ตอนที่ 73 ละครของหญิงสาว (2)

เจ้าสาวร้อยเล่ห์

“พี่สะใภ้และน้องสาวของตระกูลหวงฝู่มาไวนัก” คุณหนูรองจากตระกูลหวังที่ยิ้มพรายเอ่ยพูด คือหวังเหยียนซินอายุเพียงสิบหกปี นางเป็นสตรีที่มีเสน่ห์ล้นเหลือ สดใสและน่าเอ็นดูในแวบแรก เมื่อมองอีกครั้งก็สวยงามตายิ่งนัก และมักจะยิ้มก่อนเอื้อนเอ่ยวาจา ร่าเริง แต่ดูเหมือนนางจะไม่เย็นชากับคนในตระกูลหวงฝู่ คำพูดนี้ก็ไม่ถูกต้องสักเท่าใด

“ข้าอยากจะเยี่ยมพี่สะใภ้ รีบมาแต่เนิ่นๆ แสดงถึงความจริงใจไม่ใช่หรือ?” หวงฝู่อวี๋หลิงดูเงียบแต่ไม่ได้เรียบร้อยเหมือนผ้าพับไว้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งนางรู้ดีว่าหวังเหยียนซินพูดแบบนี้พุ่งเป้ามาที่ตนเอง ก็ไม่ได้หวาดกลัว

“นั่นสินะ!” หวังเหยียนซินยิ้มกริ่มแล้วพูดอย่างเห็นด้วยว่า “ตระกูลหวงฝู่กับตระกูลซั่งกวนถึงอย่างไรก็เป็นญาติพี่น้องเกี่ยวดองกันที่ใกล้ชิดที่สุด มาถึงเร็วหน่อยก็เป็นเรื่องสมควร พี่สะใภ้เจวี๋ย น้องสะใภ้เหยียนซินมาสาย โปรดยกโทษให้ข้าด้วย”

เยี่ยนมี่เอ๋อร์มองหญิงสองคนจากตระกูลชนชั้นสูงที่สีหน้าไม่ตรงกับใจ และพูดด้วยรอยยิ้มว่า “พวกเจ้ามาเยี่ยมถึงเรือนมีคู่ของข้าก็ดีอยู่แล้ว ช้าไปหน่อยก็ไม่ต่างกัน พวกผู้ชายอาจไม่เข้าใจ แต่เราเป็นหญิงกันทั้งหมด ข้าจะไม่เข้าใจได้อย่างไรเล่า?”

“พี่สะใภ้เข้าใจอะไรหรือ?” ทั่วป๋าฉินซินแทรกคำพูดนี้ออกมา เพราะเมื่อวานนี้เยี่ยนมี่เอ๋อร์จงใจแสร้งเข้าใจผิด ทำให้นางถูกมองว่า ‘เสเพล’ ในหมู่สตรีตระกูลผู้สูงศักดิ์จนเสื่อมเสียชื่อเสียงโดยทันที ยามนี้นางไม่เพียงมองเยี่ยนมี่เอ๋อร์เป็นคู่แข่งในความรักเท่านั้น แต่ยังคับข้องใจเป็นการส่วนตัวอีกด้วย

“ผู้หญิงต้องใช้ความระมัดระวังในการแต่งหน้าเมื่อต้องออกไปข้างนอก ทั้งการแต่งหน้า เสื้อผ้าอาภรณ์และเครื่อง ประดับจึงต้องเลือกทีละชิ้น เดิมทีก็เป็นเรื่องเสียเวลา น้องเหยียนซินต้องใช้ความพยายามอย่างมากและเสียเวลาไม่น้อยกว่าจะแต่งหน้าออกไปข้างนอกถูกต้องหรือไม่” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่ได้ตอบทั่วป๋าฉินซินโดยตรง แต่ดูเหมือนจะตอบเป็นการทั่วไป

“เหยียนซินผู้มีความงามอันน้อยนิด หากอยากจะออกไปข้างนอกให้เด่นสง่ามีราศีก็ต้องใช้เวลาแต่งหน้าให้มากขึ้นเท่านั้น มิฉะนั้นเมื่อมาอยู่กับหญิงที่สวยงามหยาดฟ้ามาดินอย่างพี่สะใภ้เจวี๋ย แล้วใครจะอยากมองเหยียนซินผู้หญิงธรรมดาเช่นนี้เล่า” หวังเหยียนซินเป็นคนปากหวาน แต่คำพูดของนางทำให้สีหน้าของหลายคนดำคล้ำไปบ้าง

“น้องเหยียนซินพูดอย่างนี้ข้าไม่รู้ว่าควรจะตอบเช่นไรดี” เยี่ยนมี่เอ๋อร์อายจนหน้าแดงก่ำพลางกล่าวว่า “ข้าอาจจะมีผิวพรรณดี แล้วอย่างไรกันเล่า? ผู้หญิงเมื่ออยู่เรือนนับถือบิดา ออกเรือนเคารพสามี ยามไม้ใกล้ฝั่งเชื่อฟังลูก พวกน้องหญิงพอลืมตาดูโลกก็ถูกลิขิตให้ร่ำรวยมั่งคั่งไปตลอดชีวิต ส่วนข้าเพียงแค่ได้บารมีของมารดาบังเกิดเกล้า จึงมีสัญญาหมั้นหมายแต่งงาน ถึงได้มีโอกาสรู้จักกับพี่สะใภ้และน้องสาวทุกคน รูปร่างหน้าตาสำหรับข้าแล้ว เป็นการเพิ่มดอกไม้บนผ้าดิ้นที่สวยงามเพื่อให้เข้าตระกูลซั่งกวนได้ แต่มิอาจแสร้งปลอมปนเข้ามาอยู่ในตระกูลซั่งกวนได้ อาจจะผิดที่ได้ครองหยก ผู้คนจึงย่อมอิจฉา!”

หวังเหยียนซินยิ้มเหยเกเล็กน้อย ละอายแก่ใจที่พูดความนัยถึงรูปลักษณ์ของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ เพียงเพราะนางริษยารูปโฉมโนมพรรณตามธรรมชาติของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ซึ่งเป็นลูกสาวบ้านๆ แต่ไม่มีเจตนาปองร้ายใดๆ เยี่ยนมี่เอ๋อร์พูดแบบนี้ หากนางยังพูดกวนใจถึงปัญหารูปลักษณ์อีกครั้ง นั่นจะสื่อถึงจิตใจคับแคบ

“น้องสะใภ้เจวี๋ยพูดมีเหตุผลมาก” หวังเหยียนหย่ายิ้มพลางกล่าวว่า “รูปโฉมโนมพรรณของลูกสาวบ้านๆ ไม่มีอะไรมากไปกว่าการเพิ่มดอกไม้บนผ้าดิ้นที่สวยงามหรือผิดที่ได้ครองหยกเท่านั้น หากแต่ชาติกำเนิดถึงจะเป็นสิ่งสำคัญที่สุด กระนั้นน้องสะใภ้อย่ารู้สึกเศร้าเสียใจไป เกิดเป็นลูกสาวบ้านๆ ก็ไม่ดีเท่ากับได้คู่ครองที่ดี การมีพ่อที่ดีย่อมถือว่ามีบุญ แต่การได้แต่งกับสามีที่ปรารถนาถือเป็นโชควาสนาไปตลอดชีวิต ลูกผู้น้องเจวี๋ยเป็นคนมีความสามารถ และเป็นลูกชายคนโตของภรรยาเอกตระกูลซั่งกวน ขอให้น้องสะใภ้เจวี๋ยรักษาความโชคดีนี้ไว้นะ”

“ข้าได้แต่งกับสามีถือเป็นพรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตนี้แล้ว ข้าจะทะนุถนอมพรที่หามาได้ยากนี้โดยสะใภ้มิต้องเอ่ยเตือน” เยี่ยนมี่เอ๋อร์พูดเบาๆ น้ำเสียงของนางอ่อนโยนมาก ดวงตาก็เปล่งประกายหวานซึ้ง แม้ทุกคนในที่นี้จะเป็นผู้หญิงกันทั้งนั้น แต่ฟังแล้วจิตใจก็อ่อนระทวย…ผู้หญิงที่นุ่มนวลเช่นนี้ค่อนข้างหายากในหมู่สตรีสูงศักดิ์และสะใภ้ใหญ่ตามธรรมเนียม (ภรรยาห้องหลักของนายน้อยที่เกิดจากภรรยาเอกจึงจะถือว่าเป็นสะใภ้ใหญ่ตามธรรมเนียม ภรรยารองหรืออนุภรรยาถือว่าไม่ได้ ภรรยาห้องหลักของนายน้อยที่เกิดจากเมียบ่าวก็ไม่นับ) คุณหนูที่เกิดจากภรรยาเอกของตระกูลสูงส่งได้รับการศึกษาทำให้พวกนางสุภาพเรียบร้อยและเข้ากับผู้คนได้ล้วนเป็นเพียงเปลือกนอก เพราะภูมิหลังอันสูงส่งของพวกนาง ทำให้พวกนางเพลิดเพลินไปกับอาภรณ์สวยงามและอาหารเลิศรสซึ่งคนธรรมดาไม่มีทางได้ลิ้มลอง ตราบเท่าที่พวกนางต้องการ พวกนางจะเรียนรู้ทักษะทั้งหมดได้โดยไม่สูญเสียสถานะ และไม่ถูกจำกัดเพียงพิณ หมากล้อม การเขียนพู่กัน การวาดภาพและบทกวี แต่พวกนางยังมีความรับผิดชอบที่ต้องแบกรับ ดังนั้นพวกนางจึงไม่มีสิทธิ์อ่อนแอ และไม่สามารถเรียนรู้ความอ่อนโยนที่มาจากข้างในหัวใจได้

“แค่มองแวบแรกก็รู้ว่าน้องสะใภ้เจวี๋ยมีความรู้ สิ่งที่ต้องการในฐานะภรรยาก็คือความเอื้ออาทรนี้!” หวังเหยียนหย่าค่อนข้างพอใจกับคำตอบของเยี่ยนมี่เอ๋อร์แล้วกล่าวว่า “แต่จะว่าไป นอกเหนือจากความรู้แล้ว ยังต้องคิดเผื่อทุกอย่างเพื่อสามีด้วย ถือว่าทุกอย่างสำคัญสำหรับสามี!”

รวมถึงการแต่งภรรยารองที่มีเกียรติให้สามี รับอนุภรรยาที่มีเสน่ห์เพียงไม่กี่คน? เยี่ยนมี่เอ๋อร์ใช้นิ้วหัวแม่เท้าคิดก็รู้ว่านางจะพูดอะไรต่อไป แต่ยังพยักหน้าอย่างอารีอารอบแล้วพูดว่า “พี่สะใภ้พูดถูกที่สุด”

“โอ้โห พี่สาวพูดอย่างนี้…” หวังเหยียนซินยิ้มแล้วมองพี่สาว พลางกล่าวอย่างไม่เห็นด้วยว่า “พี่สาวมีชาติตระกูลสูงส่ง แต่งงานสมฐานะ และไม่ต้องกังวลถึงครอบครัว แน่นอนว่าตราบใดที่ครอบครัวของสามีดี ทุกอย่างก็จะดี พี่สะใภ้เจวี๋ย เจ้าอาจไม่รู้ว่า พี่สาวคนโตของข้าคนนี้เป็นสะใภ้ใหญ่ที่มีคุณธรรมและมีน้ำใจที่สุดของครอบครัวผู้หนึ่ง ทำทุกอย่างที่สำคัญให้พี่เขยผู้โชคดีของข้า เพื่อเห็นแก่พี่เขย แม้แต่หักหน้าท่านพ่อได้โดยตรง ทั้งยังใจกว้างจัดหาอนุภรรยาหลายห้องให้พี่เขยของข้า อนุภรรยาเหล่านั้นล้วนสวยมีเสน่ห์ไม่ว่า กระนั้นแต่ละคนยังมีรูปแบบของตัวเองด้วย ทำให้พวกพี่น้องในครอบครัวอิจฉา…จุ๊ๆ โดยเฉพาะคนที่มีภรรยาห้องหลักแล้ว อยากจะพาพี่สะใภ้ทั้งหมดไปฟังคำสอนของพี่สาวของข้า เพื่อเรียนรู้ต้นแบบที่แท้จริงของการเป็นสะใภ้ใหญ่ของตระกูล!”

ขณะนี้มีคนแอบหัวเราะอย่างไม่ไว้หน้า ใครจะไม่รู้ว่าหวังเหยียนหย่าผิดใจกับแม่เลี้ยง และพ่อก็ไม่พอใจ ยิ่งกับน้องสาวทั้งสองที่เกิดจากภรรยาเอกก็เหมือนน้ำกับไฟเข้ากันไม่ได้เลย นางจะทำทุกอย่างเพื่อครอบครัวได้อย่างไร? ส่วนอนุภรรยาหลายห้องนั้นของทั่วป๋าฉินหลิ่งก็ยอดเยี่ยมยิ่งกว่า สองคนในนั้นถึงขั้นได้รับการปลูกฝังมาเป็นพิเศษจากแม่เลี้ยง ในคืนก่อนแต่งงานของนาง แม่เลี้ยงยัดเยียดให้นาง เตรียมสาวใช้เมียบ่าวให้ทั่วป๋าฉินหลิ่ง สาวใช้สองคนนั้นไม่เพียงมีเสน่ห์ชดช้อยและจงรักภักดีต่อตระกูลหวังเท่านั้น ทั้งไม่เห็นนางที่เป็นคุณหนูใหญ่ของตระกูลหวังอยู่ในสายตา แล้วยังชำนาญในงานศิลปะอีกด้วย ทำให้ทั่วป๋าฉินหลิ่งเพิกเฉยต่อนาง หลังแต่งงานไม่ถึงครึ่งปีก็เลื่อนขั้นเป็นอนุภรรยา เหตุการณ์นี้ถือได้ว่าเป็นความลับที่โจษจันไปทั่วในตระกูลชนชั้นสูง หวังเหยียนซินกล่าวเช่นนี้ ก็ไม่ต่างจากการตบหน้าหวังเหยียนหย่าดังฉาดใหญ่ ทำให้หวังเหยียนหย่าที่ยิ้มแย้มมาตลอดเกิดเกร็งตัวขึ้นมาอย่างเหลือทน

“พี่เหยียนซินฉลาด รู้จักพี่สาวของตัวเองดีขนาดนั้นต้องห่วงใยมากเป็นพิเศษแน่นอน” หวงฝู่อวี๋หลิงมองหวังเหยียนซิน ด้วยรอยยิ้มสวยงามแล้วพูดว่า “เพียงแต่ไม่ทราบว่ามีเจตนาอย่างที่พูดหรือไม่?”

              “น้องอวี๋หลิงหมายความว่าอะไร?” หวังเหยียนซินยิ้มหวาน แต่มองอย่างไรก็เหมือนกัดฟันกรอดเล็กน้อย เยี่ยนมี่เอ๋อร์จิบชาเถี่ยกวนอินที่เพิ่งชงเสร็จไปคำหนึ่ง เพื่อจะได้ดูละครสนุกต่อไป

“ได้ยินมาว่าคุณชายฉินเฟิงตระกูลทั่วป๋าตกหลุมรักพี่เหยียนซินตั้งแต่แรกพบ แม้เขาจะเป็นลูกชายนอกสมรส แต่เฉลียวฉลาดมากฝีมือ จึงเป็นที่รักของบรรดาพี่ๆ ในตระกูลทั่วป๋ามาก ทั้งมีอนาคตที่สดใส ถ้าตระกูลทั่วป๋าและตระกูลหวังดองเป็นทองแผ่นเดียวกันได้ แต่งงานกันอีกสักครั้ง จะเป็นสิ่งสวยงามมิใช่หรือ?” หวงฝู่อวี๋หลิงยิ้มอย่างอ่อนหวาน แต่ใครๆ ต่างก็รู้ว่าทั่วป๋าฉินเฟิงชอบหวังเหยียนซินจริงๆ แต่หวังเหยียนซินกลับไปชอบพอกับลูกชายคนโตจากภรรยาเอกของตระกูลอิ๋ง อิ๋งอี้หังซึ่งมีสัญญาแต่งงานกับหวงฝู่อวี๋หลิง และงานวิวาห์ระหว่างตระกูลอิ๋งและตระกูลหวงฝู่จะไม่มีอะไรแปลกใจหากไม่มีการเปลี่ยน แปลง แต่หวังเหยียนซินก็เต็มใจจะแต่งเข้าเป็นภรรยารองด้วย ทั้งนี้ต้องขึ้นอยู่กับท่าทีของอิ๋งอี้หังและตระกูลหวัง ตระกูลหวงฝู่ไม่มีที่ว่างจะเข้าไปแทรกแซง

“ทั่วป๋าฉินเฟิง?” หวังเหยียนจือคุณหนูสามของตระกูลหวังเค้นเสียงหึอย่างไม่เกรงใจแล้วพูดว่า “คนคนนั้นเป็นแค่คางคกที่อยากกินเนื้อหงส์ หลงใหลเพ้อเจ้อไปเอง! เขาไม่คิดเจียมเนื้อเจียมตัว ความสามารถก็ไม่เห็นจะวิเศษวิโสอะไร บังอาจกล้าจะเอื้อมเด็ดดอกฟ้าลูกสาวตระกูลขุนนางจริงๆ ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงเสียจริง! ถ้าไม่เห็นแก่หน้าของพี่สาวพี่เขย เขาจะไม่มีสิทธิ์แม้กระทั่งเข้าประตูใหญ่ตระกูลหวังด้วยซ้ำ ไฉนพี่อวี๋หลิงถึงพูดทำนองให้เกียรติ ‘คุณชายฉินเฟิง’ มากเกินไปเช่นนี้?”

หวังเหยียนจืออายุเพียงสิบสองปี และเป็นเพราะนางยังเด็กจึงพูดสิ่งเหล่านี้ได้ แต่ก็ยังทำให้สีหน้าของหวงฝู่อวี๋หลิงแข็งกระด้าง จึงเค้นเสียงหึอย่างเย็นชาโดยไม่พูดอะไรสักคำ

“เอาล่ะ วันนี้ตั้งใจมาทำความรู้จักกับน้องสะใภ้เจวี๋ย จะมาเล่นใช้อารมณ์เป็นเด็กๆ ได้อย่างไรกันเล่า?” หวังเหมยเสียนสะใภ้ใหญ่ตระกูลชุยเข้ามาห้ามทัพ นางเป็นหลานสาวแท้ๆ ของอำมาตย์หวังซินเหวินในราชวงศ์ปัจจุบัน และอาวุโสสูงสุดในหมู่สะใภ้ใหญ่ตระกูลชนชั้นสูง มีชื่อเสียงโด่งดังในหมู่สตรีผู้สูงศักดิ์ นางออกหน้าจึงค่อนข้างเหมาะสมกว่า

“พี่สะใภ้เจวี๋ย ขอโทษด้วยเจ้าค่ะ” หวังเหยียนซินหยัดกายขึ้นคำนับขอโทษแล้วพูดว่า “เหยียนซิน เหยียนจือไม่ควรทะเลาะกับน้องอวี๋หลิงในวันมงคลของเจ้า”

เยี่ยนมี่เอ๋อร์ลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว คารวะกลับคืนแล้วเอ่ยว่า “น้องหญิงอย่าพูดอย่างนี้ พวกเจ้าเติบโตมาด้วยกัน ย่อมแตกต่างจากสหายสนิททั่วไป บางครั้งเสียงดังเอะอะไปบ้างกลับจะดูสนิทสนมกันมิใช่หรือ? หลิงหลงและจิงอิ๋งก็เหมือนกัน เจอกันก็ทะเลาะกัน ไม่ได้พบกันก็คิดถึง ข้าชินแล้ว”

เมื่อหวังเหยียนซินฟังแล้วก็ได้แต่ยิ้มเท่านั้น นางนึกไม่ถึงว่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์จะพูดถึงเหตุการณ์นี้ว่าเป็นเรื่องทะเลาะวิวาทระหว่างพี่น้องได้อย่างง่ายดาย จึงยอมรับเยี่ยนมี่เอ๋อร์ว่ามีตบะแก่กล้าอยู่ในใจ และทำให้สะใภ้ใหญ่หลายๆ คนประหลาดใจอยู่เล็กน้อย พวกนางก็รับมือกับสิ่งต่างๆ อย่างเยี่ยนมี่เอ๋อร์ในวัยเท่านี้ และแก้ปัญหาประเภทนี้ได้อย่างง่ายดาย แต่ไม่ได้ผ่อนคลายเท่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์ ดูท่าใบหน้าที่อ่อนโยนไร้พิษภัยของเยี่ยนมี่เอ๋อร์จะไม่ได้มีไว้รับมือกับผู้คน ในหมู่พวกนางหวังเหยียนหย่าและหวังเหมยเสียนเป็นคนน่าลำบากใจที่สุด ทั้งคู่มีหน้าที่ชักชวนเยี่ยนมี่เอ๋อร์ ให้น้องสาวของสามีตนเองแต่งเข้ามาเป็นภรรยารองของซั่งกวนเจวี๋ย!

“หลิงหลงกับจิงอิ๋งก็ทะเลาะได้เหมือนกัน!” หวังเหมยเสียนพูดกลั้วหัวเราะ “ข้ายังคิดว่าหลิงหลงจะทะเลาะกับฮ่าว

หรันเท่านั้น!” หลิงหลงเป็นคู่หมั้นของชุยฮ่าวหรัน หากไม่มีอะไรเกิดขึ้น ช่วงปลายปีหรือต้นปีที่จะถึงนี้ หลิงหลงจะแต่งงานกับชุยฮ่าวหรัน จากนั้นทั้งสองจะเป็นครอบครัวเดียวกัน จะพูดคุยสนิทสนมกันมากขึ้น

“จริงด้วย!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ยิ้มและพูดติดตลกกับหลิงหลงว่า “พี่สะใภ้ตระกูลชุยอย่ามองหลิงหลงว่ายามปกติไม่ชอบพูดคุย หากคุยเป็นการส่วนตัวไม่รู้ว่าจะมีชีวิตชีวาแค่ไหน”

“พี่สะใภ้…” หลิงหลงบ่นด้วยความไม่พอใจแล้วเขย่ามือของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ส่ายไปมาพูดว่า “พี่สะใภ้ทุกคนล้วนปกป้องน้องสามี เกรงว่าน้องสามีจะถูกรังแก แต่เจ้าเป็นแบบนี้ได้อย่างไร เล่นงานข้าก็ไม่ว่า!”

เยี่ยนมี่เอ๋อร์อดตบหน้าหลิงหลงเบาๆ ด้วยความเอ็นดูไม่ได้ ทำให้หลิงหลงหน้ามุ่ย

“ดูท่าหลิงหลงกับน้องสะใภ้เจวี๋ยจะสนิทกันมาก!” ไม่ว่าจะมองอย่างไรหวังเหมยเสียนก็รู้สึกขัดลูกหูลูกตา หลิงหลงจะเป็นว่าที่สะใภ้คนที่สามของตระกูลชุย ถ้านางออกหน้าพูดเรื่องของชุยอวี่เฟยจะจัดการได้ง่ายกว่า แต่ฮูหยินชุยกับชุยอวี่เฟยเสียตรงที่จะยัดเยียดเรื่องนี้มาไว้ที่ตัวนาง หากไม่เจ็บแค้นก็เป็นไปไม่ได้ นางจึงพูดบางอย่างออกมาว่า “หลิงหลงนี่นะ อีกไม่นานเราก็จะเป็นพี่สะใภ้น้องสะใภ้กันแล้ว อวี่เฟยก็จะเป็นน้องสามีของเจ้า ไม่รู้ว่าเจ้ากับอวี่เฟยจะสนิทกันเช่นนี้หรือไม่!”

ชุยอวี่เฟยยิ้มแล้วรับลูกพูดต่อจากหวังเหมยเสียนว่า “พี่สะใภ้ใหญ่ พี่หลิงหลงตอนนี้ยังเป็นพี่สาวอยู่ ไม่ใช่พี่สะใภ้สาม ย่อมจะสนิทชิดเชื้อกับพี่สะใภ้เจวี๋ยมากกว่า เจ้าลองคิดดู ก่อนหน้าที่พี่สาวคนรองจะออกเรือนก็ไม่ใช่ว่าสนิทชิดชอบกับพี่สะใภ้ใหญ่หรอกหรือ เมื่ออยู่ต่อหน้าพี่สะใภ้ใหญ่ก็เหมือนกับข้าในตอนนี้ แต่ยามนี้เล่า ไม่ใช่น้องสามีที่ห่วงใยนางที่สุดหรือ แม้แต่น้องสาวอย่างข้าก็ยังอิจฉาเล็กน้อย! ถ้าพี่หลิงหลงกลายเป็นพี่สะใภ้สาม จะเป็นอย่างนั้นแน่นอน เจ้าว่าไหมพี่หลิงหลง?”

ถ้าที่หวังเหมยเสียนพูดเป็นเพียงคำเตือนว่าไม่ช้าก็เร็วหลิงหลงจะเป็นสมาชิกของตระกูลชุย ต้องดูแลผลประโยชน์ของตระกูลชุยและชุยอวี่เฟย หากชุยอวี่เฟยเข้าหาหลิงหลงโดยตรง สะใภ้ใหญ่และคุณหนูแต่ละตระกูลจะมองหลิงหลงอย่างรู้ใจ อยากรู้ว่านางจะตอบโต้อย่างไร โดยเฉพาะคนที่มาจากตระกูลทั่วป๋า

———————————-