EP.72 ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยน LifeStylePublisher
สายลมอ่อนๆ พัดใบไม้บนยอดต้นไม้ให้ปลิวไหว เฟิงจี้สิงในชุดยาวสีขาวกำลังควบม้าตะบึงไป ด้านหลังมีทหารม้ารักษาพระองค์กลุ่มหนึ่งติดตามมาด้วย ดาบในมือปรากฏเงาปราณยุทธ์จางๆ แม้ว่าความเร็วของม้าศึกนั้นจะรวดเร็วมาก แต่เสียงฝีเท้าม้ากลับไม่รุนแรง หากพูดถึงเรื่องทักษะขี่ม้าแล้ว เฟิงจี้สิงสามารถทำได้ถึงขั้นที่คนและม้ารวมเป็นหนึ่ง เรียกได้ว่าเป็นสุดยอดแห่งเมืองหลวง
กลางป่าลึก ต้นไม้ใหญ่อายุกว่าพันปีมีใบไม้ปกคลุม ใต้ต้นไม้ ฉินอินองค์หญิงแห่งจักรวรรดิกำลังจูงบังเหียนม้า มุ่ยปากเตะก้อนหินบนพื้น ด้านข้างมีองครักษ์สองสามนายสีหน้าไม่สู้ดี หลังจากคลาดกับเจ้ามังกรกลดตัวนั้น องค์หญิงจึงกำลังกริ้วอยู่ ไม่มีใครกล้าเข้าไปทำให้นางไม่พอใจในเวลานี้
เฟิงจี้สิงลงจากม้า คุกเข่าข้างหนึ่งลงคำนับ “องค์หญิง กระหม่อมกลับมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ฉินอินยิ้มถาม “ผู้บัญชาการเฟิง ท่านจับมังกรกลดได้หรือไม่”
“จับได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ”
เฟิงจี้สิงพยักหน้า “น่าเสียดายที่มังกรกลดบาดเจ็บสาหัส ตอนที่พบมัน มันก็เสียชีวิตไปแล้ว วิญญาณสัตว์ก็สลายไปหมด ทำอะไรไม่ได้ กระหม่อมจึงได้แต่นำศิลาวิญญาณกลับมาถวายแก่พระองค์ หวังว่าศิลาวิญญาณก้อนนี้จะมีประโยชน์ต่อการฝึกของพระองค์พ่ะย่ะค่ะ”
ฉินอินมองศิลาวิญญาณในมือเฟิงจี้สิง ตวัดสายตามองตัวเขาอีกครั้ง ยิ้มกล่าว “เอาเถอะ ลำบากผู้บัญชาการเฟิงแล้ว เช่นนั้นศิลาวิญญาณก้อนนี้ข้าจะรับไว้แล้วกัน ขอบใจท่านมาก”
เฟิงจี้สิงยิ้มบางๆ “สามารถทำให้องค์หญิงพอพระทัย เป็นเกียรติของกระหม่อม นี่ก็สายมากแล้ว องค์หญิง พวกเรารีบกลับกันเถอะพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาทคงร้อนพระทัยแย่แล้ว วันนี้เราต้องกลับถึงเมืองหลันเยี่ยนให้ทันก่อนฟ้ามืดนะพ่ะย่ะค่ะ!”
“อืม ตกลง!”
……
พิภพนี้ถูกผู้คนเรียกขานกันว่า “พิภพซุ่ยติ่ง” มีความหมายว่าติ่ง*ใต้หล้าที่แตกกระจาย แต่ด้วยการปกครองที่ปรารถนาจะให้รวมเป็นหนึ่งของปฐมจักรพรรดิฉินอี้ ในที่สุดจึงสถาปนาจักรวรรดิฉินขึ้นมา จักรวรรดิขนาดใหญ่ที่ไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อน
อาณาเขตของพิภพซุ่ยติ่งแบ่งเป็นเหนือและใต้สองส่วน ตรงกลางมีแนวเทือกเขาเป็นเส้นแบ่งดินแดนเหนือใต้ เทือกเขานี้มีชื่อเรียกว่า “เทือกเขาฉิน” เทือกเขาฉินทางตอนใต้เป็นดินแดนที่อุดมสมบูรณ์ ทรัพยากรมากมาย ส่วนตอนเหนือกลับมีอากาศเย็นกว่าเล็กน้อย เต็มไปด้วยเทือกเขาที่ทอดตัวเลื้อยยาว และระหว่างแนวเทือกเขานั้นก็มีเมืองที่ร่ำรวยและอุดมสมบูรณ์ตั้งตระหง่านอยู่หลายที่
พื้นที่ที่ราบและกว้างขวางที่สุดของเทือกเขาทางเหนือก็คือป่าล่ามังกร และป่าล่ามังกรนี้ทอดยาวออกไปหลายพันลี้ โอบล้อมเมืองที่เป็นสัญญักษณ์อำนาจแห่งจักรพรรดิ—เมืองหลันเยี่ยน!
ความร่ำรวยและรุ่งเรืองของเมืองหลันเยี่ยนเป็นอันดับหนึ่งในเจ็ดเมืองใหญ่ของจักรวรรดิ กำแพงเมืองสูงถึงห้าสิบกว่าเมตร สร้างจากหินสีครามก้อนใหญ่ แข็งแรงทนทาน เป็นอย่างมาก พูดได้ว่าน้ำไฟไม่อาจทำลายได้ ส่วนการค้าขายในเมืองก็คึกคัก สินค้าหลากหลาย เป็นศูนย์กลางการเมืองและเศรษฐกิจของจักรวรรดิ แล้วยังวิหารศักดิ์สิทธิ์ที่เหล่าผู้ฝึกยุทธ์ให้ความเคารพ ตลอดจนสมาพันธ์โอสถที่นักปรุงโอสถทุกคนใฝ่ฝันต่างก็อยู่ที่เมืองหลันเยี่ยน เห็นได้ว่าเมืองนี้เป็นเมืองที่สำคัญมากของจักรวรรดิ
เสียงฝีเท้าม้าดังเบาๆ ในที่สุดก่อนพลบค่ำหลินมู่อวี่และฉู่เหยาก็มาถึงเมืองหลันเยี่ยน หลินมู่อวี่หนวดเคราเฟิ้ม ส่วนฉู่เหยาก็ตัดผมสั้น หน้าตาไม่เหมือนกับคนในรูปบนประกาศจับที่ประตูเมืองแม้แต่นิดเดียว ยิ่งกว่านั้นผู้ที่มาด้วยกันยังเป็นทหารยศสูงแห่งกองกำลังรักษาพระองค์ ทหารผู้นี้มีนามว่า “หลัวเลี่ย” เป็นคนสนิทของเฟิงจี้สิง
หลัวเลี่ยแต่งกายด้วยชุดทหารจักรวรรดิสีน้ำเงินเข้ม ยศทหารที่คอเสื้อปักดอกจื่ออินสีทองหนึ่งดอก และยังมีดาวอีกหนึ่งดวงด้วย นี่คือสัญลักษณ์ตำแหน่งผู้บังคับการทหารที่คุมกำลังหนึ่งพันนายของจักรวรรดิ (เชียนฟูจ่าง**)
“ท่านแม่ทัพ!”
ทหารเฝ้าประตูเมืองทำความเคารพหลัวเลี่ย จากนั้นมองหลินมู่อวี่และฉู่เหยา พูดขึ้น “สองท่านนี้ดูไม่เหมือนทหารของกองกำลังรักษาพระองค์ ท่านแม่ทัพ พวกเขาคือ?”
น้ำเสียงหลัวเลี่ยราบเรียบ ไม่แสดงอาการโกรธเกรี้ยว “สองท่านนี้เป็นสหายของผู้บัญชาการเฟิง เพิ่งมาจากเมืองชีไห่ ต้องตรวจสอบด้วยหรือ”
“อ่า ไม่ต้องขอรับ ในเมื่อเป็นแขกของผู้บัญชาการเฟิงก็ไม่ต้องแล้วขอรับ”
นายทหารที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่นี้เป็นเพียงผู้บังคับการทหารกองร้อยเล็กๆ (ไป่ฟูจ่าง***) เป็นธรรมดาที่ไม่กล้าท้าทายผู้บังคับการทหารกองพัน
ความราบรื่นของสถานการณ์ทำให้หลินมู่อวี่รู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง นึกไม่ถึงว่าพวกเขาจะเข้ามาในเมืองหลันเยี่ยนได้อย่างสบายๆ สองฝั่งของถนนใหญ่ในเมืองเต็มไปด้วยร้านค้า จมูกเขาได้กลิ่นหอมของซาลาเปาเนื้อลอยมา ชวนให้น้ำลายไหล ท้องของหลินมู่อวี่ส่งเสียงร้อง จ๊อกๆ ฉู่เหยาอดหัวเราะไม่ได้ “หิวแล้วหรือ”
“อืม” เขาพยักหน้าอายๆ “ก็กลิ่นซาลาเปานี่มันหอมมากเลยนี่นา!”
ฉู่เหยายิ้ม “ไม่ต้องรีบร้อน ถึงโรงเตี๊ยมเมฆขาวก่อนแล้วค่อยว่ากันเถอะ”
หลัวเลี่ยที่อยู่ด้านข้างก็ยิ้มพูด “หากพูดถึงซาลาเปา ซาลาเปาที่อร่อยที่สุดในเมืองหลันเยี่ยนก็ต้องเป็นซาลาเปาเนื้อวัวดอกอินของโรงเตี๊ยมเมฆขาว อีกเดี๋ยวพวกเจ้าก็จะได้ชิมแล้ว อาจจะประมาณค่ำๆ หน่อย ท่านผู้บัญชาการจะมาหาพวกเจ้า ข้าจะจัดการที่พักให้พวกเจ้าก่อนก็แล้วกัน”
“อืม ขอบคุณใต้เท้าหลัวเลี่ยมาก”
“ไม่ต้องเกรงใจ พวกเจ้าคือสหายของท่านผู้บังคับบัญชา ก็นับว่าเป็นสหายของข้าหลัวเลี่ยเช่นกัน สมควรแล้ว”
……
เพียงครู่เดียวก็มาถึงโรงเตี๊ยมเมฆขาว โรงเตี๊ยมมีทั้งหมดสามชั้น ไม่ได้หรูหราอะไรมากมาย แต่ก็จัดว่าไม่เลวแล้ว อย่างน้อยกลิ่นหอมของซาลาเปาเนื้อในโรงเตี๊ยมก็เพียงพอที่จะดึงดูดหลินมู่อวี่ไว้ได้
หลัวเลี่ยจัดการห้องพักที่ติดกันสองห้องให้พวกเขา จากนั้นล้วงเหรียญทองออกมาหนึ่งเหรียญเลี้ยงอาหารพวกเขาสองคน
หลังจากนั้นไม่นาน ซาลาเปาสองเข่งก็ถูกยกมาที่โต๊ะ ด้านข้างยังมีเครื่องปรุงรสอย่างจิ๊กโฉ่ววางอยู่ด้วย
ตอนที่ฝาเข่งถูกเปิดออกนั้น กลิ่นหอมที่ลอยมาแตะจมูกแทบจะทำให้หลินมู่อวี่ขาดใจตาย เขาหยิบซาลาเปาลูกขาวๆ ขึ้นมา พอแบะซาลาเปาออกก็เห็นกลีบดอกไม้สีม่วงอ่อน ส่งกลิ่นหอมกำจายออกมา ตามด้วยกลิ่นหอมของเนื้อวัวสดใหม่ หาได้ยากที่รสชาติของเนื้อกับกลิ่นของดอกไม้จะไม่ตีกัน แต่กลับเสริมกัน ช่างมีเอกลักษณ์เหลือเกิน
หลัวเลี่ยยิ้มอยู่ข้างๆ “กลีบดอกไม้สีม่วงคือดอกจื่ออิน เป็นดอกไม้ประจำจักรวรรดิ ดอกไม้ชนิดนี้สามารถนำไปปรุงโอสถ และประกอบอาหารได้ มีสรรพคุณช่วยแก้อาการอักเสบ เนื้อวัวของที่นี่ใช้เนื้อวัวชั้นดี เนื้อนุ่มและสดใหม่ ลองชิมดูสิ!”
หลินมู่อวี่กัดซาลาเปาเข้าปากคำโต รู้สึกเหมือนตัวลอยขึ้นมาทันที แค่คำเดียวก็ทำให้เขาหลงรักซาลาเปานี้แล้ว หลินมู่อวี่ไม่เกรงใจแล้ว เขาซัดซาลาเปาจนหมดเข่งอย่างรวดเร็ว แต่ฉู่เหยากลับกินอย่างสำรวมไม่เหมือนหลินมู่อวี่ ความเป็นจริงคือหลินมู่อวี่เผาผลาญพลังงานในร่างกายมากกว่าฉู่เหยาจริงๆ
……
หลังจากรับประทานอาหารอิ่มแล้ว หลัวเลี่ยก็อยู่เป็นเพื่อนพวกเขา รอการมาของเฟิงจี้สิง
แต่จนฟ้ามืดแล้วก็ยังไม่เห็นเฟิงจี้สิง จนเวลาล่วงเลยมาจนเข้ายามซวี (ช่วงเวลาหนึ่งทุ่มถึงสามทุ่ม) ฟ้ามืดสนิทแล้ว ตอนนี้เองก็มีคนผู้หนึ่งรีบร้อนเข้ามาในโรงเตี๊ยม เขาสวมชุดสีคราม เป็นชายหนุ่มรูปงามทีเดียว เขากระโดดขึ้นมาบนชั้นสอง สีหน้าดูรีบร้อนมาก มองซ้ายมองขวาแล้วส่งเสียงออกมาด้วยความร้อนรน “อาเหยา…อาเหยา…”
พอฉู่เหยาได้ยินเสียงนี้ก็สั่นเทิ้มขึ้นทันที นางหันกลับไปมอง สายตาประสานกัน ทันใดนั้นน้ำตาก็เอ่อคลอเบ้า “พี่…”
ผู้ที่มาเยือนนั้นก็คือพี่ชายแท้ๆ ของฉู่เหยา ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยน!
ตอนที่ฉู่เหยากระโจนเข้าใส่อ้อมกอดของฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนนั้น น้ำตานางไหลพรากดั่งสายฝน มือทุบตีไหล่ของพี่ชายไม่หยุด ระดับพลังของนางในตอนนี้ไม่น้อยแล้ว หมัดที่เต็มไปด้วยความโกรธนั้นรุนแรงมาก แต่ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนก็ไม่ได้โคจรพลังมาป้องกัน ปล่อยให้น้องสาวทุบตีตนเองตามใจชอบต่อ
“ทำไมท่านถึงไม่กลับเมืองหยินซาน…”
ฉู่เหยาที่ทุบตีจนเหนื่อยแล้ว น้ำตานองหน้ามองพี่ชาย “ท่านรู้หรือไม่ว่าท่านปู่ถูกคนชั่วฆ่าตายแล้ว ท่านยังแอบอยู่ที่นี้อีก…เป็นพี่ชายประสาอะไร…”
ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนตาแดง แต่ก็ไม่ได้ร้องไห้ เพียงแต่กำหมัดแน่น ส่วนอีกมือก็ประคองฉู่เหยาไว้ “อาเหยา ข้าผิดไปแล้ว…ข้าฝึกยุทธ์อยู่ที่เมืองหลวงมาตลอด ไม่คิดว่าที่เมืองหยินซานจะเกิดเรื่องขึ้นมากมาย คิดไม่ถึงว่าท่านปู่จะถูกคนลอบทำร้าย ข้าผิดต่อพวกเจ้า อาเหยา เจ้าอย่าร้อง อย่าร้องเลยนะ หลังจากนี้พี่จะอยู่ข้างเจ้าเอง…”
แต่ฉู่เหยากลับร้องไห้หนักกว่าเดิม
ผ่านไปพักใหญ่ ในที่สุดฉู่เหยาก็เช็ดน้ำตาแล้วหันไปจูงมือหลินมู่อวี่ “ท่านพี่ ข้าจะแนะนำให้ท่านรู้จักอาอวี่ เป็นลูกศิษย์ที่ท่านปู่รับไว้ พลังยุทธ์เขาแข็งแกร่งมาก หากไม่มีอาอวี่ เกรงว่าข้าคงจะไม่มีชีวิตรอดมาพบหน้าท่าน”
ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนมองหลินมู่อวี่ แววตาเขาซาบซึ้งใจแต่ก็เจือความสงสัยด้วย “อาอวี่ ตลอดทางมาเมืองหลันเยี่ยน ลำบากเจ้าแล้ว…ว่าแต่เจ็ดเทพยุทธ์เย่เหลียง กวานหยางถูกเจ้าสังหารจริงๆ หรือ เจ้าดูแล้ว…”
หลินมู่อวี่รู้ว่าเขาอยากจะพูดอะไร จึงพูดขึ้น “ข้าดูแล้วไม่ได้แข็งแกร่งขนาดนั้นใช่ไหมล่ะ”
“ใช่…” ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนเผยสีหน้ากระอักกระอ่วนเล็กน้อยนิด เหมือนจะรู้ว่าตนเองสงสัยแบบนี้ออกจะเป็นการเสียมารยาท
หลินมู่อวี่กลับไม่สนใจ “ตลอดทางมานี้ ข้าใช้อาวุธลับ ใช้ยาพิษ อะไรใช้ได้ข้าก็ใช้หมด ดังนั้นจึงรอดมาถึงที่นี่ได้ พูดแบบนี้คงจะเข้าใจแล้วสินะ”
ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนพยักหน้า ตบบ่าหลินมู่อวี่ “น้องชาย ลำบากเจ้าแล้วจริงๆ”
“ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร” หลินมู่อวี่คิดถึงตอนที่ตนอยู่ในป่าสัตตะดาราแล้วถูกลูกธนูยิงเข้าที่อก เฉียดตายครั้งแล้วครั้งเล่า ใจก็อดหวาดผวาไม่ได้ ตอนนี้พอมาคิดดู การมีชีวิตอยู่ช่างดีจริงๆ
และในตอนนี้เองที่บันไดก็มีเสียงฝีเท้าหนักแน่นดังขึ้น ชายชุดคลุมสีขาวปรากฏตัว ในที่สุดเฟิงจี้สิงก็มาถึงเสียที!
ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนประสานมือคำนับ “พี่เฟิง ขอบคุณท่านมาก บุญคุณครั้งนี้ข้าจะไม่มีวันลืม!”
“อ่อ รู้จักกันแล้วหรือ”
เฟิงจี้สิงยิ้มหยอกล้อ “น้องฉู่ เจ้านี่ใจไม้ไส้ระกำเสียจริง ปล่อยน้องสาวที่งดงามถึงเพียงนี้อยู่ตัวคนเดียวไกลถึงเมืองหยินซาน หากเป็นข้าละก็ หึ รับมาอยู่ด้วยกันที่เมืองหลวงนานแล้ว ครั้งนี้ข้าช่วยเจ้าขนาดนี้ ไม่ต้องพูดเรื่องอื่น อย่างน้อยเจ้าก็ควรเลี้ยงสุราข้าที่หอสดับพิรุณบ้าง”
สีหน้าของฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนดูไม่ค่อยดี “ไปหอสดับพิรุณอย่างน้อยๆ ก็ต้องมียี่สิบเหรียญทอง ฟุ่มเฟือยเกินไป พวกเราอยู่ที่โรงเตี๊ยมเมฆขาวก็พอแล้ว…”
“เจ้านี่งกเสียจริง”
“ข้ารับเงินเดือนแค่เดือนละสิบเหรียญทอง ไหนเลยจะสู้ท่านผู้บัญชาการทหารรักษาพระองค์ เจิ้นกว๋อเจียงจวินขั้นสองได้กันเล่า!”
“ฮ่า พูดเรื่องพวกนี้ทำไมกัน! ลงไปกันเถอะ พวกเราต้องดื่มฉลองกันหน่อย!”
“มาสิ!”
……
ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนเป็นเจ้ามือ จัดโต๊ะอาหารที่ชั้นล่าง มีเฟิงจี้สิง หลินมู่อวี่ ฉู่เหยาและหลัวเลี่ยนั่งอยู่ ในที่สุดฉู่เหยาก็อารมณ์ดีขึ้น ยอมกินอาหารแล้ว ส่วนหลินมู่อวี่ที่นอนกลางดินกินกลางทรายในป่าล่ามังกรและป่าสัตตะดารามาหลายวัน ไม่ได้กินของดีๆ เลย เป็นธรรมดาที่จะกินอย่างเต็มที่
หลังจากดื่มสุรากันไปสักพัก ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนก็มองไปทางหลินมู่อวี่ ทันใดนั้นหลินมู่อวี่ก็รู้สึกท่าจะไม่ดี อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด
“อาอวี่ ได้ยินว่าพลังของเจ้าไม่เลวเลยทีเดียว ดื่มเสร็จแล้วมาประลองกันสักหน่อย เป็นอย่างไร”
“ตกลง”
หลินมู่อวี่ไม่มีทางเลือก ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนสามารถเป็นหนึ่งในองครักษ์อวี้หลินจำนวนสองร้อยนาย สามารถเป็นองครักษ์ข้างกายจักรพรรดิได้นั้น ต้องไม่ใช่ผู้อ่อนแออย่างแน่นอน ใช้โอกาสนี้ประลองเป็นความรู้ก็ดีเหมือนกัน
……
ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนเป็นพวกคลั่งการฝึกยุทธ์ เมื่อเจอกับคู่ต่อสู้ที่ดีอย่างหลินมู่อวี่ เป็นธรรมดาที่จะไม่ปล่อยให้โอกาสหลุดมือ และนี่ก็เป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้เขากับเฟิงจี้สิงกลายเป็นสหายรัก
__________________________________________
*鼎 อ่านว่า “ติ่ง” ภาชนะสามขายุคโบราณของจีน
**千夫长 อ่านว่า “เชียนฟูจ่าง” ผู้บังคับการทหารที่คุมกำลังหนึ่งพันนาย
***百夫长 อ่านว่า “ไป่ฟูจ่าง” ผู้บังคับการทหารที่คุมกำลังหนึ่งร้อยนาย