อหัวหลีม้วนภาพวาดของเขาและเก็บมันไป เขากล่าวอย่างไม่ยินดียินร้าย “อาจารย์ของข้าตามหาเขามาเป็นเวลานานแล้ว เขากล่าวว่าเหตุผลที่วิชามีดของเขาบรรลุถึงระดับขั้นนี้ก็มาจากตัวคนผู้นี้นั่นล่ะ ตาเฒ่าร่ายรำเพลงมีดของเขาให้ข้าดู ก่อนที่ข้าจะลงมายังแดนต่ำใต้และให้ภาพวาดนี้กับข้า เขาต้องการให้ข้าเสาะหาตัวคนผู้นี้และร่ายรำเพลงกระบี่แสดงแก่เขา”
มารสาวอดไม่ได้ที่จะตัวสั่นพลางหัวเราะคิกคัก “อาจารย์ของเจ้าดูเหมือนจะใส่ใจเขามากทีเดียว คำสั่งของเขานั้นให้เจ้าแสดงพลานุภาพของเพลงมีดเขาให้ไอ้เด็กตีเหล็กนั่นดู ข้าสัมผัสได้ถึงความเกลียดแค้นในหัวใจอาจารย์เจ้า แต่มันก็มีวี่แววของความยกย่องนับถือด้วยเช่นกัน แต่ทว่า ไอ้เด็กตีเหล็กนั่นเป็นเพียงคนหนุ่มอายุเยาว์ เช่นนั้นเขาจะไปจับความสนใจของอาจารย์เจ้าได้อย่างไร”
“นี่ ข้าก็ไม่รู้” สายตาของเจ๋อหัวหลีจับลงบนฉินมู่ “เพียงไม่กี่เดือนก่อนนี้ อาจารย์ถึงกับติดต่อข้าข้ามพิภพ กล่าวว่าบุคคลที่เขาต้องการตามหาได้ปรากฏตัวแล้ว เขาบอกให้ข้าเดินทางไปยังโลกใบนั้นเพื่อแสวงหาตัวคนผู้นั้น แต่ทว่าด้วยศึกใหญ่ที่กำลังมา ทำให้ข้าไม่มีเวลาเดินทางไปยังโลกมิตินั้น ไม่คิดฝันเลยจะได้พบพานเขาที่นี่”
เขาระบายลมหายใจขาดห้วงและเสริมด้วยเสียงต่ำ “การที่ดาบเทวะให้ความสำคัญแก่เขาอย่างสูงส่ง ข้าก็อยากจะเผชิญกับเขานัก!”
ฉินมู่ผู้ซึ่งกำลังหลอมสร้างไม่เผยอารมณ์ใดๆ และเพียงแต่หลอมตีกระบี่บินของเขาไปอย่างไม่อนาทรสิ่งใดทั้งสิ้น แต่ทว่าเจ๋อหัวหลีสัมผัสได้ว่าสายตาของเขาทำให้เด็กหนุ่มผู้นั้นรู้สึกไม่สบายตัว
เมื่อสายตาของเขาจ้องลงไปยังร่างของฉินมู่ เขาเห็นได้ชัดว่าเด็กหนุ่มผู้นี้ปรับเปลี่ยนท่าทาง
เจ๋อหัวหลีแย้มยิ้ม ไม่อาจจะระงับความตื่นเต้นของเขาได้ ดวงตาบนดาบมารของเขาก็ตื่นเต้นอย่างสุดๆ และกลอกไปมาสองสามรอบ ขยายขนาดขึ้นมาทั้งกลายเป็นแดงฉานด้วยเลือด
ทันใดนั้น เสียงของฟู่ยื่อลัวก็ดังมา “ครูบาสวรรค์ ในเมื่อทุกคนมากันพร้อมพรักแล้ว พวกเราก็เริ่มกันเถอะ”
“พวกเราควรตั้งกฎกติกาอะไรไหม”
“กฎกติกา? มีกฎกติกาใดสำหรับการต่อสู้หมายชีวิต”
ฟู่ยื่อลัวหัวร่อด้วยเสียงอันดัง และในสนามจัตุรัส ทวนดำก็สั่นเทิ้ม จัตุรัสแตกร้าว และระเบิดดังมาจากใต้พื้นดินเมื่อเกิดรอยแยกแผ่ขยายไปทั่วสารทิศ
ฉินมู่และคนอื่นๆ พลันกลายเป็นยืนไม่มั่น พวกเขารีบเร่งเร้าปราณชีวิตของตน
นักบุญคนตัดไม้เลิกคิ้ว และขวานยักษ์ก็สั่นสะเทือนเช่นกันเพื่อต่อสู้กับทวนมาร การปะทะกันของสองเทพศาสตราพลันฉีกทำลายห้วงอวกาศในใจกลางจัตุรัสและแผ่ขยายมันออกไป!
ท่ามกลางเสียงระเบิดสะท้านโลก สีหน้าของฉินมู่และคนอื่นๆ ก็แปรเปลี่ยนไปอย่างรุนแรง พื้นดินใต้เท้าของพวกเขาพลันยกตัวสูงขึ้น พวกเขาไม่อาจยืนอยู่ได้ด้วยสองขาหากว่ายังคงต้องการขาทั้งสอง แต่จะต้องกระโดดไปอีกฝั่งหนึ่งก็เพราะว่าแผ่นดินกำลังขยายตัวออกไป
ภูมิประเทศของลานจัตุรัสใต้เท้าของพวกเขาเปลี่ยนแปลง ในพริบตานั้น ขุนเขาผุดขึ้นมา และระยะห่างระหว่างพวกเขาก็ยิ่งขยายออกไปอย่างมากมาย
พลานุภาพของสองเทพศาสตราปะทะกันและถึงกับยืดขยายจัตุรัสนี้ราวกับว่ามันมีพลานุภาพอันไร้ประมาณที่เสกสรรภูเขามากมายขึ้นมาจากความว่างเปล่า!
หุบเหวตัดกันไปมา และภูเขาก็งอกเงยขึ้นแผ่ขยายทอดยาวไปยังทิศไกลๆ พลานุภาพอันยิ่งใหญ่ตระการนี้ทำให้พวกหนุ่มสาวได้แต่ชมดูด้วยความทึ่งอัศจรรย์ใจ
ฉินมู่มองไปที่การเปลี่ยนแปลงตรงหน้าเขาด้วยความตื่นตระหนก จัตุรัสอันแบนราบเมื่อครู่ราวกับทะเลครามเปลี่ยนเป็นทุ่งหม่อน มันผ่านการเปลี่ยนแปลงที่สามารถเกิดขึ้นได้เมื่อผ่านระยะเวลาเป็นแสนๆ หรือล้านๆ ปีเท่านั้น และเกิดขึ้น ณ บัดนี้ภายในเวลาแสนสั้น!
นี่คือฤทธานุภาพของเทพและมาร ฤทธานุภาพที่ปุถุชนไม่มีวันบรรลุได้!
มีก็แต่ตอนนี้แหละที่เขาได้ประจักษ์ว่าเทพและมารถือครองพลังอำนาจมากแค่ไหน มันเป็นฤทธานุภาพที่ซิงอ้าน เทพเจ้าอันปะเชื่อมต่อเข้าด้วยกัน ไม่มีทางคิดฝันว่าจะครอบครอง!
“การที่ฟู่ยื่อลัวสามารถสกัดขัดขวางนักบุญคนตัดไม้ได้ กำลังฝีมือของเขานับว่าไม่ธรรมดา”
ฉินมู่หัวใจสะท้านเมื่อเขาสัมผัสได้ถึงกระบี่บินของเขา ยังมีพวกมันบางส่วนที่เอาไปเผาในไฟหลีและไฟมาร และเขาไม่ได้เรียกพวกมันกลับมาอย่างทันท่วงที
เขารีบเรียกพวกมันด้วยตนเอง และกระบี่บินก็เหินทะยานขึ้นจากที่ไกลๆ มันอยู่ห่างจากเขาไปยี่สิบลี้ แต่เขาพลันเห็นภาพอันแปลกประหลาด
ความเร็วของกระบี่บินนั้นว่องไวอย่างยิ่งยวด แต่ระยะห่างระหว่างเขากับกระบี่กลับยิ่งขยายถ่างออก!
เห็นได้ชัดว่านี่เกิดจากการเสกสรรโลกมิติของเทพและมาร ความเร็วการขยายตัวของห้วงอวกาศนั้นเหนือล้ำกว่าความเร็วการเคลื่อนที่ของกระบี่บิน!
ตูม!
ทันใดนั้น ห้วงอวกาศสะท้านสะเทือนอย่างรุนแรง และภูเขาก็หยุดงอกเงย ห้วงอวกาศก็คงที่เสถียร
กระบี่บินพวกนั้นพุ่งเข้ามา และฉินมู่ยกมือของเขาขึ้น กระบี่บินทั้งหลายก็ปะทะซึ่งกันและกัน ก่อนจะกลายร่างเป็นไจกระบี่ที่หมุนติ้วๆ อยู่บนอากาศ
เขาระบายลมหายใจโล่งอกและมองไปรอบๆ เขาไม่อาจมองเห็นซังฮั่วและคนอื่นๆ ได้อีกต่อไป
ในบริเวณโดยรอบ มีภูเขามากมายนับไม่ถ้วน แต่มันไม่ได้สูงลิ่วเป็นพิเศษ พวกมันเหมือนกับภูเขาที่โลกภายนอก เพียงแต่ย่อขนาดลงไปสิบเท่า ฉินมู่เฉือนตัดก้อนหินมากระหยิบหนึ่งและตรวจดูมันอย่างละเอียด จากนั้นเขาก็บดมันเป็นผง
พริบตาถัดมา หินนี้ก็กลายเป็นรอยประทับอักษรรูนละเอียดยิบ ที่เปล่งแสงสุดท้ายออกมา ก่อนที่จะสลายไปกับสายลมและหายสาบสูญไปโดยสิ้นเชิง
“พวกมันไม่ใช่ของจริง จริงๆ ด้วย”
ฉินมู่ยืดหลังขึ้นและมองไปรอบๆ ภูเขาทั้งหลายที่ลดหลั่นซับซ้อนไปยังทิศไกลๆ น่าจะก่อสสารขึ้นมาโดยอักษรรูนของฟู่ยื่อลัวและนักบุญคนตัดไม้ กำลังฝีมือของพวกเขาดูจะยังไม่ถึงขั้นที่สามารถเสกสรรสสารอันแท้จริงออกมาได้
ทันใดนั้น เสียงของฟู่ยื่อลัวก็ดังกัมปนาทราวกับสายฟ้าจากนอกอวกาศ “ในการต่อสู้ชิงเป็นชิงตาย ไม่มีกฎใดๆ! โต๊ะจำลองศึกทรายนี้จะเป็นสนามรบของพวกเขา และทั้งสองฝั่งจะมีฝั่งละสิบคน ฝ่ายที่ชนะเอาชัยมาได้ ก็จะเป็นผู้ชนะ! อย่างนี้เป็นเช่นไร”
ฉินมู่หัวใจสั่นสะท้าน โต๊ะจำลองศึกทราย?
เขาเงยหน้าขึ้นมองยังทิศทางเสียง และเห็นใบหน้าอันใหญ่มหึมาไร้ปานเปรียบของฟู่ยื่อลัวและนักบุญคนตัดไม้เหนือท้องฟ้า พวกเขาดูเหมือนกับดาวเคราะห์บนห้วงอวกาศนอกพิภพ
นี่หมายความว่า ถึงแม้จัตุรัสจะดูขยายใหญ่ขึ้นมาหลายเท่า แต่มันก็น่าจะมีขนาดเท่าเดิมเมื่อมองจากข้างนอกสินะ
ฉินมู่ตกตะลึงอย่างไม่รู้จบ เรื่องทำนองนี้นับว่าเหนือจินตนาการของเขาจริงๆ!
ระหว่างที่เข้ามา เขาก็ได้คำนวณขนาดของจัตุรัสแล้ว
มันมีราชวังอยู่สองฝั่ง โดยดูเหมือนว่าจะตั้งอยู่ระหว่างหยินซ้ายและหยางขวา
ฉินมู่ได้เดินตลอดทางมาตามถนนเส้นหลัก จากนั้นก็ขึ้นบันไดมายังสนามจัตุรัส มันมีความกว้างสามร้อยสิบคืบ และมีความยาวห้าร้อยคืบ แต่ละด้านมีบันไดไปยังราชวังที่ติดกัน
หากมองจากท้องฟ้า สองราชวังใหญ่และจัตุรัสน่าจะจัดเรียงในแบบผังทำนายหลี ดังนั้นไฟหลีจึงเกิดขึ้น
บัดนี้ พื้นที่ภายในของจัตุรัสได้ขยายออกไม่ไม่รู้กี่เท่า แต่สำหรับโลกภายนอกแล้ว มันยังคงดูกว้างสามร้อยสิบคืบและยาวห้าร้อยคืบดุจเดิม มันยังคงเป็นผังทำนายหลีอันประกอบกับโถงวังใหญ่ทั้งสอง
ในสายตาของนักบุญคนตัดไม้ ฟู่ยือลัว ผางอวี้ กับเทพและมารตนอื่นๆ ฉินมู่ตั้งอยู่บนโต๊ะจำลองศึกทรายเล็กๆ การเคลื่อนไหวทั้งหมดของเขาถูกเห็นได้อย่างชัดเจนราวกับเส้นบนฝ่ามือ
ฉินมู่หรี่ตา ตอนนี้เขามีทางเลือกสองทาง ทางหนึ่งคือการถอยกลับไปที่ข้างราชวังใหญ่แห่งหนึ่งและยังคงใช้ไฟหลีขัดเกลากระบี่ของเขาต่อ อีกทางหนึ่งคือมุ่งหน้าไปยังจุดศูนย์กลางของโลกจำลองศึกทราย
สถานที่นั้นเป็นจุดที่ขวานของนักบุญคนตัดไม้ และทวนของฟู่ยื่อลัวปักอยู่ แทนที่จะไปเสาะหารอบๆ ก็ไปยังจุดที่ทุกๆ คนรู้ว่าแต่ละฝ่ายก็จะไปที่นั่นเช่นกันจะดีกว่า
ตราบเท่าที่พวกเขามีหัวคิด พวกเขาก็จะรู้ทันทีว่าผู้ใดที่ไปถึงสถานที่อันขวานกับทวนไขว้กันเป็นคนแรก ก็จะเป็นฝ่ายได้เปรียบ นั่นเพราะว่าการล่วงหน้าไปถึงก่อนก้าวหนึ่ง ทำให้พวกเขาสามารถจัดตั้งกับดักและพยุหะค่ายกล พลางรอให้คนอื่นๆ มามอบชีวิตให้เอง!
ข้าขัดเกลากระบี่เสร็จไปสามร้อยสิบหกเล่ม นั่นเพียงพอแล้ว
ฉินมู่ขยับ เพิ่มพูนความเร็วของเขาอย่างรวดเร็วเพื่อพุ่งทะยานไปยังจุดศูนย์กลางของโลกจำลองศึกทราย ขาเทวะขโมยสวรรค์ของเฒ่าเป๋ถูกขับเคลื่อนจนถึงขีดสุด และเขาก็ว่องไวประดุจแสงอันพริบพราย!
ตูม!
ความเร็วของเขาเหนือเสียง และกำแพงอากาศตรงหน้าเขาก็ระเบิดประดุจเมฆขาว ไอน้ำซัดผ่านใบหน้าของเขาเมื่อเขาพุ่งผ่านมันไป
ในตอนนั้น ฉินมู่ได้ยินเสียงระเบิดดัง และมองไปยังทิศทางเสียง เงาร่างในที่ไกลๆ ก็ได้ทะลุความเร็วและทิ้งเมฆไอน้ำไว้ท่ามกลางภูเขา
เมฆไอน้ำวงกลมค่อยๆ แผ่กระจายออกไปอย่างสะดุดตา
มันมีเมฆวงกลมทั้งหมดสิบเก้าวง และพวกมันชี้ตำแหน่งของยอดฝีมือสิบเก้าคนที่มีกายเนื้ออันกล้าแข็งอย่างอัศจรรย์ จนสามารถทะลุความเร็วเสียงได้ในเวลาพร้อมๆ กัน!
เห็นได้ชัดว่า พวกเขาล้วนตระหนักว่า หากพวกเขาไปถึงก่อนคนอื่นสักหนึ่งก้าว ยังจุดที่ขวานไขว้กับทวนอยู่ พวกเขาก็จะได้เปรียบเป็นอย่างมาก และเหนือล้ำกว่าผู้อื่น!
เส้นเลือดปูดขึ้นมาบนหน้าผากฉินมู่ปุดๆ ถึงตอนนี้เขาเพิ่งตระหนักว่าตัวเขาคือผู้ที่เชื่องช้าที่สุดในบรรดายี่สิบคนในโลกจำลองศึกทราย!
แม้แต่ความเร็วของซังฮั่วก็ยังเร็วกว่าเขาอยู่นิดหน่อย!
ยอดฝีมือทั้งสิบเก้าล้วนแต่เป็นผู้คนที่เทียบเท่ากับเทพเที่ยงแท้เยาว์ วิชาฝึกปรือที่พวกเขาฝึกมาทำให้ร่างกายของพวกเขารุดหน้าจนเหนือล้ำกว่าฉินมู่!
แบบนี้ ความเร็วที่ฉินมู่ภูมิใจนักหนาก็พ่ายแพ้แก่ยอดฝีมือคนอื่นๆ ในขั้นวรยุทธเดียวกันในที่สุด!
ทันใดนั้น ฉินมู่ก็หยุด และหันกายกลับ ทุกคนมุ่งหน้าไปยังจุดที่ขวานกับหอกไขว้กัน ดังนั้นสถานที่ดังกล่าวจะต้องกลายเป็นสถานที่อันตรายที่สุดไปแทน ไม่มีใครสามารถทิ้งห่างใครได้ในแง่ความเร็ว ดังนั้นผลลัพธ์ของการมุ่งหน้าไปที่นั่นก็จะกลายเป็นการปะทะฆ่าฟันของผู้ฝึกวิชาเทวะยี่สิบคน ในท้ายที่สุด มันก็จะกลายเป็นการตะลุมบอนที่เละตุ้มเป๊ะ
ในสถานการณ์โกลาหลเช่นนั้น ง่ายที่จะเกิดอุบัติเหตุ ต่อให้เขามีกำลังฝีมือดีกว่า เขาก็อาจจะถูกกลุ้มรุมและสังหารเอาได้
ในเมื่อเป็นเช่นนั้น เขาไม่ไปที่นั่นจะดีกว่า
ในพริบตาถัดมา เงาร่างสิบเก้าเงาร่างที่กำลังพุ่งทะยานไปยังจุดที่ขวานกับทวนไขว้กันอยู่ก็พลันล่องหนและหายวับไป เขามองไม่เห็นว่าพวกเขาหายไปไหน
ฉินมู่ตะลึงไปเล็กน้อย และสีหน้าของเขากลายเป็นเครียดขรึม ผู้ที่รอดชีวิตมาเป็นเวลานานในสวรรค์ไท่หวงนับว่าไม่มีใครโง่เขลาเลยจริงๆ และล้วนแต่ฉุกคิดในสิ่งเดียวกันขึ้นมา น่าสนใจ ในที่สุดข้าก็ได้พบคู่ต่อสู้สมน้ำสมเนื้อ…ถ้าเช่นนั้น ข้าก็จะไม่ไปตามหาพวกเจ้า แต่รอให้พวกเจ้าเสาะหาข้า!
ร่างของเขาพลันพุ่งทะลวงอากาศและวิ่งตะบึงไปยังเขตขอบของโลกจำลองศึกทราย ตรงนั้นมีกำแพงไฟอันสูงยี่สิบลี้และโถงวังไหม้ไฟอันก่อขึ้นมาระหว่างไฟหลีและไฟมาร
ผ่านไปสักพัก เสียงของการตีเหล็กก็ดังมาจากโลกจำลองศึกทราย มันถึงกับดังไปไกลยี่สิบลี้
ไม่นานนัก ฉินมู่ก็เห็นบุคคลแรกเข้ามา มันเป็นเด็กสาวทรงเสน่ห์ที่มีท่วงท่าอันยั่วยวน
“สิบผู้ฝึกวิชาเทวะแห่งสวรรค์ไท่หวงล้วนแต่ทรงพลัง แต่เจ้านั้นอ่อนแอที่สุด” เด็กสาวยั่วยวนมองไปที่ฉินมู่และหัวเราะคิกคัก “ข้าไม่มีความมั่นใจที่จะจัดการกับคนอื่นๆ ดังนั้นข้าจึงได้แต่มารับความดีความชอบแรก”
“น้องสาว” ฉินมู่หันกลับไปยิ้มสดใสให้แก่นาง “ดูเหมือนเจ้าจะเตะโดนหินแข็งเข้าแล้วนะ”
………………..