ซ่งหลี่เจิ้งถามขึ้นด้วยสายตาคาดหวัง “ฝูเซิง ประชุมกันไหม?” 

 

 

ซ่งฝูเซิงมองสายตาของหลี่เจิ้ง เขาไม่ต้องเอ่ยปากถามก็รู้ได้ว่าหากเย็นนี้มีการประชุมกัน หัวข้อประชุมคงจะเป็นเรื่องการชมเชยเขาแน่นอน 

 

 

เขาไม่ต้องการคำขอบคุณจากคนอื่น ขอแค่อย่าด่า เขาก็พอใจแล้ว 

 

 

เขาอยากให้ทุกคนคิดว่าสวรรค์ประทานน้ำมาให้ 

 

 

พูดตามความเป็นจริง 

 

 

พวกเขาไม่ได้ทำเพื่อสิ่งอื่นใด พวกเขาไม่สามารถนำอาหารและเครื่องดื่มของตนเองที่มีอยู่ออกไปให้ผู้อื่นได้ โดยที่พวกตนต้องมาอดอยากจนทำให้ตนเองต้องหิวโหยอดตาย 

 

 

ในขณะเดียวกัน จะให้พวกเขาคอยแต่มองคนตายไปต่อหน้าต่อตาเฉยๆ ก็ไม่ได้อีกเช่นกัน ถ้าสามารถช่วยชีวิตคนได้ ก็ต้องนำสิ่งของที่ยังไม่ใช้ในตอนนี้ออกมาช่วยเหลือคนอื่น 

 

 

หากพูดให้ชัดเจน พวกเขาก็เป็นเพียงสามัญชนคนธรรมดาทั้งในอดีตและปัจจุบัน ยังมีความเห็นแก่ตัวเยอะ ไม่ได้มีอะไรน่าชื่นชม 

 

 

ซ่งฝูเซิง “ท่านลุง ท่านดูสภาพข้าเหมือนไม่ใช่คนแล้ว เข็นรถมาครึ่งวันและยังขุดดินหาน้ำอีก ไม่เคยเหน็ดเหนื่อยแบบนี้มาก่อนเลย แทบจะไม่ไหวแล้ว ข้าต้องไปนอนแล้ว พวกท่านก็คิดกันเอาเองว่าจะแบ่งน้ำกันอย่างไรเถอะ” 

 

 

“ได้ ได้สิ เดี๋ยวข้าให้ลูกสะใภ้ใหญ่ต้มข้าวต้มให้เจ้าโดยเฉพาะ เจ้าไปนอนพักผ่อนเถอะ ตื่นขึ้นมาข้าจะให้นางยกไปให้เจ้า เจ้ารีบไปพักผ่อนซะ” ซ่งหลี่เจิ้งมองซ่งฝูเซิงด้วยแววตาเป็นห่วงเป็นใยเสมือนเป็นลูกเป็นหลานแท้ๆ ก็ไม่ปาน 

 

 

ท่านย่าหม่ายืนถือกระบวยตักน้ำ นางยืนอยู่ตรงหน้าถังน้ำหลายถัง 

 

 

หวังจงอวี้เดินมาเพื่อที่จะมาตักน้ำ ใบหน้าของเขาปรากฏรอยยิ้มขึ้นมา “ท่านป้า ท่านไม่ต้องทำแบบนี้ก็ได้ ท่านวางใจเถอะ พวกเราทุกคนจะตักน้ำเท่าที่พอใช้เท่านั้น จะไม่ตักเกินความจำเป็น แม้แต่น้ำหยดหนึ่งก็จะไม่ให้ฟุ่มเฟือย” 

 

 

ท่านย่าหม่ายิ้ม “รู้แล้ว ข้าก็เหนื่อยมาทั้งวันอยากจะพักผ่อน แต่ลุงหลี่เจิ้งของเจ้าได้สั่งการไว้ พวกเราก็ต้องทำตามกฎ มา บ้านเจ้าได้แบ่งน้ำของผู้ใหญ่สี่ถ้วย เด็กสองถ้วย ถือให้ดีๆ” 

 

 

ซ่งฝูหลิงยืนฟังอยู่ด้านข้าง นางคิดในใจ ไม่ใช่หรอก ท่านย่า ท่านไม่อยากพักผ่อน อย่ามองว่าท่านเป็นเพียงหญิงชรายุคโบราณ จริงๆ ท่านค่อนข้างหลงใหลในการถูกยกย่องสรรเสริญ ยามท่านอยู่ต่อหน้าคนในหมู่บ้าน ท่านอยากให้คำพูดของท่านดูมีน้ำหนัก ข้ารู้จักท่านเป็นอย่างดี แต่ข้าทำเป็นมองท่านไม่ออก พวกเราจึงยังสามารถรักษาความเป็นเพื่อนสนิทกันไว้ได้ 

 

 

ขณะเดียวกัน ท่านย่าใหญ่ก็มาตักน้ำ ซ่งฝูหลิงก็เหลือบตามอง 

 

 

มองดูท่านย่าของนาง ช่างสมเป็นท่านย่าของนางเสียจริง ให้น้ำน้อยกว่าครอบครัวอื่นแล้วยังจะแหย่คนอื่นอีก 

 

 

ท่านย่าใหญ่มองน้ำที่อยู่ในถ้วยและหันมามองท่านย่าหม่า ก่อนที่จะขมุบขมิบปาก นางก็เม้มปากตัดสินใจหันตัวเดินกลับไป 

 

 

“หยุดก่อน” 

 

 

ท่านย่าใหญ่หันหน้ามากล่าวด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ “ทำไม?” 

 

 

“ยังขาดน้ำไปอีกนิด ไม่รู้หรอกหรือ? มานี่ก่อน” 

 

 

ท่านย่าใหญ่นิ่งงันไปไม่กี่วินาทีก็พูดด้วยน้ำเสียงตื้นตัน “นี่ น้องสะใภ้” 

 

 

ท่านย่าใหญ่เพิ่งเดินจากไป ซ่งฝูหลิงก็รีบเดินมาหาท่านย่าของนาง นางเล่นถุงน้ำของท่านย่าพร้อมกับยกนิ้วโป้งให้กับท่านย่าของนาง “ใจกว้าง” 

 

 

ท่านย่าหม่าคิดในใจ ใช่สิ พวกเราเป็นคนมีน้ำใจ นิสัยลูกสามของข้าก็เหมือนกันกับข้ายังไงล่ะ 

 

 

ในเวลานี้เฉียนเพ่ยอิงมองดูทุกคนดื่มน้ำ นางรู้สึกใจตุ๊มๆ ต่อมๆ 

 

 

น้ำในเครื่องทำความร้อนมีหลายชนิด ไม่เพียงแค่นำน้ำกลับมาใช้ใหม่ ในบริษัทบางแห่งยังใส่สารเคมีลงไปในน้ำ แม้จะไม่ได้รู้รายละเอียดมากนัก แต่ขึ้นชื่อว่าสารเคมีจะดีได้อย่างไรกัน? 

 

 

นางไม่แน่ใจว่าบริษัทที่ขายเครื่องทำความร้อนให้กับบ้านของนางได้ใส่สารอะไรลงไปในน้ำหรือไม่ 

 

 

เพราะความไม่แน่ใจ นางถึงรู้สึกเป็นกังวลจนคิดที่จะนำน้ำคุณภาพดีๆ ออกมาใช้ ถึงแม้ว่าครอบครัวของตนเองอาจจะต้องรู้สึกหิวกระหายไปด้วยกันก็ตาม หรือไม่ก็ต้องทำใจแข็ง ไม่นำน้ำออกมาเลย เพราะจะได้ไม่ต้องรู้สึกผิด 

 

 

พวกนางจะไม่ให้ก็ได้ หากให้ไปแล้ว คนอื่นดื่มน้ำไปแล้วเกิดมีปัญหาขึ้นมา นางคงรู้สึกผิดมาก กลัวว่าจะเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน 

 

 

เฉียนเพ่ยอิงไม่คิดว่าเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันจะเกิดขึ้นเร็วอย่างนี้ และเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันนี้ก็เกิดขึ้นกับลูกสาวของนางเอง ไม่ได้เกิดขึ้นกับคนอื่น 

 

 

ท่านยายกัวถือถ้วยน้ำมา นางเหลือบตามองซ่งฝูเซิงที่นอนกรนเสียงดัง ก่อนที่นางจะหันมาพูดกับซ่งฝูหลิงด้วยรอยยิ้ม “เจ้าเด็กน้อย นี่เป็นน้ำที่หลายครอบครัวประหยัดไว้นำมารวมกันเป็นน้ำหนึ่งถ้วยให้เจ้าดื่ม” 

 

 

ซ่งฝูหลิงกอดกระบอกน้ำส่ายหัวปฏิเสธ “ไม่ต้องหรอก ท่านยายกัว ข้ายังมีน้ำ” 

 

 

ท่านยายกัวยืนหลังโก่งถือถ้วยน้ำ นางเอ่ย “เจ้าเด็กน้อย พวกเราปรึกษากันแล้ว ไม่มีอะไร นี่ถือเป็นน้ำใจที่ทุกคนตั้งใจรวบรวมน้ำกันมา มันมีค่ามาก อยากให้เจ้าได้ดื่มน้ำมากกว่าคนอื่นถ้วยหนึ่ง ข้างในยังใส่น้ำตาล มีรสหวาน” 

 

 

ขณะนางพูดก็ยื่นชามมาใกล้ริมฝีปากของซ่งฝูหลิง 

 

 

ในตอนนี้ ซ่งจินเป่าเป็นเด็กที่รู้เรื่องมากขึ้นจึงไม่ได้เข้ามาแย่งถ้วยน้ำหวานนี้ 

 

 

ซ่งฝูหลิงมองสองมือที่ถือถ้วยน้ำคู่นั้นที่แห้งเหี่ยวดังหญ้าอันเหี่ยวเฉา ก่อนจะหันไปมองคนโบราณพวกนั้นที่ยิ้มให้กับนาง ข้างหูก็ได้ยินเสียงนอนกรนของพ่อนาง นางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ได้ ข้าจะดื่ม ขอบคุณท่านมาก” 

 

 

นี่อาจเป็นสิ่งตอบแทนของคำพูดเพียงไม่กี่คำ หรืออาจเป็นลิขิตสวรรค์ ทุกคนดื่มน้ำแล้วไม่มีปฏิกิริยาอะไร แม้แต่เด็กสองขวบก็ยังนอนหลับสบาย มีเพียงซ่งฝูหลิงเท่านั้นที่มีอาการท้องเสีย ท่านย่าของนางเริ่มรำคาญที่จะต้องไปเป็นเพื่อนนางเข้าห้องน้ำ ถ้าไม่ใช่เพราะสนิทกับนางก็อยากจะอยู่แบบตัวใครตัวมัน 

 

 

วันที่สองตอนเช้า ซ่งฝูหลิงรู้สึกว่าขาทั้งสองข้างอ่อนแรง นางเริ่มครุ่นคิด แม้จะมีท่านพ่อที่มากความสามารถ แต่สุดท้ายก็ซวยเพราะท่านพ่อของนางเอง 

 

 

ซ่งฝูเซิงหาว เขาถามลูกสาว “เจ้าเป็นอะไรไป?” 

 

 

ซ่งฝูหลิงถลึงตาใส่พ่อของนาง 

 

 

วันนี้ช่วงเช้ามีหลายคนที่มาเอาน้ำแล้วกลับไปป้อนน้ำให้กับพวกเด็กๆ ได้ดื่มกัน เด็กทั้งหลายเมื่อได้ดื่มน้ำคำแรกก็ถึงกับตกตะลึงและขอดื่มอีกรอบ เพื่อลิ้มรสชาติยืนยันให้แน่ใจอีกครั้งว่ามีรสชาติหวานได้อย่างไร? 

 

 

เรื่องนี้เป็นข่าวที่มาจากครอบครัวเกาเป็นบ้านแรก เพราะครั้งนี้เกาถูฮู่ปฏิบัติหน้าที่เป็นเวรยามกลางดึก 

 

 

เขาบอกกับทุกคนว่า เมื่อคืนนี้พั่งยาแทบจะไม่ได้นอน นางนั่งลูบท้องอยู่คนเดียว ต่อมาก็เห็นนางเดินวนรอบถังน้ำอยู่สองรอบ น่าจะเป็นเด็กคนนี้ที่โรยน้ำตาลลงไปในถัง 

 

 

ซ่งฝูหลิงเสมือนเป็นแม่นางเถียนหลัว[1]เติมน้ำตาลลงไปในน้ำให้กับทุกคนได้ดื่ม 

 

 

เดิมทีซ่งฝูหลิงอยากจะเติมเกลือเพิ่มลงไปอีก น้ำที่มีส่วนผสมของเกลือกับน้ำตาลจะให้พลังงานกับร่างกาย แต่เรื่องเกลือนางไม่กล้าตัดสินใจเอง ไม่กล้าใช้เรื่อยเปื่อย เกรงว่าถ้าใส่ไปครึ่งถุง หากยังต้องเดินทางไกลต่อไปแล้วขาดเกลือจะทำอย่างไร แต่ถ้าเป็นน้ำตาลนั้นไม่เป็นปัญหา 

 

 

ตอนที่นางเทน้ำตาลไปครึ่งถุงนางก็ไม่ได้คิดอะไรมาก เพียงเพราะตอนนั้นนางเดินไปใกล้ถังน้ำจึงนึกอยากทำเรื่องนี้ขึ้นมา จากประสบการณ์ของตนเอง นางหวังว่าน้ำตาลจะทำให้ความทุกข์ของทุกคนที่เผชิญในแต่ละวันกลายเป็นความสุขขึ้นมาบ้าง แม้ว่ามันจะให้ผลแค่เล็กๆ น้อยๆ ก็ตาม 

 

 

ทุกคนต่างก็รู้สึกซาบซึ้งใจเป็นอย่างมาก แต่มีคนหนึ่งที่ไม่รู้สึกอย่างนั้น 

 

 

“เจ้าจะทำให้คอข้าไม่ดี มันหวานจนแสบคอ” 

 

 

ซ่งฝูหลิงนั่งอยู่บนรถเข็นมือของบ้านซ่งหลี่เจิ้ง นางหันหน้าไปมองย่าของนาง “ท่านทำไมเป็นแบบนี้ ข้าอุตส่าห์ใส่น้ำตาลให้ท่านมากหน่อย ไม่ดีหรือยังไงกัน” 

 

 

ท่านย่าหม่าเดินอยู่ข้างรถ “เจ้าใส่เสียหวานขนาดนี้ แม้แต่น้ำแก้กระหายก็ไม่มี ทำให้ข้ายิ่งคอแห้งมากขึ้นอีก” 

 

 

“เชอะ” ซ่งฝูหลิงหันหน้าไม่สนใจท่านย่าของนางแล้ว 

 

 

นางยังให้ท่านย่าได้ดื่มน้ำแร่ธรรมชาติ อุตส่าห์เสียเวลาแอบเปลี่ยนน้ำให้ แต่หญิงชรานั้นกลับไม่เข้าใจนางว่านางต้องสูญเสียอะไรไปบ้าง 

 

 

หลายชายคนโตของซ่งหลี่เจิ้งที่กำลังเข็นรถ เขาได้ยินย่าหลานสองคนคุยกันก็อดยิ้มออกมาไม่ได้ 

 

 

ซ่งหลี่เจิ้งย้ายมานั่งอยู่บนรถเข็นของครอบครัวหวัง 

 

 

นี่เป็นเพราะซ่งฝูหลิงท้องเสียจนแข้งขาไร้เรี่ยวแรงจนเดินไม่ไหว อีกทั้งนางต้องทำหน้าที่แทนพ่อของนางในการส่องกล้องส่องทางไกลเพื่อดูหนทางข้างหน้า ดังนั้นนางจึงมานั่งอยู่บนรถของบ้านหลี่เจิ้งที่อยู่หน้าขบวน 

 

 

ซ่งฝูหลิงพูดอย่างกะทันหัน “ข้าเห็นคนหาบของอยู่ข้างหน้า” 

 

 

ท่านย่าหม่าแววตาเป็นประกายในทันที “ถ้างั้นเจ้าเห็นสีเขียวหรือไม่?” 

 

 

“อ๊าห์ ข้าเห็นภูเขาแล้ว ในที่สุดก็เจอภูเขาแล้ว!” 

 

 

“โอ้ว” ซ่งฝูเซิงได้ยินเข้าก็รู้สึกว่าร่างกายมีเรี่ยวแรงเต็มเปี่ยมขึ้นมาทันที 

 

 

เดิมทีตอนออกเดินทางในช่วงเช้า เขาไม่มีความมั่นใจแล้วเพราะคำพูดของลูกสาว “พื้นที่แห้งแล้งหลายพันลี้ ไม่มีแม้กระทั่งต้นหญ้า แค่คำพวกนี้ก็บอกถึงปัญหาแล้วว่า เจ้าเพิ่งเดินไปแค่หลายร้อยลี้เอง” 

 

 

ตอนนั้นที่เขาได้ยินก็ถึงกับอุทานออกมา “แย่แล้ว” 

 

 

เขาไม่คาดคิดว่าเพิ่งเดินไปได้เพียงครึ่งวันก็เห็นเงาภูเขาแล้ว 

 

 

มีภูเขา ดีจริง มีภูเขาก็ต้องมีน้ำสิ คำพวกนี้อยู่ใกล้กันมันก็สามารถบอกถึงปัญหาได้อย่างชัดเจน 

 

 

“ทุกคนออกแรงหน่อย!” 

 

 

“เพิ่มแรงอีกหน่อย!” 

 

 

“ออกแรง!” 

 

 

น้ำเสียงตะโกนดังกังวาน 

 

 

ชีวิตที่ขาดน้ำเสมือนแขวนอยู่บนเส้นด้าย เมื่อมีน้ำแม้เพียงเล็กน้อยเพื่อให้มีชีวิตอยู่ต่อไปได้ทำให้รู้สึกตื่นเต้นดีใจ เนื่องจากได้ดื่มน้ำรสหวานที่ได้ใส่น้ำตาลลงไปด้วย 

 

 

ยามเมื่อคนใช้ชีวิตไปตามยถากรรมที่ดูเหมือนจะเป็นทางตัน สามารถดึงศักยภาพทั้งหมดออกมาใช้ได้เมื่อได้ยินว่าข้างหน้ามีภูเขา แต่ละคนดูเหมือนกลับมามีเรี่ยวแรงฮึดสู้ขึ้นมาทันที 

 

 

รีบเดิน รีบเดินจนผ่านกลุ่มคนท้องโตไปถึงสี่กลุ่มและยังเดินนำหน้ากลุ่มที่หาบสิ่งของ 

 

 

สายตามองเห็นตีนภูเขาที่ใกล้เข้ามา และยังเห็นขบวนรถม้า คนขี่ม้าได้แล้ว