ตอนที่ 112 / ตอนที่ 113

ทะลุมิติทั้งครอบครัว

ตอนที่ 112 

 

 

ซ่งฝูหลิงฟังเสร็จก็มีสีหน้าตื่นตระหนก “ท่านพ่อ” 

 

 

เพียงแค่คำเดียว ความหมายในคำนั้นก็ไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไรมาก บ้านเราไม่ได้ขาดน้ำ อย่างน้อยพวกเราหลายคนก็ยังไม่ขาดแคลนน้ำ ท่านอย่าขึ้นเขาไปเสี่ยงอันตรายโดยเด็ดขาด 

 

 

ซ่งฝูเซิงแววตาเป็นประกาย 

 

 

ความหมายจากสายตานั้นไม่ต้องอธิบายมากนัก แน่นอนอยู่แล้ว ข้าไม่ได้ป่วย เมื่อครู่มีคนถือดาบตวัดไปมา ข้าก็เกือบจะฉี่ราดอยู่แล้ว 

 

 

ซ่งฝูหลิงเอามือกุมหัวใจสูดลมหายใจลึกๆ แค่เวลาเพียงชั่วครู่ก็ถูกจี้ด้วยดาบ แล้วนี่ยังได้ยินว่าผู้ลี้ภัยแย่งน้ำกันเอง นางตื่นตะหนกจนรู้สึกหนาวๆ ร้อนๆ ไปทั่วร่างกาย อีกทั้งกลัวว่าพ่อของนางจะเป็นคนนำทางไปเอาน้ำด้วยตนเอง 

 

 

เฉียนเพ่ยอิง กลับรู้สึกดีขึ้นมาหน่อย เพราะนางเข้าใจสามีของนางเป็นอย่างดี 

 

 

ลูกสาวยังไม่เข้าใจ เหล่าซ่งชอบทำหน้าใหญ่ นิสัยดี เป็นพ่อที่สมบูรณ์แบบต่อหน้าลูกสาว 

 

 

แต่ซ่งฝูเซิงไม่ได้ขึ้นเขาไปก็ไม่ได้แปลว่าปัญหาจะคลี่คลายลง โดยเฉพาะหลังจากผ่านเหตุการณ์เมื่อครู่นี้ เรื่องนี้แสดงให้เห็นว่า ผู้คนในขบวนยิ่งมีเยอะเท่าไรก็จะยิ่งมีความปลอดภัยมากขึ้นเท่านั้น 

 

 

พวกช่างซ่อมรองเท้าหลายคนรีบร้อนมารวมอยู่ใกล้รถลากที่ซ่งหลี่เจิ้งอยู่ เพื่อที่จะมาปรึกษาหารือกัน 

 

 

ซ่งหลี่เจิ้ง “ภูเขานั่น เราต้องขึ้นไปแน่นอน ตอนนี้พวกเราไม่มีน้ำ เดินหน้าต่อไปสักพัก ฝูเซิง เจ้าพูดประโยคนั้นว่าอย่างไรนะ? คำพูดที่เจ้าพูดเมื่อตอนกลางวันน่ะ?” 

 

 

“พื้นที่แห้งแล้งหลายพันลี้ ไม่มีแม้กระทั่งต้นหญ้า” 

 

 

“ฟังสิ พวกเราเพิ่งเดินมาได้ไม่กี่ร้อยลี้เอง? ยังห่างจากพันลี้มากนัก ทางข้างหน้าก็คาดว่ายังคงแห้งแล้ง ข้าเดาว่าคงไม่มีน้ำอีกแล้ว แต่ละคนถึงได้เสี่ยงชีวิตขึ้นมาบนภูเขาลูกนี้กัน” 

 

 

ซ่งฝูเซิงพูดต่อ โดยเน้นส่วนสำคัญ 

 

 

“ปากทางขึ้นหุบเขา อยู่บนยอดเขาสูงพันเมตร หากจะปีนขึ้นไปตรงนั้นคงต้องใช้เวลาสักพัก… 

 

 

…ทางเดินขึ้นลง-เขานั้นคับแคบ ถ้าทุกคนเข็นรถขึ้นไปกันทั้งหมด มันคงลำบากมาก… 

 

 

…หลังจากได้น้ำมาแล้ว จะถูกคนห้อมล้อมโจมตีแย่งน้ำกันได้ง่ายและอาจถูกแย่งเสบียงอาหารด้วย ในการหลบหนีลี้ภัย มีทั้งคนเฒ่าคนแก่ ผู้หญิง เด็กโตและเด็กเล็ก ต้องเข็นรถด้วยจะยิ่งช้ามาก ดังนั้นตอนนี้ทุกคนจะต้องแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม… 

 

 

…กลุ่มหนึ่งรับผิดชอบอยู่ด้านล่างภูเขา คอยคุ้มครองปกป้องเสบียงอาหาร ท่านแม่ ภรรยา ลูกสาวและเด็กๆ… 

 

 

…ส่วนอีกกลุ่มหนึ่ง คอยรับหน้าที่ถือถังน้ำเพื่อขึ้นภูเขาไปตักน้ำ… 

 

 

…สองกลุ่มต่างก็มีอันตราย ดูเหมือนกลุ่มที่ต้องขึ้นเขาจะลำบากกว่า แต่กลุ่มที่อยู่ข้างล่างคอยเฝ้าอาหาร ก็นับว่าเสี่ยงอยู่เหมือนกัน… 

 

 

…โดยเฉพาะคนเฒ่าคนแก่ ผู้หญิง เด็กโต เด็กเล็กที่คอยถ่วง… 

 

 

…แต่หากมีผู้ลี้ภัยลงมาจากภูเขาจำนวนมากเพื่อมาแย่งชิงเสบียงอาหาร กลุ่มที่อยู่ด้านล่างของภูเขาอาจจะสามารถปกป้องอาหารได้ แต่จะไม่สามารถปกป้องเด็กๆ ได้” 

 

 

ซ่งหลี่เจิ้งพยักหน้า “ฝูเซิงพูดในส่วนสำคัญที่ควรพูดไปแล้ว ตกลงกันว่าใครจะขึ้นไปบนเขา ใครจะอยู่ข้างล่าง ทั้งสองกลุ่มต่างก็ลำบากเหมือนกัน พวกที่ขึ้นเขาจะต้องรักษาชีวิตไว้ให้ได้ อย่าบาดเจ็บ คนหนึ่งต้องสามารถถือน้ำหลายถังได้ด้วย คนที่จะทำหน้าที่คุ้มกันต้องมีกี่คน? พวกเราทุกคนต้องจ่ายค่าตักน้ำกันกี่คน?” 

 

 

ในขณะเดียวกัน เฉียนเพ่ยอิงก็กระซิบพูดคุยกับลูกสาว “ฝูหลิง คนหนึ่งต้องจ่ายสองตำลึงเงิน สองตำลึงนั้นมีค่าเท่าไรหรือ?” 

 

 

ซ่งฝูหลิงครุ่นคิด “ข้าก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน ถ้าหากคิดตามหนึ่งเหวิน (อีแปะ) เท่ากับหนึ่งหยวน สองตำลึงก็เท่ากับสองร้อยหยวน แต่ในยุคโบราณคงไม่ได้คำนวณแบบนี้ คงดูตามมูลค่าของสิ่งของ ตามสัดส่วนของเงินทอง คงไม่สามารถคำนวณได้ตรงเป๊ะแบบสัดส่วนหนึ่งต่อสิบ หนึ่งต่อหนึ่งร้อยแบบนั้น น่าจะได้ประมาณสองร้อยกว่าหยวนน่ะ ข้าคาดเดาเอานะ” 

 

 

เงินสองร้อยกว่าหยวนเพื่อซื้อน้ำ “ขายแพงกว่าแถวหมู่บ้านของพวกเราอีก เฮ้อ” 

 

 

ซ่งฝูหลิงคิดในใจ แพงกว่าน้ำในบาร์กับผับที่หนึ่งขวดราคายี่สิบห้าหยวน สามสิบหยวนด้วย ราคาแพงมากกว่าหลายเท่า แต่ตอนนี้ แม้แต่บ้านกับที่ดินยังทิ้งได้? หลบหนีลี้ภัยไง มาถึงสภาพนี้แล้วไม่ต้องคิดเรื่องเงินแล้ว มีชีวิตอยู่รอดให้ได้ก่อนสำคัญกว่า 

 

 

แต่ก็ยังถือว่าแพงมากๆ 

 

 

“ท่านแม่ ปีหนึ่งๆ พวกเขาทำงานหาเงินมาไม่ได้มากเท่าไร ไม่ได้ยินที่พ่อข้าพูดหรอกหรือ เขาให้ท่านป้าของข้ายืมเงิน สำหรับประชาชนคนธรรมดาแล้ว ถือว่าเป็นเงินจำนวนเยอะมาก… 

 

 

…ยังมีห่อผ้าเล็กๆ ที่ข้าสะพายอยู่นี้ นี่เป็นของท่านย่าของข้า… 

 

 

…ข้าบอกกับท่านว่า ในนี้ใส่เงินเก็บของท่านย่าไว้สี่ตำลึง นางพูดกับข้าเอง บอกว่าเป็นเงินสะสมที่เก็บมาครึ่งชีวิต ไม่ให้ข้าบอกใคร… 

 

 

…ท่านลองคำนวณดูสิ ในหนึ่งเดือน หนึ่งปี พวกเขาจะมีรายได้มากน้อยแค่ไหน ข้าสงสัยว่าคนที่เป็นชาวไร่ชาวนา คงต้องเก็บเงินหลายเดือนกว่าจะได้สองตำลึงเงิน” 

 

 

 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 113 

 

 

พวกผู้หญิงต่างพากันหาถุงผ้าขนาดใหญ่ออกมา แล้วนำถุงน้ำที่ว่างเปล่าของแต่ละบ้านใส่ลงไป รวมทั้งกระเพาะหมูที่ทำไว้ใช้ใส่น้ำ กระบอกน้ำไม้ไผ่ รวมใส่เข้าไปในถุงผ้าใหญ่นั้น  

 

 

นอกจากนี้ยังมีหญิงชราที่นำโถหลายใบใส่ลงไปในห่อผ้าอีกผืนหนึ่ง นำผ้ามาห่อแล้วผูกเป็นเงื่อน ถึงตอนนั้นเมื่อตักน้ำเสร็จ ก็สามารถนำโถน้ำแขวนไว้บนหน้าอกได้ 

 

 

ทางด้านครอบครัวของซ่งฝูเซิง 

 

 

ท่านย่าหม่าไม่เพียงนำถุงน้ำอันว่างเปล่าออกมาทั้งหมด นางยังนำถังน้ำเปล่าห้าลิตรมาแยกใส่ลงในสองถุงที่ค่อนข้างคงทน 

 

 

ใบหน้าของเด็กวัยสิบกว่าขวบ พวกเขาเตรียมพร้อมรอออกเดินทาง 

 

 

ชายหนุ่มแต่ละคนด้านหลังแบกถุงที่ใส่ถุงน้ำ ด้านหน้าแขวนห่อผ้าที่ด้านในบรรจุโถกับ อุปกรณ์ตักน้ำ 

 

 

ต้าหลัง หลานชายคนโตของซ่งฝูเซิง หลานชายหูจือ ด้านหน้าของชายหนุ่มสองคนนูนขึ้นมามาก เป็นเพราะว่าด้านในใส่ถังน้ำเปล่าขนาดห้าลิตร 

 

 

พวกเขาต้องปีนเขาขึ้นไปถึงพันเมตร ตักน้ำเสร็จแล้วก็ต้องลงจากเขา ลองจินตนาการตามได้ว่า ยามที่ตักน้ำจนเต็มแล้ว น้ำหนักที่ร่างกายต้องแบกรับจะหนักมากขนาดไหน 

 

 

ซ่งฝูหลิงที่ยืนมองอยู่ข้างๆ ถึงกับอึ้ง 

 

 

ตอนอยู่ในยุคปัจจุบัน นางก็เคยหิ้วถังน้ำขนาดห้าลิตรมาแล้ว นางหิ้วจากร้านค้าใต้ตึกกลับมาบ้าน ยังต้องขึ้นลิฟท์และวางของลง ไม่กล้าคิดเลยว่า พี่ต้าหลัง พี่หูจือ เมื่อต้องเติมน้ำสองถังนี้ให้เต็ม คนหนึ่งสะพายแขวนไว้บนไหล่ถังหนึ่ง ด้านหลังยังแบกถุงน้ำไว้ตั้งเยอะ หลังจากนั้นยังต้องเดินลงจากภูเขาสูงพันเมตรนี้อีก 

 

 

ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาจะใช้มือประคองไว้ก็ไม่ได้ เพราะมือของทุกคนก็ต้องหิ้วถังไม้สองถัง ด้านหน้า ด้านหลัง ทั้งสองมือ ชายหนุ่มแต่ละคนจะต้องแบกรับน้ำหนักของปริมาณน้ำทั้งหมด 

 

 

ซ่งฝูเซิงมองใบหน้าของพวกเขา “พวกเจ้ากลัวไหม?” 

 

 

“ไม่กลัว อาสามพูดสักสองประโยคให้ฟังก็ไม่กลัวแล้ว!” 

 

 

ซ่งฝูเซิงพยักหน้า “ใช่ อย่าได้กลัว เพราะพ่อของพวกเจ้า ลุงของพวกเจ้า พวกเขาต่างคอยคุ้มครองพวกเจ้าอยู่ข้างกายทั้งสองด้าน พวกเขาจะใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดที่มี ถึงแม้จะต้องตายก็จะไม่ยอมให้ใครมาทำร้ายพวกเจ้าได้ จงจำไว้ เมื่อพบเจอเหตุการณ์ใดก็ตาม อย่าคิดจะช่วยผู้ใหญ่สู้รบ พวกเจ้าไม่ต้องสนใจอะไรทั้งสิ้น มีหน้าที่แค่หิ้วน้ำลงมา ขอเพียงพวกเจ้าวิ่งได้อย่างรวดเร็ว พ่อกับลุงที่คอยคุ้มกันพวกเจ้าก็จะสามารถลงจากเขาได้เร็วขึ้นเช่นกัน” 

 

 

ซ่งฝูเซิงพูดคุยกับชายหนุ่มที่มีหน้าที่หิ้วน้ำจนจบ สายตาของเขาก็เหลือบมองชายฉกรรจ์ทั้งหลายที่คอยคุมกันชายหนุ่มพวกนี้ 

 

 

ด้านล่างภูเขาต้องคอยปกป้องเสบียงอาหาร เฝ้ารถ และยังมีคนเฒ่าคนแก่ ผู้หญิง เด็ก มีคนมากมายที่อยู่ที่นี่ ดังนั้นจึงมีเพียงชายหนุ่มสิบคน ที่ขึ้นไปบนเขาและจ่ายเงินเพื่อตักน้ำลงมา 

 

 

ชายหนุ่มแต่ละคู่ ด้านซ้ายและขวาจะมีชายฉกรรจ์สองคนคอยติดตามคุ้มกัน และยังมีชายอีกสิบกว่าคนที่ไม่สามารถเรียกได้ว่าเป็นวัยใช้แรงงาน เพราะมีอายุสี่สิบกว่าปีใกล้จะห้าสิบปีแล้วทั้งนั้น พวกเขาเป็นหน่วยเสริมเพิ่มจำนวนเข้าไปอยู่ในกลุ่มผู้คุ้มกัน มีหน้าที่รับผิดชอบเดินล้อมรอบชายหนุ่มที่หิ้วน้ำ ไม่ให้คนอื่นมองเห็นน้ำ และยังสามารถคอยช่วยถือถังน้ำไปด้วย 

 

 

กล้าที่จะต่อสู้ มีเรี่ยวแรงในการรบ ก็ยังสามารถสู้ตายได้เจ็ดแปดคน 

 

 

“สำหรับพวกท่าน ข้าจะไม่พูดอะไรไปมากกว่านี้แล้ว ต้องถือขวานกับมีดไว้ให้มั่น ถ้ามีเหตุจำเป็นก็ต้องลงมือฆ่า” เขาหันไปพูดกับเหล่าชายหนุ่มทั้งหลายที่เข้าไปสมทบจำนวนเป็นคนคุ้มกัน “ทันทีที่พวกเด็กๆ ตักน้ำเสร็จแล้ว พวกท่านก็จุดไฟ ข้าจะไม่ร้องขอให้พวกท่านฆ่าคน แต่ถ้ามีคนกล้าเข้าใกล้ ก็ใช้คบไฟลนไปที่พวกเขาได้” 

 

 

ซื่อจ้วงเดินออกมา เขาส่ายหัวให้กับซ่งฝูเซิงและชี้มือไปที่ลุงรองของซ่งฝูหลิง 

 

 

ซ่งฝูเซิงเข้าใจ ซื่อจ้วงไม่อยากขึ้นเขา ซื่อจ้วงคิดว่าหน้าที่ของเขาคือการคุ้มกันหมี่โซ่ว ปกป้องครอบครัวของเขา ดีที่สุดคือไม่อยู่ห่างกันแม้แต่ก้าวเดียว เขาอยากให้พี่รองไปขึ้นเขาแทนเขา 

 

 

ซ่งฝูเซิงเรียกซื่อจ้วงมายืนเกลี่ยกล่อมอยู่อีกด้านหนึ่ง 

 

 

“ซื่อจ้วง เจ้าดูพวกเขาสิ แต่ละคนรูปร่างกำยำน่าเกรงขาม ความจริงแล้วในนั้นมีเพียงพี่เขยข้ากับเจ้าเท่านั้นที่สามารถรับมือได้ พวกเขาทั้งหมดไม่เคยฆ่าใครมาก่อน และไม่ค่อยได้เห็นเลือด หากมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นอาจจะตกใจได้ง่าย เจ้าวางใจเถอะ ข้าจะอยู่ด้านล่างคอยเฝ้าเอง หากสถานการณ์ไม่ดี พวกเราจะหนีไปก่อน หากเจ้าเห็นรถเข็นที่ถูกทิ้งไว้ ก็ให้รีบพาพวกเขาตามพวกเรามาทันที” 

 

 

ซื่อจ้วงใช้เวลาคิดหนึ่งนาทีถึงยอมตกลง 

 

 

ออกเดินทาง กลุ่มคนขึ้นเขาเริ่มออกเดินทางแล้ว 

 

 

สักพักชายฉกรรจ์ก็พาชายหนุ่มไป ตอนนี้ในกลุ่มคนน้อยลงหลายสิบคน 

 

 

คนที่อยู่ด้านล่างภูเขาก็ไม่ได้ว่างนัก 

 

 

ซ่งหลี่เจิ้งถือไม้เท้ากำชับกับพวกชายฉกรรจ์ที่เหลืออยู่ “นำอาหารมากองรวมกันไว้ ถ้าเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นก็เข็นรถบรรทุกอาหารพวกนั้นไปก่อน ข้าวของอย่างอื่นพวกเราสามารถทิ้งมันไว้ได้” 

 

 

ซ่งฝูเซิงพูดกับท่านย่าหม่า “ท่านแม่ ท่านเรียกพวกผู้หญิงและเด็กที่ไม่สามารถวิ่งได้มารวมตัว คนที่แข้งขาไม่ค่อยดีมารวมตัว ให้พวกเขารออยู่บนรถ ส่วนที่เหลือพยายามช่วยกันขนของทำให้บนรถมีพื้นที่ว่าง เมื่อพวกเขาลงมาจากภูเขาจะได้มีพื้นที่ เอาภาชนะใส่น้ำวางไว้ให้เรียบร้อย พวกเราก็จะได้รีบหลบหนีทันที” 

 

 

“ได้ ได้สิ” 

 

 

เมื่อต้องคอยแบบหลบๆ ซ่อนๆ ทั้งต้องคอยคุ้มกันและแอบซ่อนไว้ ต้องนำอาหารของทุกครอบครัวมากองรวมกัน ซ่งฝูเซิงก็รู้สึกโมโห เขากัดฟันพูด “มีอาหารเหลือแค่สามคันรถนี้แล้ว? เพิ่งเดินทางไม่กี่วันเองนะ” 

 

 

ซ่งหลี่เจิ้งก็โมโหมาก โดยเฉพาะยามเมื่อเห็นพวกผู้หญิงแอบปาดน้ำตา 

 

 

พวกผู้หญิงไม่อยากจะร้องไห้สร้างความวุ่นวายเพิ่มในตอนนี้ แต่พวกนางเป็นห่วงพวกผู้ชายและลูกๆ ของตนที่ขึ้นเขาไปมากๆ 

 

 

เหอซื่อ ลูกสะใภ้คนโตของท่านย่าหม่าก็ร้องไห้ สามีกับลูกชายคนโตของนาง ครอบครัวน้องสอง ทำไมน้องสองถึงไม่ได้ไป ตอนนี้เจ้าจูซื่อ เจ้าทำไมถึงไม่บ่นว่าคนในครอบครัวใหญ่ของข้าว่าเอาเปรียบ ได้กินเยอะ? เจ้ากอดซ่งจินเป่า ดูท่าทางเจ้าช่างมีความสุข 

 

 

ซ่งหลี่เจิ้งพยายามระงับอารมณ์โกรธ แต่ก็ระงับไว้ไม่อยู่ “จะร้องไห้ทำไม!” 

 

 

“ร้องไห้เพราะว่า การมีชีวิตอยู่ไม่ง่ายเลย เพื่อน้ำดื่มแล้ว เราต้องสู้สุดชีวิต อาหารก็มีพอประทังชีวิตได้อีกไม่กี่วันแล้ว” 

 

 

“พวกเราเคยมีชีวิตที่สุขสบายตอนไหนมาก่อน!” 

 

 

คำพูดของซ่งหลี่เจิ้งช่างทิ่มแทงจิตใจคน 

 

 

ใช่สิ ถึงแม้ว่าจะหลบหนีลี้ภัย ทุกวันก็ต้องทำเพื่อให้มีอาหาร กินไม่อิ่มก็ต้องดิ้นรนสู้ต่อไป ควรจะคุ้นเคยอยู่ก่อนแล้ว นี่ยังจะร้องไห้อะไรกันอีก 

 

 

ในเวลานี้ พลันได้ยินเสียงพูดของผู้ชายที่ร่ำไห้ปานใจจะขาดด้วยความเศร้าโศกเสียใจ ดังจากบนเขาได้ยินมาจนถึงตีนเขา 

 

 

ถ้าบนภูเขามีผู้ลี้ภัยหลายพันคน จนถึงขั้นผู้ลี้ภัยหลายคนนี้ยอมอยู่ข้างบนเพื่อที่จะได้มีน้ำดื่ม คนที่อยู่ตีนเขานั้นจึงถือว่ามีจำนวนไม่มากนัก มีเพียงไม่กี่ร้อยคนเท่านั้น ส่วนใหญ่กำลังรอคนไปตักน้ำกลับมา 

 

 

มีทั้งครอบครัวใหญ่ มีทั้งที่อพยพลี้ภัยมาด้วยกัน แต่ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มคนเพียงไม่กี่คน กลุ่มละสามหรือห้าคน พวกเขาหมอบลงกับพื้นหรือไม่ก็นั่งรอคอยอย่างหมดแรงอยู่ตรงนั้น 

 

 

ดังนั้น เมื่อได้ยินเสียงร้องไห้อันเจ็บปวดของชายหนุ่ม ก็เห็นร่างของเขาที่เต็มไปด้วยเลือดกำลังวิ่งลงมาจากภูเขาเพื่อขอความช่วยเหลือ และจุดแรกที่มุ่งตรงไปก็คือรถม้าของคุณหนูท่านนั้น คนพวกนั้นพกดาบและมีม้า มองดูแล้วน่าจะเก่งกาจ 

 

 

แต่โชคร้าย พวกนั้นชักมีดพาดไปที่คอของเขา ทำให้เขาต้องถอยร่นกลับมา 

 

 

ชายหนุ่มหันหน้าไปขอความช่วยเหลือจากซ่งฝูเซิง เนื่องจากขบวนของพวกเขาที่อยู่ตีนเขามีจำนวนคนมากที่สุด 

 

 

“ขอร้องพวกท่าน ได้โปรดช่วยพ่อของข้าด้วย ท่านพ่อของข้าเป็นคนจิตใจดี อุตส่าห์บอกกับทุกคนว่าบนยอดเขามีน้ำ พวกเขากลับจะฆ่าพ่อของข้า และยังแย่งชิงเงินของพ่อข้าไป ตอนนี้…” ชายหนุ่มพูดพร้อมหายใจอย่างเหนื่อยหอบ 

 

 

ท่านย่าหม่ารีบดึงซ่งฝูเซิงไปหลบอยู่ด้านหลัง นางเดินหน้าไปถามด้วยความร้อนใจ “จ่ายเงินแล้วพวกโจรยังจะฆ่าฟันกันอีกหรือ?” 

 

 

“ไม่ใช่พวกโจร แต่เป็นคนในหมู่บ้านของพวกเรา พ่อของข้ายังดำรงตำแหน่งเป็นหลี่เจิ้งของพวกเขา ขอ ขอร้องพวกท่าน ช่วย ช่วยเหลือ…” ร่างของชายหนุ่มเต็มไปด้วยเลือด ที่หัวก็มีเลือดไหลลงมาไม่หยุด ยังไม่ทันที่จะพูดจบก็สลบไปเสียก่อน 

 

 

ซ่งหลี่เจิ้งฟังจนจบ เขาถึงกับเอามือกุมหัวใจ 

 

 

ถึงแม้ว่าเขาจะฟังไม่ชัดกับเนื้อหาครึ่งหนึ่ง แต่เข้าใจได้ว่าคนกลัวการเปรียบเทียบ 

 

 

ดูกลุ่มพวกเขาสิ เมื่อครู่รวบรวมเงินที่ต้องจ่ายค่าน้ำ ไม่มีใครตระหนี่เลย หากเข้าไปสิบคน แต่ละคนต้องจ่ายคนละสองตำลึง ปรากฏว่าเก็บเงินเยอะเกินไป แล้วพวกเขาคิดเงินเกินจำนวนไป เก็บเงินมากก็ล่าถอย ทุกคนยังพูดว่า “ถอยออกไปไหม ออกไปข้างนอกก็ต้องพกของเตรียมไปเยอะหน่อยเผื่อจะต้องใช้ ต้องรู้ว่าโจรภูเขามีเหตุผลหรือไม่ ถ้าพวกเขาเกิดเปลี่ยนใจมาเก็บเพิ่ม พวกเราจะได้มีให้” 

 

 

ขณะที่กำลังรอคอยอยู่นั้นก็มีเด็กสาวคนหนึ่งมาขอความช่วยเหลือกับพวกซ่งฝูเซิง 

 

 

เด็กสาวหายใจรวยริน นางสบตามองท่านย่าหม่าที่มองดูน่าจะใจดีมากที่สุด พึมพำเบาๆ “ท่านยาย ซื้อข้าไว้เป็นคนรับใช้เถอะ ให้ข้าได้ดื่มได้กินก็พอ ข้าสามารถทำอะไรได้ทุกอย่าง ขอร้องท่านหล่ะ” นางโขกหัวขอร้อง 

 

 

ท่านย่าหม่าเบือนหน้าหนี ไม่สามารถทนมองได้ นางคิดในใจ ข้าก็ยังอยากจะหาสถานที่ที่สามารถกินอยู่ฟรีเช่นกัน หากเป็นแบบนี้ต่อไป ข้าก็คงใกล้จะต้องขายหลานสาวตนเองแล้ว จะซื้อเจ้าได้อย่างไรล่ะ 

 

 

ในตอนนี้ คนที่ไปตักน้ำ เดินมาถึงบนยอดเขาแล้ว 

 

 

ที่น่าแปลกใจมากก็คือ โจรร้อยกว่าคนที่ถือดาบใหญ่อยู่ถือว่าเป็นโจรที่ดีมีสัจจะ 

 

 

ไม่ทำให้คนลำบาก พูดคำไหนเป็นคำนั้น หากจ่ายเงินแล้วก็ปล่อยคนเขาไปตักน้ำ ตักน้ำเสร็จขอเพียงเขารีบออกไปจากที่นี่โดยเร็วก็พอ 

 

 

เมื่อเปรียบเทียบโจรกับพวกลี้ภัยพวกนั้นแล้ว ถือว่าพวกเขาเป็นคนดีมาก