EP.71****เฟิงจี้สิง

เปลวไฟร้อนระอุลุกโหมขึ้นเป็นสาย แล้วเลื้อยขึ้นเหนือร่างมังกรกลด นี่คือวิญญาณอายุสามพันสองร้อยปีของมังกรกลด และเป็นที่สถิตของแก่นวิญญาณส่วนที่บริสุทธิ์ที่สุดของมัน

“อาอวี่ เร็วเข้า ตอนนี้แหละ!”

“อืม!”

หลินมู่อวี่รีบเรียกวิญญาณยุทธ์ออกมา น้ำเต้าสีแดงเปลี่ยนรูปร่างจนมีขนาดที่ใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็ว และเริ่มดูดซับวิญญาณของมังกรกลดอย่างตะกละตะกลาม ขณะเดียวกันหลินมู่อวี่ก็เรียกติ่งหลอมอาวุธออกมา ติ่งหลอมอาวุธปรากฏออกมาในรูปของพลังงานและห่อคลุมตัวคนกับสัตว์วิญญาณเอาไว้ ภูตระบบลู่ลู่กระพือปีกโปร่งแสงบินออกมา ส่งเสียงหัวเราะ

“พี่ชาย จะหลอมวิญญาณสัตว์ดวงนี้ให้ได้อย่างสมบูรณ์นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ท่านจะต้องมีน้ำที่เพียงพอสำหรับระบายความร้อนของเปลวไฟในวิญญาณมังกรกลด”

“อือ” หลินมู่อวี่เบนสายตาไปยังฉู่เหยาที่อยู่ด้านข้าง แล้วพูด “พี่ฉู่เหยา ช่วยหาน้ำมาให้ข้าที”

“ได้!”

ระหว่างทางที่มาพวกเขาเดินผ่านลำธารเล็กๆ แห่งหนึ่ง ฉู่เหยารีบหยิบถุงใส่น้ำแล้ววิ่งไปทันที หลังจากผ่านไปสิบนาทีนางก็กลับมา แล้วเทน้ำในถุงลงในกลุ่มเงาพลังงานที่ลอยอยู่กลางอากาศ เห็นเพียงน้ำที่ไหลลงมาเป็นสายนั้นเคลื่อนที่ไปตามแรงลม แล้วค่อยๆ ระเหยเป็นไอจนหมดอย่างช้าๆ มหัศจรรย์ยิ่งนัก ฉู่เหยาเคยเห็นการหลอมวิญญาณสัตว์ แต่ไม่เคยเห็นวิธีการหลอมแบบนี้ของหลินมู่อวี่มาก่อน

น้ำช่วยดับพลังที่บ้าคลั่งจากวิญญาณสัตว์ หลินมู่อวี่กางแขนทั้งสองข้างออก ปราณแท้กลายรูปเป็นมือขนาดใหญ่ไล่จับวิญญาณสัตว์ เขาต้องการหาส่วนที่เป็นแก่นที่บริสุทธิ์ที่สุดของมัน มีแต่หลอมส่วนนี้เท่านั้นถึงจะได้รับทักษะของสัตว์วิญญาณ

เป็นเวลาเกือบยี่สิบนาที ในที่สุดก็หาสายวิญญาณสัตว์ทรงพลังเจอ แถมยังบริสุทธ์มากอีกด้วย ตอนที่หลินมู่อวี่พยายามคว้ามันไว้นั้น ก็ถูกตอบโต้กลับอย่างรุนแรง ไม่นานหน้าผากของเขาก็เต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อ แต่เขายังคงไม่ยอมแพ้ การต่อสู้ดำเนินไปเกือบห้านาที ในที่สุดพลังสายนั้นก็ยอมเข้าไปอยู่ในติ่งหลอมอาวุธแต่โดยดี

“ฟู่!”

หลินมู่อวี่พ่นลมหายใจแล้วลืมตาขึ้น ติ่งหลอมอาวุธกลายเป็นหมอกควัน วิญญาณของมังกรกลดตัวนี้ถูกเขาหลอมอย่างหมดจดสมบูรณ์ และยังได้รับทักษะใหม่อีกด้วย

“ยินดีด้วยพี่ชาย ทักษะนี้คือเกล็ดมังกรเปลี่ยนเป็นปราการป้องกัน พี่ชายจะตั้งชื่อมันว่าอะไรดี” ลู่ลู่ยิ้มสดใส

“ชื่อปราการเกล็ดมังกรก็แล้วกัน!”

“อือ”

ในตอนนี้น้ำเต้าได้กลายเป็นสีส้มแล้ว หลินมู่อวี่คำราม ทันใดนั้นพลังมังกรอันทรงพลังก็พรั่งพรูออกมาบนกำแพงน้ำเต้าอย่างรวดเร็ว ก่อตัวเป็นปราการป้องกันที่มีลักษณะเป็นเกล็ดสีส้มชั้นหนึ่งที่รอบนอกของกำแพงน้ำเต้า นั่นก็คือปราการเกล็ดมังกร ซึ่งหมายความว่าความสามารถในการป้องกันของหลินมู่อวี่นั้นแข็งแกร่งขึ้นอย่างมาก ฝ่ายตรงข้ามจำต้องโจมตีเอาชนะกระดองเต่าทมิฬให้ได้เสียก่อน แล้วค่อยโจมตีปราการเกล็ดมังกรจึงจะสามารถทำร้ายถึงตัวเขาได้ และพลังของปราการเกล็ดมังกรนี้ก็แข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง ชัดเจนว่าแข็งแกร่งกว่าพลังการป้องกันของกระดองเต่าทมิฬมิใช่น้อย!

ขณะเดียวกัน เขาสูดหายใจเข้าลึก หลังจากเร่งพลังปราณ เขาก็กำหมัดแล้วสะบัดแขน เขารู้สึกถึงพลังอันน่าอัศจรรย์ค่อยๆ ก่อตัวขึ้นบนแขน แล้วกลายเป็นเกราะปราณป้องกันแขนขวาของเขาเอาไว้

ฉู่เหยาหัวเราะด้วยความประหลาดใจ “เกราะปราณ! ยินดีด้วยอาอวี่ เจ้าเข้าสู่ขอบเขตปฐพีชั้นที่สามแล้ว ตอนนี้น่าจะเป็นปราชญ์สงครามระดับที่ห้าสิบแล้ว!”

หลินมู่อวี่ดีใจเป็นอย่างยิ่ง ความสุขมาอย่างกะทันหันเสียจริง มังกรกลดตัวนี้หากไม่ได้รับบาดเจ็บ เกรงว่าตนคงไม่มีโอกาสชนะมัน และไม่แน่ว่าอาจจะเป็นฝ่ายที่โดนมันกินเข้าไปก็เป็นได้!

ในตอนนี้เอง จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าม้าควบดังมาแต่ไกล แม่ทัพในชุดเกราะสีทองถือดาบเล่มโตพุ่งตรงเข้ามา แต่สายตาเขากลับไปหยุดอยู่ที่ร่างมังกรกลดที่อยู่ด้านข้าง

เฟิงจี้สิงพลิกตัวลงจากหลังม้า ด้วยใบหน้าและท่าทางที่ดูสง่างามยิ่งนัก มือที่กำอาวุธอยู่นั้นกำแน่นขึ้นไปอีก

“มังกรกลดตัวนี้…เจ้าฆ่ามันหรือ” เขามองหลินมู่อวี่ด้วยสายตาเย็นชา

หลินมู่อวี่หน้าขรึมทันที เขารู้ว่าผู้ที่มาเยือนมิใช่คนที่จะจัดการได้โดยง่าย กระทั่งกลิ่นอายบนร่างของเขา หลินมู่อวี่ยังมิอาจคาดเดาได้เลย ราวกับพลังของคนผู้นี้ตนเองมิอาจสัมผัสรับรู้ได้ หลินมู่อวี่เดินขึ้นไปยืนขวางอยู่หน้าฉู่เหยา “ถูกต้อง ข้าฆ่ามันเอง และวิญญาณสัตว์ก็ถูกข้าหลอมไปหมดแล้วด้วย”

“หลอมวิญญาณสัตว์ของมังกรกลดที่อายุสามพันสองร้อยปีโดยสมบูรณ์?” เฟิงจี้สิงเงยหน้ามองเขาอีกครั้ง หัวเราะอย่างเยือกเย็น “ไม่เลวนี่ ดูท่าเจ้าจะมีโชคเสียจริง”

หลินมู่อวี่ “นั่นสินะ…”

“แต่ว่า เจ้ารู้หรือไม่ว่าสัตว์วิญญาณตัวนี้เป็นของใคร” สีหน้าของเฟิงจี้สิงเปลี่ยนทันควัน “แม้แต่เหยื่อขององค์หญิงอินยังกล้าขโมย เจ้าเด็กน้อย เจ้านี่ช่างไม่กลัวตายซะจริง!”

หลินมู่อวี่ค่อยๆ ชักกระบี่เหลียวหยวนออกมา “ต้องขอโทษด้วย ข้าไม่รู้ว่าสัตว์วิญญาณตัวนี้บาดเจ็บเพราะถูกคนไล่ฆ่า แต่หากท่านต้องการจะฆ่าข้า มันก็ไม่ได้ง่ายขนาดนั้น”

“งั้นหรือ”

เฟิงจี้สิงหัวเราะเบาๆ ปราณสีขาวน้ำนมค่อยๆ ไหลเวียนอยู่บนคมมีด เสื้อคลุมสีขาวที่อยู่ด้านหลังกระพือขึ้นเองโดยไร้แรงลม เสื้อคลุมสีขาวชนิดนี้ถูกตัดเย็บอย่างประณีตและพิถีพิถัน หลินมู่อวี่เห็นแล้วรู้สึกคุ้นตา แต่คิดไม่ออกว่าเคยเห็นจากที่ใดมาก่อน

กลับเป็นฉู่เหยาที่มองออก นางพูดด้วยความประหลาดใจ “ปราณสีขาว…นั่นมันปราณยุทธ์! สวรรค์ คนผู้นี้มีความสามารถใช้ปราณยุทธ์ คนผู้นี้เป็นยอดฝีมือขอบเขตนภา!”

ปราณยุทธ์สีขาว เป็นสัญลักษณ์ของพลัง ผู้ฝึกยุทธ์ทุกคนต้องฝ่าฟันจนถึงระดับที่หกสิบถึงจะเข้าสู่ขอบเขตนภา และสามารถเปลี่ยนปราณแท้ให้กลายเป็นปราณยุทธ์ที่แข็งแกร่งกว่าได้ ในจักรวรรดิฉิน ผู้ที่สามารถเรียกปราณยุทธ์ออกมาได้ ก็ถือว่ามีคุณสมบัติเพียงพอที่จะจัดเป็นยอดฝีมือแถวหน้าได้แล้ว

เฟิงจี้สิงยกมุมปาก พูดเสียงเรียบ “ขอบเขตนภาระดับหกสิบสี่ เฟิงจี้สิง ชี้แนะด้วย!”

หลินมู่อวี่เรียกกำแพงน้ำเต้าออกมา พูดเสียงเรียบเช่นกัน “ขอบเขตปฐพีระดับห้าสิบ หลินมู่อวี่ น้อมรับคำสั่งสอน!”

ระดับพลังแตกต่างมากเกินไป!

แต่เขาจะไม่สู้ไม่ได้ เพื่อตัวเอง และเพื่อฉู่เหยา

กระดองเต่าทมิฬก่อตัวขึ้นด้านนอกปราการเกล็ดมังกร หลินมู่อวี่ใช้ปราณแท้มากกว่าแปดสิบเปอร์เซ็นต์ไปเป็นพลังป้องกัน เขาไม่ได้วางแผนเลยว่าจะอาศัยการบุกโจมตีชนะคู่ต่อสู้ได้ พลังของคนที่อยู่ตรงหน้านี้เพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้ตัวเขาเองรู้สึกหายใจติดขัด นอกจากชวีฉู่แล้ว เขาไม่เคยพบเจอผู้ฝึกยุทธ์ที่ฝีมือสูงส่งเช่นนี้เลย!

หลังจากเฟิงจี้สิงใส่ปราณยุทธ์ที่ดุดันเข้าไปในดาบกว้าง ก็พุ่งเข้าประชิดทันที ร่างนั้นเคลื่อนเข้ามาใช้ดาบฟัน

แต่สิ่งที่ทำให้เขาคาดไม่ถึงก็คือ เจ้าเด็กที่อยู่ตรงข้ามนี้กลับเคลื่อนตัวหลบได้อย่างสบาย จังหวะการย่างก้าวดูราวกับดาวตก ไม่ชักช้ายืดยาดสักนิด

เขาหมุนตัวแล้ววาดกระบี่ออกไปอีกครั้ง!

“เปรี้ยง!”

เมื่อพลังปะทะเข้าหากัน หลินมู่อวี่สั่นสะท้านไปทั้งร่าง กระดองเต่าทมิฬรอบนอกแตกสลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยในพริบตา คนผู้นี้อออาวุธได้รวดเร็วยิ่งนัก เร็วถึงขนาดที่ว่าใช้ฝีเท้าดาวตกก็ยังไม่มีทางหลบพ้น แถมพลังดาบก็ดุดัน โจมตีเพียงครั้งเดียว กระดองเต่าทมิฬก็แตกสลายได้!

“เปรี้ยง เปรี้ยง!”

โจมตีเข้าไปอีกสองครั้ง คมดาบของเฟิงจี้สิงฟาดใส่ปราการเกล็ดมังกรอย่างที่มิอาจต้านทานได้ ทำให้เลือดลมของหลินมู่อวี่ปั่นป่วน ปราการเกล็ดมังกรก็เริ่มแตกละเอียด การโจมตีครั้งถัดไปของอีกฝ่ายต้องทำให้ตัวเขาพ่ายแพ้อย่างแน่นอน จะต้องโจมตีกลับ!

“พันธนาการ!”

เท้าสองข้างที่เหยียบอยู่บนพื้นของเฟิงจี้สิงถูกเถาวัลย์น้ำเต้าที่พุ่งขึ้นมาอย่างรวดเร็วพันธนาการตรึงไว้แน่น

“นี่มันอะไร”

เฟิงจี้สิงตกตะลึง จากนั้นมุมปากก็ปรากฏรอยยิ้ม เคลื่อนพลังไปที่ขาทั้งสองข้างแล้วยกขึ้น ปราณยุทธ์ที่เย็นเยียบก็ทำลายเถาวัลย์น้ำเต้าจนแหลกป่นปี้ แต่จังหวะที่เขาก้มหน้าลง กลับเห็นดอกน้ำเต้าดอกหนึ่งอยู่ตรงหน้าตนเอง จู่ๆ ก็เกิดความรู้สึกไม่ปลอดภัยขึ้นมา รีบกวัดแกว่งดาบยาวอย่างรวดเร็ว ตะโกนเสียงดัง “ระบำดาบ!”

คมดาบร่ายรำเคลื่อนที่อย่างรวดเร็ว นำพาให้เกิดลมแรงขึ้น นึกไม่ถึงว่าจะพัดของเหลวพิษทั้งหมดให้กระจายออกไป

นี่ยังไม่หมด เสียงหวีดแหลมดังขึ้นที่ข้างหู เฟิงจี้สิงเย็นสะท้านไปถึงก้นบึ้งของหัวใจ “เจ้าเด็กบ้ามีกี่วิชากันวะนี่”

เขาหมุนตัวกลับอย่างฉับพลัน “เคร้ง” ดาบใหญ่ฟันลงไปอย่างเกรี้ยวกราด คิดไม่ถึงว่าแขนจะเกิดอาการชา มีดเสียงปีศาจถูกเขาใช้ดาบฟันจนกระเด็นออกไป ร่างกายของเขาก็ร่วงลงพื้นตามแรงโน้มถ่วงโลก ดาบยาวาะบัดกำลังจะฟาดไปที่ไหล่ของหลินมู่อวี่อย่างหนักหน่วง

หลินมู่อวี่สูดหายใจเข้าลึก ยกมือขวาขึ้นอย่างเหี้ยมหาญ ปล่อยหมัดเสียงปีศาจไปหนึ่งครั้ง!

“ตูม!”

ปราณจากหมัดเสียงปีศาจปะทุออกมา เฟิงจี้สิงรู้สึกหายใจไม่ออกอยู่พักหนึ่ง แต่ระดับความแข็งแกร่งของการโจมตีเช่นนี้เห็นได้ชัดว่าไม่มีทางทำอันตรายร่างกายที่ผ่านการต่อสู้มาอย่างโชกโชนของเขาได้!

“ตึง!”

ดาบเล่มโตกับกระบี่เหลียวหยวนปะทะเข้าหากันอย่างดุดัน ปราณของหลินมู่อวี่ก็แตกซ่านจนสิ้นทันที เขากระอักเลือดแล้วถอยหลังไปหลายก้าว!

ครั้งนี้เขาแพ้แล้ว แถมแพ้อย่างราบคาบเสียด้วย!

พลังของเฟิงจี้สิงนั้นคือแข็งแกร่งจริงๆ หลินมู่อวี่ไม่มีโอกาสแม้สักนิด และเขาก็เห็นแล้วว่า ตั้งแต่ต้นจนจบเฟิงจี้สิงไม่ได้ปล่อยวิญญาณยุทธ์ออกมาเลย หากเขาเรียกวิญญาณยุทธ์ออกมาช่วยต่อสู้แล้วละก็ เกรงว่าตนเองคงจะพ่ายแพ้ตั้งแต่กระบวนท่าแรกแล้ว!

“ฟึ่บ!”

ฉู่เหยาพุ่งตัวออกมาอย่างรวดเร็ว กางแขนปกป้องอยู่ด้านหน้าหลินมู่อวี่ แววตาไร้ซึ่งความหวาดกลัว “เฟิงจี้สิง หากคิดจะฆ่าอาอวี่ละก็ ข้ามศพข้าไปก่อนเถอะ!”

แต่เหตุการณ์ที่นางกับหลินมู่อวี่ไม่คาดคิดว่าจะเกิดขึ้นก็เกิดขึ้น

เฟิงจี้สิงสอดกระบี่คืนฝักอย่างสง่างาม ใบหน้าปรากฏรอยยิ้มที่สดใสอย่างที่สุด “ข้าเฟิงจี้สิง เป็นผู้บัญชาการทหารองครักษ์สามหมื่นนายแห่งเมืองหลวง เป็นหนึ่งในเจ็ดองครักษ์เสื้อคลุมขาวอวี้หลิน เป็นบุรุษที่ถูกขนานนามว่ายอมตายเพื่อปกป้องความยุติธรรม จะฆ่าคนบริสุทธิ์ได้อย่างไร ยิ่งไปกว่านั้น…ฉู่เหยา เจ้าคือน้องสาวแท้ๆ ของพี่น้องข้าฉู่ฮว๋ายเหมี่ยน หากข้าฆ่าเจ้า เจ้าเด็กนั่นไม่ตามมาเอาชีวิตข้าก็แปลกล่ะ!”

ฉู่เหยาตะลึงอ้าปากค้าง “นี่…เจ้ารู้จักพี่ชายข้าได้อย่างไร”

เฟิงจี้สิงหัวเราะฮ่า “ตอนนี้ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนเป็นหนึ่งในองครักษ์อวี้หลินสองร้อยนาย และเป็นผู้ที่มีความสามารถโดดเด่นด้วย ทำไมข้าจะไม่รู้จักเขาเล่า เขาหมั่นเพียรฝึกยุทธ์ ไม่ส่งจดหมายติดต่อทางบ้าน แถมตอนนี้ตัวเขาอยู่ในพระราชวัง เกรงว่าคงไม่รู้ว่าพวกเจ้าเกิดเรื่อง มิเช่นนั้นด้วยนิสัยของเขาจะต้องร้อนใจกระวนกระวายเป็นแน่”

ขณะพูด เฟิงจี้สิงก็มองไปทางหลินมู่อวี่  “อาอวี่ พลังของเจ้าไม่เลวเลยทีเดียว ด้วยอายุเท่านี้ แต่กลับมีวิทยายุทธ์ขนาดนี้ ปาฏิหาริย์ยิ่งนัก โชคดีที่มีเจ้า ฉู่เหยาถึงได้รอดชีวิตมาถึงเมืองหลันเยี่ยนได้!”

หลินมู่อวี่สูดหายใจลึก กล่าวอย่างซาบซึ้ง “ขอบคุณพี่เฟิงที่เมตตาไม่สังหารข้า!”

เฟิงจี้สิงหัวเราะอย่างแช่มชื่น “เจ้าเรียกข้าว่าพี่เฟิง ข้าไม่สามารถฆ่าเจ้าได้ ยิ่งไม่สามารถฆ่าผู้ที่มีความสามารถของจักรวรรดิในอนาคต”

หลินมู่อวี่ยังอยากจะพูดอะไรต่อ แต่เฟิงจี้สิงกลับเหมือนจะรู้แล้วทั้งหมด “ไม่ต้องพูดมากแล้ว ข้าจะให้คนพาเจ้าทั้งสองเข้าเมืองหลวง และจะจัดการทุกอย่างให้ ส่วนเรื่องที่เมืองหยินซาน…สามวันก่อนข้าได้ส่งสหายข้าไปที่เมืองหยินซานตรวจสอบเรื่องที่ฮว๋าเทียนถูกสังหารแล้ว ทุกอย่างกระจ่างแจ้งหมดแล้ว จะต้องคืนความบริสุทธิ์ให้แก่พวกเจ้าแน่นอน!”

ครั้งนี้หลินมู่อวี่รู้สึกซาบซึ้งด้วยใจจริง เขาพยักหน้า “ขอบคุณท่านมาก พี่เฟิง!”

เฟิงจี้สิงมองไปรอบๆ แล้วเอ่ย “ที่นี่อยู่นานไม่ได้ พวกเจ้ารีบไป! ทหาร พาพวกเขาสองคนกลับเมืองหลวง ให้พักที่โรงเตี๊ยมเมฆขาวก็แล้วกัน ดูแลให้ดี อย่าให้พวกเขาต้องลำบากอีก! รอข้ากลับถึงเมืองหลวงแล้วจะไปหาพวกเขาเอง”

“ขอรับ!”

ทหารองครักษ์ที่ติดตามมาด้วยด้านหลัง พยักหน้ารับคำสั่ง แล้วเอ่ยกับหลินมู่อวี่ว่า “ท่านจอมยุทธ์ เชิญมากับข้าเถิด พวกเราจะใช้ถนนเส้นเล็กเดินทางกลับเมืองหลวงกัน!”

“ตกลง!”

หลังจากรอให้พวกหลินมู่อวี่จากไป เฟิงจี้สิงจึงชักดาบออก ฟันหัวของมังกรกลดออกเป็นสองส่วน แล้วหยิบศิลาวิญญาณชุ่มเลือดที่อยู่ด้านในออกมา เขายิ้มพลางกล่าวว่า “มีเจ้า ข้าถึงจะอธิบายกับองค์หญิงอินได้…เฮ้อ อาอวี่นี่ก็เหลือเกิน แย่งสัตว์วิญญาณของใครไม่แย่ง จำต้องมาแย่งขององค์หญิงอิน นี่หากองค์หญิงรู้ความจริงเข้า เจ้าต้องลำบากแน่…”

เขาส่ายหน้าจนปัญญา แล้วเก็บศิลาวิญญาณเข้าไปในอกเสื้อ เขาพูดอย่างสบายอารมณ์ว่า “ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยน เจ้าเด็กน้อย ติดหนี้บุญคุณข้าอีกครั้งแล้ว ต้องเลี้ยงสุราข้าแล้วล่ะ ครั้งนี้ข้าจะดื่มสุรารสเลิศที่แพงที่สุดในเมืองหลวง ฮึ ครั้งก่อนข้าดันปล่อยให้คนตระหนี่อย่างเจ้าแสร้งเมาแล้วชักดาบซะได้!”