บทที่ 92 เรื่องใหญ่

ราชาซากศพ

บทที่ 92
เรื่องใหญ่

“มีอะไร? เถาจุนไม่อยู่ที่นี่งั้นหรือ?” หลินเว่ยขมวดคิ้วและถาม เขาไม่สนใจนักรบที่มองเขาด้วยสายตาสงสัย
“ข้ามีคำถาม” ทหารยามเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง เพราะคนที่กล้าเรียกชื่อเถาจุน แบบตรง ๆ ออกมาต้องเป็นคนเสียสติ หรือไม่ก็เป็นคนใหญ่โตอย่างแน่นอน
“ข้าคือ ผู้บัญชาการกิตติมศักดิ์ของเจ้า หลินเว่ย!” หลินเว่ยกล่าวอธิบายตัวตนของเขา
“ผู้บัญชาการกิตติมศักดิ์?”
“เขาเป็นผู้บัญชาการกิตติมศักดิ์ลึกลับ ข้าไม่คาดคิดว่าจะอายุน้อยขนาดนี้”

“คนแอบอ้างหรือไม่…..ว่ากันว่าความแข็งแกร่งของผู้บัญชาการกิตติมศักดิ์นั้น แข็งแกร่งในระดับขุนศึกชายคนนี้ดูเด็กเกินไป!”
เมื่อได้ยินตัวตนของหลินเว่ย ทหารที่อยู่รอบตัวเขาก็ลุกพรวดพราดเข้ามา
“ทำไม! นายน้อยหลิน….ท่านกลับมาแล้ว” ในขณะที่พวกเขาถกเถียงกัน มีคนในฝูงชนพูดขึ้น
“พี่หก…. เขาเป็นผู้นำกิตติมศักดิ์ของพวกเราจริงๆหรือ?” นักรบคนหนึ่ง คว้ามือของผู้ที่เอ่ยขึ้นมาและถามขึ้น

“แน่นอน…ยังมัวมาวุ่นวายอะไรที่นี่! รีบเปิดประตู ข้าจะเชิญผู้บัญชาการกิตติมศักดิ์กลับไปยังที่พักของเขา” ชายคนหนึ่งพยักหน้ายืนยัน และตำหนิทหารรอบ ๆ ตัว อย่างรวดเร็ว เขาและไปเปิดประตูกลางให้หลินเว่ย เดินเข้าไป

เมื่อได้ยินคำพูดชายคนนั้น ทหารยามก็วิ่งไปเปิดประตูอย่างเร่งรีบ เพราะพี่หกเป็นผู้อาวุโสของกองทหารรับจ้างโลกันตร์ พวกเขาไม่มีทางไม่เชื่อในสิ่งที่เขาพูด
เมื่อเขารู้จักตัวตนของหลินเว่ย คนรอบข้างก็หยุดพูด แม้ว่าจะมีเสียงกระซิบกระซาบ แต่เบาลงอย่างมาก
ไม่นานนัก กลุ่มคนก็ออกมาจากประตูอย่างรีบร้อน ผู้นำหน้ามาก็คือเถาจุน หลินเว่ยรู้สึกได้อย่างชัดเจนถึงรอยประทับที่เขาทิ้งไว้ให้
“นายน้อย….ท่านกลับมาแล้ว!” เถาจุนดูตื่นเต้น คุกเข่าต่อหน้าหลินเว่ย และพูดด้วยความยินดีออกมาจากใจ
“อืม! ลุกขึ้น! เมื่อมีผู้คนมากมายอยู่รอบตัว เจ้าต้องรักษาเกียรติเอาไว้บ้างสิ” หลินเว่ยเดินมาข้างหน้า และประคองเถาจุนพลางเอ่ยหยอกเย้า
“หากไม่มีท่าน ก็ไม่มีข้าในวันนี้” เถาจุนกล่าวด้วยความเคารพ
“อืม! ไปกันเถอะ เข้าไปคุยข้างในกันเถอะ” หลินเว่ยพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ และพูดด้วยรอยยิ้ม

“ดูข้าสิ…เลอะเลือน ปล่อยให้ท่านยืนอยู่ที่นี่ได้อย่างไร ข้าจะนำทางท่านเอง “เมื่อนั้นเถาจุนและหลินเว่ย ก็เดินเข้าไปในประตู ผ่านอาคารต่าง ๆ และตรงไปที่ห้องโถงประชุม
ที่นี่ไม่เหมือนที่อยู่อาศัยของตระกูลใหญ่โต เนื่องจากมีผู้คนจำนวนมากจึงแบ่งออกเป็นสามด้าน คือประตูด้านนอก และประตูด้านใน ประตูด้านนอกมีผู้คนจำนวนมากที่สุด ซึ่งเป็นสัดส่วนเกือบครึ่งหนึ่งของพื้นที่ ประตูด้านในเป็นที่อยู่อาศัยของตำแหน่งระดับกลางและสูง และหลัก ๆ คือสถานที่ที่เถาจุนและรองผู้นำหลายคนอาศัยอยู่

สถานที่ที่เถาจุนพาหลินเว่ยมา เป็นส่วนของสถานที่อยู่อาศัยของตำแหน่งผู้นำระดับสูง หลินเว่ยพบว่ากองทหารรับจ้างโลกันตร์นั้นมีมากกว่า 20,000 คนที่ฮ่าวเค่อกล่าว ในความเห็นของหลินเว่ยจำนวนเพิ่มขึ้นเกือบสองเท่า
เนื่องจากมีสมาชิกในครอบครัวจำนวนมากอาศัยอยู่ในจวนหยางฝู หลินเว่ยสามารถเห็นคนหนุ่มสาวหลายร้อยคน ที่เป็นผู้ฝึกศิลปะการต่อสู้ด้านนอกประตู

“ทุกคนนั่งลง..ไม่ต้องยืน! ข้าไม่ได้เคร่งครัดมากมาย” ภายในห้องประชุม หลินเว่ยซึ่งนั่งอยู่ในที่นั่งปกติของเถาจุน อ้าปากพูดกับทุกคนที่อยู่ตรงหน้าเขา
“นายน้อยขอให้พวกเจ้านั่งลงเร็ว ๆ เอาล่ะ ทุกคนนั่งลงไปซะ” หลังจากที่หลินเว่ยพูดจบ เถาจุนก็เห็นคนที่ยืนอยู่ข้างหลังเขา ไม่ยอมทำตามคำสั่งของหลินเว่ยและมองมาที่เขาแทน เถาจุนจึงเริ่มตำหนิอย่างรวดเร็ว เขากลัวว่าหลินเว่ยอาจเข้าใจผิด
เมื่อได้ยินคำพูดของเถาจุน ฝูงชนก็เริ่มเคลื่อนไหวในที่สุด พวกเขาพบที่นั่งของพวกเขาและนั่งลงไป จากนั้นพวกเขาทั้งหมดก็มองไปที่หลินเว่ย
หลินเว่ยไม่ได้สนใจคนเหล่านี้ ในปีที่ผ่านมาค่ายทหารรับจ้างโลกันตร์ ได้พัฒนาอย่างรวดเร็ว จนมีใบหน้าใหม่ ๆ หลายคนปรากฏขึ้นมากมาย อย่างไรก็ตามเขาเป็นผู้นำที่นี่
“นายน้อย….ให้ข้าแนะนำให้ท่านรู้จักหลาย ๆ คน” หลังจากนั้น เถาจุนเห็นว่าหลินเว่ยไม่ได้พูดอะไร เขาจึงอาสาแนะนำตัวให้

“ดี!” หลินเว่ยพยักหน้าเห็นด้วยกับข้อเสนอของเถาจุน
“นายน้อย…ทั้งสามคนนี้เป็นรองหัวหน้าของทหารรับจ้างโลกันตร์ ท่านน่าจะจำได้ หลินเอ้อเป็นคนแรกที่ติดตามเรามา เจ้าคนที่อยู่ข้างๆเขาก็เป็นอาวุโสที่ออกมาจากเมืองหมั่นฉีพร้อมกับเรา ที่เหลือคืออาวุโสคนหนึ่ง เขาเป็นคนรู้จักเก่าแก่ของท่าน”
เถาจุนชี้ไปที่สามคนที่อยู่ข้างๆเขา
“นายน้อย!” เมื่อทั้งสามคนเห็นเถาจุนพูดจบ พวกเขาก็ลุกขึ้นยืนอย่างเร่งรีบ และกล่าวด้วยเสียงหนึ่ง ถึงคำแสดงความเคารพของหลินเว่ย
“ดี! ดี! นั่งลงเถิด แม้ว่าหลินเว่ยจะไม่รู้ว่าทั้งสามคนจริงใจหรือไม่? แต่เขาก็ยังพยักหน้าด้วยความพึงพอใจและกล่าวให้นั่งลง

“ขอรับ! นายน้อย เมื่อได้ยินคำพูดของหลินเว่ย พวกเขาไม่ได้มองเถาจุนอีกต่อไป ในครั้งนี้พวกเขากลับนั่งลงไปตามคำสั่งของหลินเว่ย

“นายน้อย พี่น้องทั้ง 18 คนนี้ ในฐานะผู้นำในแต่ละกองพล พวกเขาทั้งหมดได้รับการฝึกฝนจากท่าน ในตอนเริ่มแรก และพวกเขามีความภักดีอย่างแน่นอน” เถาจุนกล่าวด้วยความภาคภูมิใจ
“นายน้อย!” ชายอายุสิบแปดยืนขึ้น และแสดงความเคารพต่อหลินเว่ย เช่นเดียวกับรองผู้บัญชาการทั้งสามคน

“เมื่อได้ยินว่า พวกเขานั้นมีความภักดีอย่างแท้จริง ดวงตาของหลินเว่ยก็สว่างขึ้น เขารู้ว่าเถาจุนหมายถึงเรื่องใด เขาให้เถาจุนฝึกฝนกลุ่มคนจำนวนน้อยนิด แต่พวกเขาก็ถูกคัดเลือกมาอย่างดี

“เล่าเกี่ยวกับสถานการณ์ในค่ายมา! ข้าได้ยินมาว่า พวกเราเกี่ยวข้องกับสงครามการแย่งชิงของตระกูลไป๋” หลังจากที่เถาจุนแนะนำตัวนายทหารทั้งหมดเสร็จสิ้น หลินเว่ยก็เอ่ยถาม

“ตอนนี้ เรามีขุนศึกขั้นห้าและยังมีนักรบขั้นสี่ประมาณ 200 คน และนักรบขั้นสามเกือบ 10,000 คน ในค่ายทหาร ส่วนที่เหลือยังเป็นระดับนักรบ และส่วนที่เหลือก็เป็นสมาชิกของกองทหารกองหนุน
กับคนรับใช้จิปาถะ มีจำนวนทั้งหมดประมาณ 50,000” เถาจุนมองอย่างภาคภูมิใจและพูดอย่างตื่นเต้น
จากนั้นการแสดงออกของเขาก็เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว และใบหน้าของเขาก็มืดมนและเขากล่าวว่า: “ตั้งแต่การเป็นพันธมิตรระหว่างตระกูลซุยและตระกูลหลิวเกิดขึ้นรวมทั้ง ชิวหลิงถัง พวกเขาได้ตัดสินใจที่จะเข้าควบคุมเมืองเฮยสุ่ย
กองกำลังหลายฝ่ายได้ร่วมมือกัน บางกลุ่มเป็นคนที่เมื่อในอดีตเป็นพันธมิตรกับตระกูลไป๋ ในช่วงเวลาปกติ พวกเขาย่อมไม่กล้าต่อสู้กับตระกูลไป๋โดยตรง แต่ตอนนี้สถานการณ์มันแตกต่างออกไป เมืองเฮยสุ่ยถูกสัตว์อสูรปิดล้อม
อยู่นอกการควบคุมของเจ้าเมืองเฮยสุ่ย ดังนั้นพวกเขาจึงเกิดความคิดนี้

“แล้วมันเกี่ยวข้องอะไรกับเรา? เมื่อสุนัขอยากจะกัดกัน เรามีนักรบมากมาย ความแข็งแกร่งของเราไม่สามารถดูแคลนได้ ทำไมเจ้าถึงเข้าร่วมกับตระกูลไป๋” หลินเว่ยถามอย่างสงสัย
“แน่นอนว่า….ตระกูลซุยและตระกูลเย่ต่อสู้กันมานาน แต่ตระกูลเย่นั้นสูญเสียพันธมิตรจากตระกูลหลิว พวกเขาจึงคิดว่า พวกเขาสามารถยึดตระกูลเย่ได้อย่างง่ายดาย ดังนั้นใน พวกเขาร่วมมือกันหมายจะเข้ายึดครองตระกูลเย่

อย่างไรก็ตามเราเป็นพันธมิตรกับตระกูลเย่ และพึ่งพาการดูแลของตระกูลเย่ในช่วงแรก ดังนั้นเราจึงไม่สามารถทรยศต่อบุญคุณความช่วยเหลือของพวกเขาได้ ” เถาจุนกล่าวอย่างหมดหนทาง ตามที่เถาจุนคิด..มันเป็นเรื่องของคุณธรรมที่ควรยึดถือไว้