ครั้งนี้ เมื่อตะโกนบอกให้หยุด ทุกคนก็ไม่ได้รู้สึกสบายใจขึ้นมา ในที่สุดซ่งฝูเซิงก็บอกให้ทุกคนหยุดพัก พวกเขาสามารถพักผ่อนได้ แต่ว่าแต่ละคนก็ยังรู้สึกกังวลใจไม่น้อย 

 

 

แท้จริงแล้วพวกเขาไม่อยากหยุดพักผ่อน 

 

 

ไม่มีน้ำแล้ว ควรมุ่งหน้าเดินต่อไป เดินต่อไปข้างหน้าเรื่อยๆ รีบออกไปจากพื้นที่แห้งแล้งแห่งนี้ ถึงจะมีความหวังไม่ใช่หรือ? 

 

 

แต่พวกเขาก็เดินกันไม่ไหวแล้ว 

 

 

แต่ละคนมีสีหน้าเคร่งเครียด หลังจากที่พวกเขานำรถเข็นจอดเสร็จแล้วก็นั่งหมดเรี่ยวแรงลงกับพื้น โดยที่ไม่ได้ปลดเอาสัมภาระกับอุปกรณ์ทำอาหารออกมา 

 

 

มีชายหลายคนเอาที่คลุมหัวออก ถึงแม้มันจะช่วยคลุมป้องกันยุงกัดไม่ให้ป่วย แต่ก็ทำให้รู้สึกหิวกระหายเกือบตายได้เช่นกัน 

 

 

ทุกคนต่างหมดอาลัยตายอยากในชีวิต 

 

 

ในเวลานี้เองที่มีคนแสดงบทบาทของผู้นำออกมา จึงไม่น่าแปลกใจที่เขาสามารถเป็นผู้นำได้ เมื่อประสบปัญหาก็ไม่บ่น ไม่ยอมแพ้ คอยคิดหาวิธีเพื่อที่จะแก้ไขปัญหา 

 

 

ซ่งหลี่เจิ้งไม่รู้ไปเอาผ้าสีแดงทั้งหมดมาจากไหน เขาให้เกาถูฮู่หาเนื้อวัวชิ้นที่ดีที่สุดมา 

 

 

เขาวางเนื้อวัวลงบนผ้าสีแดงที่ปูบนพื้น 

 

 

แล้วให้ลูกชายสองคนพยุงเขา เขากัดฟันทนความเจ็บปวดตรงกระดูกก้นกบและคุกเข่ายืดตัวตรงลงถัดจากผ้าสีแดง 

 

 

หลังจากที่เขาคุกเข่าเสร็จ เขาก็จ้องมองมือของตนเอง เขาเอามือเช็ดตามร่างกายจนคิดว่าสะอาดแล้ว เขาพนมมือขึ้นพร้อมกับกล่าวเสียงดัง 

 

 

“ฮ่องเต้ห้าพระองค์และมังกรทั้งห้า สอดแสงส่องลงมาพร้อมสายลมพัดผ่าน… 

 

 

…กระจายความชุ่มชื้นรอบทิศทาง คอยช่วยเหลือเทพแห่งสายฟ้า… 

 

 

…สายน้ำจงไหลมารวมตัวกันทั่วทุกทิศ… 

 

 

สายน้ำรวมตัวมากสุด มากสุด…อันนั้น?” 

 

 

ช่วงจังหวะพอดีกับที่ซ่งฝูเซิงกำลังควานหาถังเปล่าทั้งหมดที่อยู่บนรถเข็นบ้านตนเอง รวมทั้งถังน้ำมันถั่วเหลืองที่ถูกใช้หมดไปนานแล้ว เขาวางมันลงบนรถเข็นเพื่อเตรียมความพร้อม 

 

 

ซ่งฝูเซิงคาดไม่ถึง เพียงแค่เขาละสายตาไปพักเดียว ทุกคนที่ไร้เรี่ยวแรงก็เริ่มวิงวอนร้องขอฝนจากสวรรค์กัน 

 

 

ซ่งฝูเซิงสบตากับซ่งหลี่เจิ้งที่นั่งคุกเข่ากับพื้นเพื่อขอฝน “…” 

 

 

ซ่งหลี่เจิ้งพูดออกมา “ฝูเซิง ทำอย่างไรดี ข้าลืมหลายท่อนประโยคสุดท้ายของการขอฝน ท่านผู้เฒ่าที่เคยทำพิธีขอฝนให้กับหมู่บ้านของพวกเราก็ไม่ได้ตามมาด้วย จะขออย่างนี้ ปลายบทท้ายก็ไม่มีไม่ได้ สวรรค์คงไม่สามารถช่วยเหลือได้ เจ้าเป็นบัณฑิต ช่วยเติมสักสองประโยคให้หน่อยสิ อย่างน้อยก็ให้มีบทกล่าวตอนท้าย” 

 

 

ซ่งฝูเซิง “มีกฎบัญชามา จงรีบทำตามคำบัญชาในทันที” 

 

 

ซ่งหลี่เจิ้งแววตาเป็นประกายขึ้นทันที เขาเอ่ยด้วยความตื่นเต้น “มีประโยคนี้ มีประโยคนี้!” 

 

 

ซ่งฝูเซิงที่แต่งประโยคมั่วๆ ขึ้นมาเองถึงกับอึ้งอยู่กับที่ “…” เขาแค่พูดเรื่อยเปื่อย มันมีจริงหรือนี่ 

 

 

หลังจากนั้นซ่งหลี่เจิ้งก็ไม่สนใจซ่งฝูเซิงอีกแล้ว เขาคุกเข่าบนพื้นและกางมือทั้งสองออกพร้อมกับเอ่ยหลายรอบ ฮ่องเต้ห้าพระองค์และมังกรทั้งห้า ท้ายสุดก็ตามด้วย มีกฎบัญชามา จงรีบทำตามคำบัญชาในทันที 

 

 

พวกหญิงชรารู้สึกว่าการพูดอ้อนวอนที่ออกมาจากปากของซ่งหลี่เจิ้ง ดูเป็นพิธีการขอฝนอย่างเป็นทางการ แต่คำพูดเกือบครึ่งที่พึมพำออกมากลับไม่ชัดเจน ไม่ได้สวดออกมาทั้งหมด 

 

 

ดังนั้นหญิงชราทั้งหลาย โดยมีท่านย่าหม่าเป็นคนนำจึงพากันพนมมือคุกเข่าลงกับพื้นพร้อมเอ่ยขึ้น “เด็กน้อยร้องไห้คร่ำครวญ หว่านเมล็ดพันธุ์ต้นกล้า ไม่ปลูกไม่ได้ หวังว่าสวรรค์จะประทานฝนตกหนักลงมา พร้อมกับลมพายุที่มารวมตัวกัน” 

 

 

เพียงชั่วพริบตาเดียว พวกผู้หญิง คนเฒ่าคนแก่ เด็ก ก็ไม่ทำอะไรกันแล้ว พวกเขาต่างคุกเข่ากราบไหว้วิงวอนขอฝนกัน 

 

 

ซ่งฝูเซิงอาศัยจังหวะช่วงชุลมุนหาเถียนสี่ฟาจนพบ เขาบอกให้พี่เขยกับซื่อจ้วงคอยเฝ้าดูแลอยู่ที่นี่ อย่าให้ผู้ลี้ภัยที่ตามมาทีหลังเข้ามาแย่งชิงสิ่งของของพวกเรา ส่วนเขาจะพาคนแบ่งเป็นกลุ่มเดินออกไปหาแหล่งน้ำที่ไกลออกไปหน่อย 

 

 

หากมีก็ดีน่ะสิ ใต้ดินจะมีน้ำหรือไม่ เป็นเรื่องที่พูดยาก 

 

 

เถียนสี่ฟารับปากแล้ว หลังจากที่รับปากเขาก็รู้สึกผิดเล็กน้อย 

 

 

เพราะเขาพบว่าน้องสามพาผู้ช่วยออกไปหาน้ำนั้น คนทั้งหมดดูเหมือนเป็นแบบเดียวกับท่านลุงใหญ่ 

 

 

เช่น แข้งขาไม่ดี ร่างกายไม่ค่อยจะแข็งแรง เดินไปไกลหน่อยก็หายใจเหนื่อยหอบ สรุปคือ อายุมาก อ่อนแอ ร่างกายไม่แข็งแรง 

 

 

ส่วนเขา ซื่อจ้วง พี่ใหญ่ พี่รอง พี่น้องตระกูลเกา หวังจงอวี้ กัวคนโต เป็นต้น ชายฉกรรจ์เช่นนี้กลับไม่ถูกเรียกตัวไปช่วยด้วยแม้เพียงแค่คนเดียว 

 

 

เถียนสี่ฟากังวลใจมาก เขาพาคนเหล่านี้ออกไปหาน้ำได้อย่างไร? 

 

 

ซ่งฝูเซิงคิดในใจ พาคนพวกนี้ออกไปด้วยเขาถึงจะสะดวกในการหาน้ำ ต้องทิ้งพวกคนสมองดีไว้ที่นี่ มิเช่นนั้นเขาจะหาคำพูดโกหกได้ยากนัก 

 

 

เฉียนหมี่โซ่วจับชายเสื้อของซ่งฝูหลิงไว้แน่น “ไม่เอา พี่สาว ให้ท่านลุงไปเอง มิเช่นนั้นข้าก็จะไปพร้อมกับพวกท่านด้วย” 

 

 

ซ่งฝูหลิงปลอบใจเฉียนหมี่โซ่ว “เจ้ามีหน้าที่ที่ต้องอยู่ที่นี่ หมี่โซ่ว เจ้ารู้ไหม? ต้องเป็นเด็กที่โตขนาดเจ้าถึงจะขอน้ำได้ผล ดังนั้นเจ้าจงคุกเข่ากับพื้นวิงวอนต่อสวรรค์ช่วยให้พี่สาวหาน้ำเจอ เชื่อข้าเถอะ พวกเราจะหาน้ำเจอหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับเจ้าแล้ว” 

 

 

เฉียนหมี่โซ่วคุกเข่าลงกับพื้นด้วยน้ำตาคลอเบ้า “ตกลง แต่จะวิงวอนอย่างไร? พวกเขาพูดตั้งหลายประโยค ข้าจำไม่ได้” 

 

 

ซ่งฝูหลิงเอ่ย “เจ้าก็พูด เซียวจิ้งเถิง[1]รีบมา เซียวจิ้งเถิงรีบมา” 

 

 

…… 

 

 

ซ่งฝูเซิงพาภรรยาพร้อมลูกตามด้วยผู้สูงวัย คนอ่อนแอ คนร่างกายไม่แข็งแรงทั้งหมดอีกสิบสองคนเดินออกไป ท่ามกลางคำกล่าววิงวอนตะโกนขอฝนของทุกคน 

 

 

สิ่งที่ทุกคนไม่รู้ก็คือ ที่บ้านเกิดของพวกเขา เริ่มจากสถานที่ที่พวกเขาลงจากเขามา เริ่มมีฝนตกกระหน่ำหนักตามทิศใต้เรื่อยมา 

 

 

ตอนที่พวกเขาคุกเข่าขอฝนอยู่ในตอนนี้ ทางตอนใต้ก็มีฝนตกหนักสลับกับเสียงฟ้าร้องคำราม ในตัวเมืองน้ำแทบจะท่วม แต่พื้นที่แห่งนี้กลับแห้งแล้งกันดารมาก ขาดแคลนน้ำอย่างหนัก 

 

 

เหมือนคำพูดที่มักกล่าวกันว่า ‘อดอยากตายเพราะภัยแล้ง จมน้ำตายเพราะน้ำท่วม’ 

 

 

ซ่งฝูเซิงยื่นจอบให้กับลุงใหญ่ “ลุงใหญ่ ท่านกับลุงสองขุดอยู่บริเวณนี้ ถ้ามีน้ำ จะสังเกตเห็นว่าดินโคลนเปียกชื้นก็ให้รีบกลับไปเรียกพวกเขา อย่าเรียกหาข้า เรียกไปก็ไม่มีประโยชน์ ข้ายังต้องถือถังเปล่าพวกนี้ ท่านดูสิ หนทางไกลหน่อยยังต้องเดินต่อไปข้างหน้าอีก” 

 

 

“ได้สิ อาเซิง ลุงใหญ่จะขุดหลุมให้ลึกลงไป เจ้าวางใจได้” 

 

 

ซ่งฝูเซิงก็เดินไปพร้อมกับครอบครัวของเขา ตลอดการเดินทางก็ทิ้งกลุ่มคนทั้งสิบสองคนนั้นตามจุดตลอดระยะทางที่เดินไป 

 

 

บอกให้พวกเขาสองสามคนจับกลุ่มกันขุดหาน้ำ 

 

 

หลังจากนั้นพวกเขาทั้งสามคนก็เดินไกลออกไปอีก ตอนนี้เป็นช่วงเวลาหัวค่ำสองทุ่มกว่าใกล้จะสามทุ่มแล้ว ท้องฟ้าก็เริ่มมืดครึ้ม 

 

 

ซ่งฝูเซิงพูดขึ้น “ตรงนี้ก็แล้วกัน เจ้าสองแม่ลูกทาน้ำมันเย็นรอข้าอยู่บริเวณนี้ อย่ายืนนิ่งจ้องมองข้าอยู่อย่างนั้น ขยับตัวบ้างอย่าให้ยุงกัดและก็คอยพัดให้ข้าด้วย อย่าให้ร่างกายของข้าโดนยุงกัดได้” 

 

 

เขาพูดจบ ซ่งฝูเซิงก็ทำตาขาวเข้าไปในพื้นที่พิเศษ 

 

 

พื้นที่พิเศษนี้ ถังน้ำที่อยู่ข้างนอกไม่สามารถถือเข้ามาได้ ถังน้ำข้างในเอาออกมาก็ส่งกลับคืนเข้าไปไม่ได้ 

 

 

ดังนั้นเขาจึงต้องหาของที่ทิ้งแล้วไม่รู้สึกเสียดาย เช่นถังและขวดที่แตกไม่สามารถใช้ได้ในภายหลัง แต่พูดกันตามความจริง การใช้ชีวิตในสังคมยุคใหม่ บ้านใครกันจะเก็บของที่พังๆ พวกนี้ไว้ แต่บ้านของเขามีสิ่งของหลายอย่างมาก อาจจะกล่าวได้ว่าเขาเสียดายที่จะทิ้งสิ่งของพวกนี้ไว้ในยุคโบราณ 

 

 

ซ่งฝูเซิงหาชามขนาดใหญ่มาได้สองใบ เขาเข้าไปในห้องน้ำเพื่อหาอ่างแช่เท้าพลาสติกของเขา และอ่างพลาสติกขนาดใหญ่หนึ่งใบที่เขาก็ไม่รู้ว่าเอาไว้ใช้ล้างอะไร เขาเปิดเกลียววาล์วที่ควบคุมความร้อนในห้องนั่งเล่น 

 

 

เขาใช้ชามใหญ่สองใบรองน้ำที่ไหลออกจากวาล์ว ตอนแรกน้ำไหลเป็นสนิมสีเหลือง เขาเติมน้ำให้เต็มทั้งสองชามแล้วก็รีบวางไว้ด้านข้าง ก่อนจะรีบนำอ่างพลาสติกขนาดใหญ่มารองน้ำต่อ 

 

 

หลังจากรองน้ำจนเต็มทั้งสองอ่างใหญ่ ซ่งฝูเซิงก็ครุ่นคิดสักพัก เขาวางแผนไว้ พรุ่งนี้ยังต้องรีบออกเดินทาง ทางที่ดีควรเสี่ยงอีกสักครั้ง หลังจากนั้นก็อดทนจนกว่าจะพบแหล่งน้ำ 

 

 

เขาเข้าไปในห้องน้ำอีกครั้งเพื่อเอาอ่างแช่เท้าของเฉียนเพ่ยอิงออกมา ตอนใช้ชีวิตอยู่ในยุคปัจจุบัน เขากับภรรยาต่างก็ชอบแช่เท้า อ่างน้ำจึงค่อนข้างใหญ่ เมื่อเติมน้ำในอ่างใหญ่จนเต็ม เขาเปิดน้ำในห้องนั่งเล่นให้ไหลออกมาไม่น้อย แล้วเขาจึงปิดวาล์วน้ำ 

 

 

เคลื่อนย้ายก่อนสักรอบหนึ่งแล้วกัน 

 

 

เฉียนเพ่ยอิงชี้ไปที่ชามสองใบ “นี่มันน้ำอะไร?” 

 

 

“น้ำของเครื่องทำความร้อน สักพักข้าทำเสร็จก็จะขุดหลุมลึก แล้วเทน้ำสองอ่างนี้ที่ไม่สามารถดื่มได้ลงไปในหลุม… 

 

 

…และก่อนที่พวกเราจะมา ในห้องน้ำยังมีน้ำที่เจ้าซักผ้าอยู่ในอ่าง ในนั้นเจ้าใส่ผงซักฟอกแล้วหรือยัง? มิเช่นนั้นมันไม่สามารถดื่มได้… 

 

 

…เมื่อถึงตอนนั้นข้าจะเททิ้งไว้ตรงนี้ ทำให้ดินเปียกชื้น บอกทุกคนว่ามีน้ำในแอ่งหลุมนี้ น้ำก็ถูกพวกเราขุดออกมาใช้จนหมด” 

 

 

ในที่สุดเฉียนเพ่ยอิงก็รู้ว่าน้ำในหลายอ่างใหญ่มาจากไหน นางพูดขึ้น “ท่านพี่ น้ำในเครื่องทำความร้อนไม่สามารถดื่มได้ มันเป็นน้ำรีไซเคิล ในนั้นต้องมีโซเดียมไนไตรท์มากเกินไป ดื่มมากไปอาจทำให้เกิดพิษได้”  

 

 

ซ่งฝูเซิงกระวนกระวายใจ เขายุ่งวุ่นวายกับงานจนเหงื่อไหลย้อย เขารีบตัดบทด้วยสีหน้าซีดเผือด 

 

 

“ไม่มีให้พวกเขาได้ดื่มเยอะขนาดนั้นหรอก… 

 

 

…เจ้าก็รู้โซเดียมไนไตรท์ตกค้างในผัก ในผักดองก็มี เมื่อก่อนพวกเรากินไอ้นั่นหลายมื้อทุกวันก็ไม่เห็นมีใครจะป่วย… 

 

 

…เจ้าอย่าเรื่องมาก ไม่ได้ให้เจ้าดื่มสักหน่อย แค่นี้ข้าก็มีน้ำใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่มากพอ แล้ว!… 

 

 

…หากไม่มีข้า สภาพสุดท้ายของพวกเขาก็คงอดตาย ดื่มน้ำจากเครื่องทำความร้อนจะเป็นไรไป ข้าไม่เชื่อหรอก อยากน้อยก็ดีกว่าหิวตาย!” 

 

 

“อย่าทะเลาะกันเลย ท่านพ่อ ท่านกลัวคนอื่นจะไม่ได้ยินหรือไง? แม่ข้าหมายถึงบ้านของเราก็มีน้ำดื่มอยู่ มีทั้งเครื่องดื่ม มีเบียร์ ถ้าไม่ไหวจริงๆ ก็เอาทั้งหมดออกมาก็ได้ แต่ไม่เอาน้ำพวกนั้นแล้ว ต้องหาน้ำที่สะอาดหน่อย อย่าให้คนอื่นดื่มน้ำจนร่างกายป่วยสิ” 

 

 

ซ่งฝูหลิงยังไม่ทันพูดจบก็ถูกพ่อของนางตอกกลับ 

 

 

“พวกเจ้าช่างไร้เดียงสาเสียจริง!… 

 

 

…ถ้านำออกมาทั้งหมดจะพูดอย่างไร ให้คนละหนึ่งขวดหรือ?… 

 

 

…จะบอกว่าข้าเอามาจากที่ไหน?… 

 

 

…ยังมีพวกเบียร์อีก พวกเขายังไม่เคยดื่มน้ำรสชาติแบบนั้น ถามข้า ข้าจะตอบอย่างไร ข้าทำออกมาให้พวกเขาหรือ?… 

 

 

…อีกอย่าง เครื่องดื่มพวกนั้นก็เหลืออยู่ไม่กี่ขวด แค่แม่กับเจ้าสองคน ข้ายังไม่รู้จะหามาประเคนเพิ่มให้ได้อีกหรือไม่… 

 

 

…ที่นี่มีคนอยู่เท่าไร บ้านเราเปิดร้านซุปเปอร์มาร์เก็ตหรือไง? บ้านเราซื้อมาเพียงไม่กี่ลังเพื่อฉลองเทศกาลปีใหม่… 

 

 

…ให้พวกเจ้าช่วยออกความคิด แต่ละคนก็ทำไม่เป็นกัน ข้าต้องคิดจนหัวแทบแตกกว่าจะนำน้ำออกมาได้ เสียเวลาโกหก และยังต้องสร้างเรื่องโกหกอีก พวกเจ้าสองคนแม่ลูกช่างมีปัญหามากเสียจริง!” 

 

 

โอ้ว สวรรค์ จะตะโกนทำไมกัน ดูเหมือนทั้งเหนื่อยทั้งร้อนจนจะเข้าสู่วัยกลางคนไปก่อนแล้ว ซ่งฝูหลิงโบกมือ “พอแล้ว ท่านพ่ออย่าโกรธเลย ข้าฟังท่าน ท่านรีบเข้าไปนำน้ำออกมาเถอะ” 

 

 

“พวกเจ้าสองคนก็อย่ายืนนิ่งอยู่เลย นำน้ำหลายอ่างนี้เทลงไปในถังน้ำของพวกเขา ส่วนอ่างน้ำของพวกเรา พวกเจ้าก็เดินออกไปไกลหน่อยแล้วขุดหลุมฝังซะ นำอ่างพลาสติกใหญ่หลายใบกลับไปคงต้องมีพิรุธแน่ อ่างพวกนี้ก็ไม่ต้องเอาแล้ว” 

 

 

พูดจบ ซ่งฝูเซิงก็เข้าไปพื้นที่พิเศษอีกครั้ง  

 

 

ตอนนี้กลับเข้าพื้นที่พิเศษไป ซ่งฝูเซิงก็นำถังน้ำประปาขนาดห้าลิตรที่เก็บไว้รดน้ำต้นไม้ออกมาและใช้ชามตักน้ำที่อยู่ในถังชักโครก อีกทั้งตักน้ำทีละชามจากอ่างน้ำล้างผัก 

 

 

น้ำที่นำออกมาในครั้งนี้เขาวางแผนว่าจะให้พวกเด็กๆ ในขบวนดื่มกินกัน 

 

 

อย่างน้อยก็ดีกว่าน้ำจากเครื่องทำความร้อน 

 

 

ถึงแม้ว่าเขาจะว่าภรรยากับลูกสาวไป แต่เขาก็รู้สึกผิดไม่น้อย 

 

 

เขาไม่สามารถทนเห็นพวกเด็กๆ เสี่ยงอันตรายได้ เดิมทีกระเพาะก็ค่อนข้างอ่อนแอ น้ำที่มาจากเครื่องทำความร้อนสงวนไว้สำหรับผู้ใหญ่ที่มีร่างกายแข็งแรงเท่านั้น 

 

 

เมื่อซ่งฝูเซิงนำน้ำออกมาเทรอบที่สองแล้ว รอบที่สามเขาก็นำน้ำของครอบครัวออกมาเท ทั้งสามต่างก็แบ่งหน้าที่กันทำ 

 

 

ซ่งฝูหลิงเทน้ำแร่ลงในกระบอกน้ำกับถุงน้ำจนเต็ม เมื่อครู่นางก็นำถุงน้ำของหมี่โซ่วพกติดตัวมาด้วย 

 

 

เฉียนเพ่ยอิงคอยตักน้ำทีละครั้ง นางค่อยๆ เทน้ำลงไปในถังน้ำโบราณอย่างระมัดระวัง 

 

 

เมื่อนางเห็นถังน้ำสำหรับรดน้ำต้นไม้ขนาดห้าลิตร นางก็ถามขึ้นมา 

 

 

“ท่านพี่ อันนี้ไม่ต้องเทน้ำแล้ว ถังใบนี้ก็ไม่ต้องฝัง ถือหิ้วเก็บไว้ใช้ สะอาดดีกว่าถังยุคโบราณมาก… 

 

 

…อันที่จริงก็กลัวว่าพวกเขาเห็น มิฉะนั้นพวกขวดเปล่าและถังน้ำเปล่าของพวกเราเวลาใช้จะสะดวกกว่ามาก เวลาเข็นรถก็มีน้ำหนักไม่มากสามารถเข็นรถได้เร็วขึ้น” 

 

 

ซ่งฝูเซิงที่ตอนนี้กำลังขุดหลุมอยู่ เขาพยักหน้า “ได้สิ เมื่อก่อนพวกเราก็มีถังน้ำมันถั่วเหลือง ใช้น้ำมันหมดแล้วก็เป็นถังแบบเดียวกัน ท่านย่าของลูกสาวก็เคยเห็นแล้ว หากท่านย่าถามว่าทำไมมีถังเพิ่มมาอีกหนึ่งใบ พวกเจ้าก็บอกไปว่านำมาด้วยตั้งนานแล้ว บอกว่านางไม่ได้สังเกตให้ดีเอง แต่เดิมมีอยู่แล้ว” 

 

 

“ตกลง” 

 

 

ซ่งฝูเซิงตรวจดูความเรียบร้อยของสถานที่ฝังพวกอ่างน้ำและขวดพลาสติกอีกรอบหนึ่ง 

 

 

เขามองดูหลุมลึกที่ขุดอีกรอบ น้ำเริ่มซึมเข้าไปข้างใน เขาคิดว่าระดับความลึกขนาดนี้น่าจะเพียงพอกับการสร้างภาพว่าเป็นทางที่น้ำไหลออกมาเองตามธรรมชาติ 

 

 

เพื่อคำพูดโกหกที่สมบูรณ์แบบ ทำให้เขาถึงกับเหนื่อยแทบตาย 

 

 

เฉียนเพ่ยอิงปรากฏตัวขึ้นพร้อมถุงน้ำกับกระบอกน้ำของหลายคน ยามที่ซ่งฝูหลิงนั่งคุกเข่าตะโกนเรียกทุกคน “พ่อของข้าขุดเจอน้ำแล้ว ถึงแม้จะมีน้ำไม่มาก ขุดออกมาได้น้อย แต่ก็พอให้ชุ่มคอได้บ้าง พวกท่านรีบไปช่วยกันเอาน้ำเถอะ” 

 

 

ทุกคนที่กำลังขอฝนต่างหยุดการกระทำทั้งหมดในทันที พวกเขาต่างหันหน้ามาจับจ้องนาง 

 

 

“อย่ามัวแต่มองข้า ลุงใหญ่ ลุงรอง ท่านลุง ไปเอาน้ำกันเถอะ สถานที่นั้นอยู่ไกลหน่อย มีพ่อของข้าอยู่ที่นั่นเพียงคนเดียว” 

 

 

ไม่ว่าจะเป็นลุงใหญ่ ลุงรอง คนที่ยังเดินไหวต่างวิ่งไปทางทิศที่ซ่งฝูหลิงชี้ไป รวมทั้งท่านย่าหม่า 

 

 

ยังมีผู้สูงวัยอีกหลายคนที่ถึงแม้จะล้มลงก็รีบลุกขึ้นมาวิ่งต่อไปได้อีก 

 

 

ในนั้นยังมีท่านยายกัวคนหนึ่ง หลานชายคนที่สองของนางคอแห้งจนมีอาการแย่ลง เมื่อเห็นอาการเด็กดูท่าไม่ค่อยดี แม้แต่แม่ก็เรียกไม่ไหว 

 

 

ดังนั้นท่านยายกัวจึงรู้สึกซาบซึ้งใจอย่างมาก โดยเฉพาะตอนที่เห็นน้ำ มือทั้งสองข้างที่เหี่ยวแห้งดังต้นหญ้าแห้งก็ถึงกับสั่นเทา นางทรุดลงไปนั่งกับพื้น พนมมือขึ้นไหว้ซ่งฝูเซิงทั้งน้ำตา 

 

 

“หลานชาย หลานชายฝูเซิง ป้าสะใภ้ขอก้มหัวให้กับเจ้า ก้มหัวให้เจ้า” 

 

 

สถาพของซ่งฝูเซิงในตอนนี้ดูไม่เหมือนมนุษย์ เขาเหนื่อยจนแทบจะพยุงตัวไว้ไม่อยู่ เขาที่นั่งอยู่บนพื้นจึงต้องเบนตัวหนีเพื่อหลีกเลี่ยง เขาพูดกับป้าสะใภ้ว่าอย่าได้ลดทอนอายุของเขาเลย ได้โปรดอย่าทำเยี่ยงนั้นอีก 

 

 

มีคนเดินไปกลับเพื่อที่จะตักน้ำ และก็มีคนคิดเช่นเดียวกันกับเถียนสี่ฟาที่จะขุดหลุมนั้นให้ลึกลงไปอีก 

 

 

ซ่งฝูเซิงรีบห้ามปราม “พี่เขย มันไม่มีแล้วจริงๆ นอกจากบริเวณที่เปียกมีน้ำซึมออกมา ข้าคิดจนหัวแทบแตกก็ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงเป็นแบบนี้ มีเพียงแค่นี้แหละ ไม่มีอีกแล้ว” 

 

 

หลังจากนั้นเขาก็รีบแย่งเถียนสี่ฟาพูดก่อน เขารีบเรียกหลานชายคนโตของบ้านที่เป็นคนซื่อ “ต้าหลัง เจ้าลงไปในแอ่งสิ เจ้าอายุน้อย คล่องแคล่วว่องไวหน่อย พี่เขยท่านช่วยส่องแสงสว่างให้เขาหน่อย” 

 

 

ต้าหลังลงไปก็ไปลูบคลำและขุดลึกลงไปอีก แสงจากคบไฟก็ไม่สามารถที่จะส่องสว่างให้เห็นแอ่งนั้นได้อย่างชัดเจน ต้าหลังก็ตอบกลับมาตามตรง “อาสามพูดไว้ไม่ผิด ไม่สามารถหาน้ำออกมาเพิ่มได้แล้ว นอกจากดินเปียกชื้นแล้วก็ไม่มีน้ำแม้แต่น้อย” 

 

 

“ถ้างั้นพวกเรากลับกันเถอะ พี่เขย พี่ใหญ่ พวกท่านพยุงข้าที ข้าเหนื่อยจะตายอยู่แล้ว” 

 

 

เกาเถี่ยโถวตะโกนมา “อาสาม พวกข้าจะแบกท่านกลับไปเอง” 

 

 

เถียนสี่ฟากับพวกชายฉกรรจ์ทั้งหลายต่างรีบพยักหน้า “ใช่แล้ว พวกเราจะแบกน้องสามกลับไปเอง” หลังจากนั้นพวกเขาก็พูดออกมา “หนึ่ง สอง สาม ยกขึ้น!” 

 

 

ตอนที่ซ่งฝูเซิงโดนแบกกลับไป มีการต้อนรับอย่างอลังการมาก แต่ที่เกินความคาดหมายก็คือ ซ่งหลี่เจิ้งกอดซ่งฝูเซิงร้องไห้คร่ำครวญอย่างหนัก 

 

 

“ท่านลุง อย่าร้องไห้ไปเลย เป็นเพราะสวรรค์ไม่อยากให้พวกเราอดตาย เป็นเพราะท่านวิงวอนต่อสวรรค์สำเร็จ” 

 

 

ซ่งหลี่เจิ้งกล่าวอย่างหนักแน่น 

 

 

“ไม่ เป็นเพราะเจ้า เจ้าเป็นดาวนำโชคของพวกเรา… 

 

 

…ทุกคนลองคิดดูสิ ตลอดการเดินทางที่มีอุปสรรคหลายครั้งที่เกี่ยวพันกับความเป็นความตาย เป็นเพราะมีซ่งฝูเซิงพวกเราถึงผ่านไปด้วยดีได้ใช่หรือไม่?… 

 

 

…แม้แต่สวรรค์ยังรู้ว่าฝูเซิงเป็นดาวนำโชคของพวกเรา จึงให้โอกาสค้นพบน้ำกับเขา… 

 

 

…หากไม่มีซ่งฝูเซิง แม้สวรรค์จะสงสารพวกเรา พวกเราก็ไม่สามารถพบเจอแหล่งน้ำได้… 

 

 

…ฝูเซิงช่วยชีวิตพวกเราเอาไว้หลายครั้ง ช่วยชีวิตเด็กๆ และชีวิตพ่อแม่ของพวกเจ้าทุกคน!” 

 

 

คำพูดพวกนี้ส่งผลอย่างประหลาดมาก 

 

 

ครั้งนี้ไม่ได้มีเพียงแค่ท่านยายกัวคุกเข่าคนเดียว ผู้หญิงอีกหลายคนต่างร้องไห้คุกเข่าบนพื้นไหว้ซ่งฝูเซิง ส่วนพวกผู้ชายก็ทำท่าโค้งคำนับแสดงความเคารพ หรือไม่ก็ตบไหล่ซ่งฝูเซิงทั้งที่น้ำตาไหล 

 

 

เฉียนเพ่ยอิง “…” 

 

 

ซ่งฝูหลิง “…” 

 

 

เฉียนหมี่โซ่วรู้สึกสับสน “พี่สาว” 

 

 

“อืม?” 

 

 

“ไม่ใช่เพราะข้าเป็นคนวิงวอนขอมาหรือ? เซียวจิ้งเถิงรีบมา เซียวจิ้งเถิงรีบมา ต่อไปถ้าทุกคนขาดน้ำ ข้าก็จะสวดภาวนาอีก” 

 

 

ซ่งฝูหลิงก็พูดจาเหลวไหลปลอบหมี่โซ่ว “อย่าสวดอีกเลย สวดมากไปก็ไม่ดีต่อสุขภาพของเจ้า สวดมากๆ จะทำให้ฉี่ราดได้นะ” 

 

 

 

 

 

 

 

 

[1] เซียวจิ้งเถิง ชื่อนักร้องคนหนึ่งที่ได้สมยานามว่าเทพเจ้าแห่งสายฝนเพราะไม่ว่าเขาจะไปเปิดการแสดงคอนเสิร์ตที่ไหนก็มักจะมีพายุฝนกระหน่ำ