เรื่องที่มีรถม้า มีคนขี่ม้าหยุดอยู่ตรงตีนภูเขา สำหรับชาวบ้านธรรมดาในยุคโบราณแล้ว เรื่องนี้แทบไม่กล้าคิด โดยปกติขนาดเข้าไปในเมืองก็ยังมีให้พบเห็นได้น้อยมาก

 

 

ยิ่งคนเฒ่าคนแก่ที่ไม่เคยออกจากหมู่บ้านด้วยแล้ว พวกเขายิ่งไม่เคยพบเห็นม้ามาก่อน ความหวังอันยิ่งใหญ่ของพวกเขาก็คือการพยายามซื้อวัวมาไว้ในครอบครองมากกว่า

 

 

ดังนั้นพวกเขากับคนพวกนั้นจึงไม่ใช่คนฐานะแบบเดียวกัน

 

 

ทุกคนดีใจมากที่ได้เห็นภูเขา บนภูเขามีโอกาสอย่างมากที่จะมีน้ำ

 

 

ส่วนพวกผู้ลี้ภัยที่อยู่ด้านข้าง ไม่ว่าจะจนหรือรวย มีม้าหรือไม่มีม้า ม้ามีลักษณะเช่นไรนั้น พวกเขาก็ไม่ได้ใส่ใจมองเพราะรู้สึกว่าไม่ได้เกี่ยวข้องอะไร

 

 

แต่เรื่องเหล่านี้ สำหรับพวกเขาสามคนที่ทะลุมิติมาจากยุคปัจจุบัน มีความหมายไม่เหมือนกัน

 

 

หนึ่ง โล่งใจขึ้น ประหนึ่งเหมือนยกก้อนหินออกจากอก

 

 

เห็นครอบครัวตระกูลใหญ่บ้างแล้ว ก็แสดงว่าไม่ได้เดินทางมาผิดทิศทาง

 

 

อย่าลืมรู้ว่าในความทรงจำของซ่งฝูเซิงไม่เคยมีเรื่องการเดินทางไปทางเหนือมาก่อน เขาจึงกลัวว่าจะพาขบวนเดินผิดเส้นทาง

 

 

ก่อนนั้นตอนเขาสอบซิ่วไฉ ก็มีแต่การเดินทางลงใต้เพื่อไปเมืองหลวงเท่านั้น

 

 

ส่วนคนพวกนั้น ช่างเถอะ คนพวกนั้นไม่ต้องพูดถึงก็ได้ เพราะพวกเขาไม่เคยออกจากหมู่บ้าน ลองคิดดูสิว่าพวกเขาจะรู้ว่าควรต้องเดินไปตามเส้นทางไหนได้อย่างไร? คงคาดหวังอะไรไม่ได้

 

 

เพราะคนโบราณไม่เหมือนคนสมัยใหม่ที่สามารถเดินทางไปได้ทุกที่ คนโบราณ ถ้าไม่หิวตายหรือไม่เกิดเรื่องราวอะไร พวกเขาก็อยากจะตั้งหลักปักฐานอยู่ที่เดิมหลายชั่วอายุคน โดยที่ไม่ต้องเคลื่อนย้ายไปไหน ผู้คนหลายชั่วอายุคนอยู่รวมกันโดยที่ไม่เคยไปไหนไกลๆ มาก่อน ทำให้ไม่มีประสบการณ์เหล่านั้น

 

 

ดังนั้นเส้นทางเล็กๆ ที่กำลังเดินกันนี้ หากพูดอย่างไม่น่าฟัง ซ่งฝูเซิงเองก็รู้สึกสับสนมึนงงเหมือนกัน เขานำขบวนเดินทางตามซากศพของผู้ลี้ภัย เพื่อค้นหาเส้นทางเดิน และอาศัยประสบการณ์การขับรถของเขามาช่วย เขารู้แค่ว่าจะต้องไปทางเหนือ เขาจึงมุ่งหน้าตรงไปทางทิศเหนือ

 

 

ตอนนี้ยามเห็นครอบครัวตระกูลใหญ่อื่นๆ ก็เสมือนเป็นการยืนยันว่าเดินมาไม่ผิดทาง

 

 

สอง เมื่อพบเจอกับครอบครัวใหญ่จะไม่ให้ดีใจได้อย่างไร?

 

 

เพราะพบเจอคนที่สามารถเข้าใจและสามารถเข้าไปสอบถามได้ว่าพวกเขามาจากที่ไหนและจะที่ไปไหนกัน พวกเรายังต้องเดินอีกนานแค่ไหน ถึงจะสามารถไปถึงเมืองที่ท่านอ๋องเยี่ยน ปกครองอยู่?

 

 

เมื่อพวกเขาให้คำตอบมา แบบนี้พวกเราจะได้คำนวณได้ว่าจะต้องเดินทางอีกกี่วันกี่คืน อาหารการกินระหว่างเดินทางจะต้องกินต้องดื่มอย่างไร จะได้เตรียมความพร้อมไว้และจะได้มีเป้าหมายในการเดินทาง

 

 

อย่าคิดว่าคำถามเหล่านี้เป็นเรื่องง่าย นี่ไม่ใช่ว่าใครจะสามารถตอบได้

 

 

ตัวอย่างเช่น ผู้ลี้ภัยในหนึ่งร้อยคนนี้ ถ้ามีคนหนึ่งที่สามารถเข้าใจเรื่องเหล่านี้ได้ ก็นับว่าไม่เลวแล้ว

 

 

แค่ลองสุ่มจับผู้ลี้ภัยมาสอบถาม เขาจะต้องตอบกลับแบบนี้แน่ “ถ้าไม่อดตายก็เดินต่อไปข้างหน้า เดินไปข้างหน้าเท่าที่จะเดินได้ พูดเป็นขั้นตอนออกมาไม่ได้”

 

 

ก็ยังเป็นเหตุผลนั้น ข่าวสารในยุคโบราณถูกปิดกั้น ท่านอ๋องแต่ละท่านก็แบ่งอาณาเขตการปกครองเป็นหลายเขต อย่าว่าแต่จะออกมาเที่ยวเล่นได้เลย หลายปีมานี้มีแต่สงครามเกิดขึ้น ไม่มีเรื่องอะไร ใครจะกล้าออกมาเที่ยวเล่นข้างนอก

 

 

นอกจากนี้ ตอนนี้คนที่หนีตายออกมา ส่วนใหญ่แล้วจะมาจากที่เดียวกันกับพวกเขา มาจากทางตอนใต้มุ่งหน้าไปทางทิศเหนือ เดินทางตามกันมาเสมือนคนตาบอด ซึ่งในนี้ไม่มีคนทางเหนือเดินมาตามเส้นทางนี้เลย ข่าวสารที่ทุกคนได้รู้ก็มีอย่างจำกัดมาก

 

 

ต้องหาคนที่มีความสามารถ ต้องหาครอบครัวตระกูลใหญ่ มีแต่คนพวกนี้เท่านั้นถึงจะมีข้อมูลข่าวสาร รอบรู้มากกว่าประชาชนธรรมดาทั่วไปเพราะได้เห็นโลกกว้างมากกว่า หรือเคยเดินทางไปเที่ยวทางเหนือมาก่อน ต้องเดินทางอีกกี่วันถึงจะเข้าเมืองได้นั้นพวกเขาคงสามารถคาดคะเนได้

 

 

รถเข็นแต่ละคันหยุดลง ท่ามกลางสายตาอันตกตะลึงของทุกคน ซ่งฝูเซิงเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าผู้ชายที่จูงม้า โดยทิ้งระยะห่างห้าเมตร เขายกมือขึ้นทำการคารวะ

 

 

“สอบถามนายท่าน ท่านมาจากสถานที่แห่งไหน?”

 

 

เขาเข้าไปสอบถามปัญหากับคนอื่น เพื่อที่จะทำความคุ้นเคยกันก่อน

 

 

“ไสหัวออกไป!”

 

 

เพียงแค่ด่าว่า ‘ไสหัวออกไป’ ก็จะออกไปแต่โดยดีแล้ว แต่เพียงแค่พริบตาเดียวเขากลับมีดดาบออกมาชี้ที่อกซ่งฝูเซิงด้วย นี่คิดจะทำอะไรกัน?

 

 

ซ่งฝูหลิงรีบออกมาดู นางชักไม้กระบองที่ติดมีดตรงปลายขึ้นมา มีดแหลมบนหัวกระบองชี้ไปยังฝ่ายตรงข้าม นางเอ่ยด้วยสีหน้าร้อนรน “วางลงซะ! มิเช่นนั้นข้าจะแทงเจ้า!” นางถือไม้กระบองปลายมีดด้วยมืออันสั่นเทา

 

 

เฉียนเพ่ยอิงก็หน้าเปลี่ยนสี นางรีบวิ่งมาอย่างรวดเร็วจากด้านหลัง มาถึงก็ชี้หน้าด่าคนพวกนั้นไปด้วย “แค่ถามพวกเจ้าแค่สองสามประโยค ไม่ตอบก็ไม่เป็นไร นี่เจ้าทำเก่งมาจากไหนชักถึงดาบออกมา ไม่เกรงกลัวกฎหมาย!”

 

 

ในขณะเดียวกัน ทุกคนรวมทั้งคนเฒ่าคนแก่และเด็ก ต่างวิ่งกรูกันมาทั้งหมด

 

 

พวกเขามาล้อมรถม้า ม้าที่คนพวกนั้นขี่กันมา ตลอดจนชายฉกรรจ์เจ็ดคน พวกเขาตะโกนพร้อมกับเฉียนเพ่ยอิงด้วยดวงตาแดงก่ำ “วางลงซะ!” เหมือนกับว่าถ้าพวกเจ้าไม่วางอาวุธ พวกข้าก็จะลงไม้ลงมือกับพวกเจ้าเสียก่อน

 

 

ท่านย่าหม่าถือกระทะใบใหญ่ทำท่าจะพุ่งตัวออกไป “แม่เจ้า กล้าใช้ดาบชี้ลูกสามของข้าเลยเหรอ ข้าจะตีมันให้ตายเสียก่อน!”

 

 

เกิดเหตุการณ์พลิกผันเพียงแค่ชั่วพริบตาเดียว

 

 

ชายฉกรรจ์ทั้งเจ็ดคนถึงกับตกตะลึง พวกเขาไม่คาดคิดว่าผู้ลี้ภัยพวกนี้จะสามัคคีกันเช่นนี้

 

 

พวกเขารู้สึกเสียใจเล็กน้อย เพราะพวกเขายังไม่ได้ทำอะไรเลย

 

 

เพียงแค่ไม่อยากให้ซ่งฝูเซิงเดินหน้าเข้ามาหา อยากให้ซ่งฝูเซิงปิดปาก อย่าได้เข้ามาใกล้เพื่อมาขออาหารและอย่าได้มาวุ่นวายกับพวกเขาเท่านั้น

 

 

ตลอดการเดินทาง พบเห็นผู้ลี้ภัยมามาก การแต่งกายเหมือนกับพวกที่อยู่ตรงหน้านี้เลย

 

 

อีกทั้งพวกเขาก็ใช้วิธีการนี้จัดการกับคนอื่นมาโดยตลอด เพียงแค่ชักดาบออกมา คนพวกนั้นก็จากไปแต่โดยดี คิดไม่ถึงว่าการมาเอาน้ำที่นี่ จะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดขึ้น

 

 

แต่จะให้วางดาบลง ก็ดูเหมือนจะไม่ถูกต้อง

 

 

ถ้าไม่วางดาบ คนพวกนี้ต่างก็จะพากันขึ้นภูเขาเพื่อไปเอาน้ำ พวกเขาแค่เจ็ดคนก็คงจะจัดการคนร้อยกว่าคนพวกนี้ไม่ไหว โดยเฉพาะหญิงชรานางนั้น นางมีกระทะใบใหญ่สีดำอยู่ในมือทำท่าเหมือนจะเขวี้ยงมันมาใส่

 

 

“หยุดน่ะ!” มีเสียงผู้หญิงตะโกนสั่งการมาจากในรถม้า

 

 

เสียงของหญิงผู้นี้ไม่น่าฟังนัก น้ำเสียงแหบแห้ง ฟังดูก็รู้ว่าขาดน้ำ นั่งอยู่บนรถม้าแล้วยังไง? เจ้าได้นั่งอะไรตลอดการเดินทางที่ผ่านมา แต่ก็ยังขาดแคลนน้ำเหมือนกันสินะ

 

 

ชายฉกรรจ์รีบเก็บดาบในทันที เดินมาที่รถม้าแล้วทำความเคารพ “คุณหนู”

 

 

“นำรถเคลื่อนไปไกลหน่อย เจ้าก็เหมือนกัน คงไม่สามารถพูดถึงน้ำแข็งกับแมลงที่เติบโตในฤดูร้อนได้”

 

 

“หมายถึงอะไรกัน?” ทั้งสองฝ่ายต่างแยกทางกัน ท่านย่าหม่าตรวจดูร่างกายของซ่งฝูเซิงว่ามีตรงไหนบาดเจ็บหรือไม่ นางเอ่ยถามขึ้น

 

 

“นางดูแคลนพวกเรา”

 

 

“อ้อ ลูกสาม ต่อไปเจ้าไม่ต้องไปพูดกับคนพวกนั้นอีกแล้ว รู้หรือไม่?”

 

 

ท่านย่าหม่าไม่ได้รู้สึกว่าการดูถูกของพวกเขาเป็นปัญหาแต่อย่างใด เดิมทีก็แตกต่างกันกับพวกเขาราวฟ้ากับเหว ยามเห็นตระกูลใหญ่ออกเดินทาง ยังเคยคุกเข่าให้ตั้งหลายครั้งทั้งที่ไม่รู้ว่าคุกเข่าให้ใครด้วยซ้ำ

 

 

ดังนั้น นางยิ่งเป็นห่วงลูกชายว่าเพราะอะไรกันถึงต้องเข้าไปพูดคุย นางกำชับไม่ให้ทำเรื่องแบบนี้อีกเพราะมันอันตราย

 

 

เฉียนเพ่ยอิงก็ถามลูกสาว “คำพูดนั้นหมายถึงอะไร?”

 

 

ซ่งฝูหลิงกัดฟันก่อนเอ่ย “หญิงท่านนั้น ตกอยู่ในสภาพผู้ลี้ภัยก็ยังไม่ลืมที่จะวางตัวเป็นคุณหนูสูงศักดิ์ นางหมายความว่า ไม่ต้องไปเสียเวลาพูดจาไร้สาระกับคนที่ไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกัน”

 

 

คนยุคสมัยใหม่รับไม่ได้กับความคิดที่แบ่งชนชั้นวรรณะ เฉียนเพ่ยอิงพูดด้วยอารมณ์โมโห “ข้ารู้สึกว่า ผู้คนในที่นี้ดูเหมือนจะพูดจาธรรมดากันไม่ได้ สมองก็ไม่เหมือนคนอื่น แค่ถามทางแค่นี้ก็เกือบจะเอาชีวิตไม่รอด มีอะไรนิดหน่อยก็ชักดาบออกมาแล้ว สถานที่บ้าบออะไรกันเนี่ย!”

 

 

เดิมทีซ่งฝูเซิงอยากจะปลอบใจภรรยากับลูกสาวที่ไม่มีความทรงจำในยุคอดีต กลัวว่าพวกนางจะไม่รู้ตัวว่าตอนนี้อยู่ในยุคโบราณ ไม่จำเป็นที่จะต้องโมโหกับเรื่องพวกนี้ แต่เขาก็ไม่มีเวลามาอธิบาย

 

 

เพราะพวกเถียนสี่ฟากลัวว่าซ่งฝูเซิงไปถามทางแล้วจะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้นอีก ซ่งฝูเซิงเป็นคนสำคัญของพวกเขา ทั้งขบวนจำเป็นต้องปกป้องอย่างดี เขาจึงรีบเดินไปถามก่อน

 

 

พวกเขาหลายคนปีนขึ้นเขาไปสักพัก ก็เข้าไปล้อมคนหลายคนที่กำลังจะลงจากเขา คนพวกนี้คิดว่าพวกเขาจะมาแย่งน้ำ กำลังเตรียมพร้อมจะต่อสู้ เถียนสี่ฟาก็รีบบอกกับคนเหล่านั้นว่าเขาแค่จะมาสอบถามข่าวสารเท่านั้น

 

 

หลังจากนั้นก็สอบถามได้ข้อมูลว่า อย่าว่าแต่ในบริเวณโดยรอบร้อยลี้นี้เลย คาดว่าแม้แต่พันลี้ต่อไปข้างหน้า ก็ยังมีสภาพที่แห้งแล้งกันดาร มีชีวิตอยู่รอดมาจนถึงตรงนี้ได้นับว่าโชคดีมากแล้ว มีแต่สถานที่ตรงนี้เท่านั้นที่มีแหล่งน้ำ

 

 

ภูเขาลูกนี้มีชื่อเสียง ปีนขึ้นไปสูงถึงพันเมตร จะมีทั้งหุบเขาและปากทางขึ้น-ลงเขา บนภูเขามีน้ำไหลตลอดปี หลายพันปีมานี้ไม่เคยเหือดแห้ง บนภูเขามีแต่หญ้าขึ้นรกชัฏ ไม่มีต้นไม้ใหญ่ มีคนพูดกันว่าหญ้าหลายชนิดนั้นมีพิษ ไม่สามารถเก็บกินสุ่มสี่สุ่มห้าได้ มีอะไรแปลกๆ อยู่เยอะ ไม่เหมือนสถานที่อื่น

 

 

แต่บนภูเขา ตรงสถานที่ที่มีน้ำไหล มีพวกโจรคอยเฝ้าดูแลอยู่ หากต้องการตักน้ำจะต้องผ่านไปตรงนั้น ทุกคนจะต้องจ่ายค่าผ่านทางสองตำลึงเงิน ถึงจะปล่อยให้เดินไปตักน้ำได้

 

 

ถ้าเช่นนั้น ครั้งหนึ่งจะสามารถตักน้ำได้มากเท่าไร? หากโจรเกิดความโลภ ต้องจ่ายเงินเพิ่มอีกหรือไม่? คนพวกนั้นรีบส่ายหัวบอก โจรพวกนั้นมีเหตุผล พวกเขาไม่สนว่าจะตักน้ำกันไปมากเท่าไร ปัญหาที่สำคัญกว่าคือ เจ้าจะมีชีวิตรอดนำน้ำลงมาได้หรือไม่?

 

 

มีผู้ลี้ภัยหลายคนที่ไม่มีเงิน มีเยอะมากที่พักอยู่ตามทางขึ้นลงภูเขา พวกเขาไม่กล้าที่จะต่อกรกับพวกโจรที่ถือดาบใหญ่เป็นอาวุธ แต่กล้าที่จะดักฆ่าผู้ลี้ภัยที่ตักน้ำกลับมา

 

 

ดูคนพวกนี้สิ ต่างมีบาดแผลบนร่างกาย เพราะนอกจากจะต้องคอยปกป้องน้ำอันน้อยนิดที่อยู่ในกระบอกไม้ไผ่นั่นแล้ว ยังต้องวิ่งฝ่าวงล้อมคนเหล่านนั้นออกมาให้เร็วด้วย