บทที่ 74 ไปตามหาตัวเถ้าแก่ร้านนั้น... แล้วฆ่าทิ้งเสีย

ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก: GOURMET OF ANOTHER WORLD

ปู้ฟางพันผ้าพันคอเพื่อปกป้องตนเองจากความหนาว แล้วเดินออกจากร้านปักษาเพลิงนิรันดร์ ทันทีที่ก้าวเท้าออกจากความอบอุ่นภายในตึก ลมเย็นก็พุ่งเข้าปะทะใบหน้า ทำให้ร่างทั้งร่างสั่นสะท้าน อากาศหนาวเสียจนเขาอดไม่ได้ที่จะยกมือขึ้นกอดอกเดิน

ทว่าแม้อุณหภูมิจะหนาวเหน็บ ตัวปู้ฟางเองกลับรู้สึกตื่นเต้นรุ่มร้อนเป็นพิเศษ เนื่องจากระบบเพิ่งประกาศว่าเขาทำภารกิจสำเร็จ และกำลังจะได้รับรางวัล

พลังปราณเที่ยงแท้เพิ่มอีกร้อยละสิบและสูตรอาหารจากร้านปักษาเพลิงนิรันดร์ฉบับปรับปรุงนั้น จัดว่าเป็นรางวัลที่เยี่ยมยอดเป็นอันมาก ชายหนุ่มจึงรู้สึกมีความสุขไม่น้อย

เซียวเสี่ยวหลงและคนอื่นๆ เดินตามเขามาจนทัน ทั้งสามเดินอยู่เคียงข้างชายหนุ่ม โอวหยางเสี่ยวอี้และเซียวเสี่ยวหลงคุยกันไม่หยุดปาก และเอ่ยชมความสามารถแสนลึกลับยิ่งใหญ่ของเขา ในการทำให้พ่อครัวแม่ครัวร้านปักษาเพลิงนิรันดร์ถึงกับพูดไม่ออกผ่านการชิมเพียงคำเดียวเท่านั้น

ใบหน้าสวยไม่มีที่ติยากหาผู้ใดเทียบเทียมของเซียวเยียนอวี่กลับไปซ่อนอยู่ภายใต้ผ้าคลุมอีกครั้ง นางดูสงบเยือกเย็นและสง่างามยิ่งขณะเดินเคียงข้างพวกเขา

ทั้งสี่เอ่ยคำร่ำลากันเมื่อเดินมาถึงทางเข้าตรอก เซียวเสี่ยวหลงและคนอื่นๆ พากันกลับบ้านของตนเองไป ส่วนปู้ฟางก็เดินเข้าตรอกเพื่อกลับไปที่ร้าน

เจ้าดำนอนหลับเอาพุงติดพื้นอยู่ที่ปากทางเข้าร้าน แม้ปู้ฟางจะกลับมาเรียบร้อยแล้ว แต่มันก็ยังคงนอนอุตุไม่สนใจต่อไป

“ระบบกำลังมอบรางวัลให้นายท่าน นายท่านได้รับพลังปราณเที่ยงแท้เพิ่มร้อยละสิบเรียบร้อยแล้ว บัดนี้ระบบจะสุ่มเลือกรายการอาหารที่นายท่านประเมินไปก่อนหน้านี้” เสียงเรียบเฉยไร้อารมณ์ของระบบดังขึ้นในศีรษะของชายหนุ่ม

ปู้ฟางชะงักด้วยความตกใจ ดวงตาของเขาหรี่ลง อารมณ์ค่อยๆ กลับมาเป็นปกติ เขาสงสัยขึ้นมาทันทีว่าตนเองจะสุ่มได้อาหารจานใด

แน่นอนว่าซี่โครงขี้เมาเปรี้ยวหวานเป็นอย่างสุดท้ายที่เขาอยากได้ เนื่องจากร้านของเขามีซี่โครงเปรี้ยวหวานสูตรประจำอยู่แล้ว

ชื่ออาหารมากมายวิ่งผ่านเข้ามาในมโนจิตของเขาเรื่อยๆ ระบบกำลังสุ่มสูตรให้นั่นเอง…

ในที่สุดชื่ออาหารเหล่านั้นก็ค่อยๆ วิ่งช้าลงจนหยุดนิ่ง ชื่ออาหารจานใหม่ที่เขาได้รับฉายชัดเจนอยู่ในสมองของปู้ฟาง

“ผัดปูม้าคืออาหารจานที่ถูกเลือก หลังจากที่ปรับปรุงสูตรเรียบร้อย สูตรใหม่สำหรับนายท่านคือผัดปูม้าสยบโลกา”

ปู้ฟางอดไม่ได้ที่จะนึกถึงกลิ่นหอมหวนชวนน้ำลายสอของผัดปูม้า จนตัวเขาเริ่มน้ำลายไหลออกมาเสียเอง หากเทียบกับการสุ่มได้ซี่โครงขี้เมาเปรี้ยวหวานแล้ว ผัดปูม้าก็จัดว่าเป็นรายการที่ใช้ได้เลยทีเดียว

ด้วยความที่หน้าประตูมีป้ายบอกว่าร้านปิดทำการแขวนอยู่ ลูกค้าหลายคนที่เดินมาถึงร้านด้วยสีหน้าตื่นเต้นก็ต้องพากันกลับไปด้วยใบหน้าหดหู่ ยกตัวอย่างเช่นเจ้าอ้วนจินและผองเพื่อนที่รออยู่สักพัก จนสุดท้ายก็ตัดสินใจกลับไปอย่างขมขื่นในที่สุด หลังจากทำใจได้ว่าร้านปิดจริงๆ ในวันนี้

ลูกค้าคนอื่นๆ ก็เจอสภาพนี้กันถ้วนหน้า

หลังจากที่ปู้ฟางกลับมาถึงร้าน เขาก็ไม่ได้เปิดร้านเนื่องจากสายมากแล้ว ชายหนุ่มเปลี่ยนเสื้อผ้าลวกๆ แล้วเดินเข้าครัวไปทันทีเพื่อเริ่มทำผัดปูม้าสยบโลกาอาหารจานใหม่

ณ ร้านปักษาเพลิงนิรันดร์

เฉียนเป่ากำลังนั่งหลังตรงอยู่บนเก้าอี้ เอามือหนึ่งเท้าคาง หน้านิ่วคิ้วขมวด ดูเหมือนว่าจะกำลังคิดอะไรอยู่

“นายน้อยปู้เป็นเถ้าแก่ร้านใจไม้ไส้ระกำเช่นนั้นรึ แถมยังมาที่ร้านปักษาเพลงนิรันดร์ของเราและวิพากษ์วิจารณ์อาหารครบทุกจาน คิดว่าตัวเองเป็นใครกัน เหตุใดจึงกล้ามาดูถูกพวกเราเช่นนี้!” เฉียนเป่ากำหมัดแน่น นิ่วหน้าด้วยโทสะ

ทันใดนั้นเขาก็พลันคลายกำปั้นออกแล้วถอนหายใจ “แต่ว่า จะว่าเช่นนั้นก็เถอะ… เถ้าแก่ปู้เป็นบุรุษที่มีความสามารถยิ่งนัก เพียงกินเข้าไปแค่คำเดียวก็วิเคราะห์บรรยายออกมาได้เป็นฉากๆ ช่างน่ากลัวเสียจริง!”

ก่อนหน้านี้เขาวางแผนว่าจะให้พ่อครัวแม่ครัวที่ร้านท้าปู้ฟางประลอง แต่เมื่อลองดูสถานการณ์แล้ว ถือว่าเป็นโชคดีที่ยังไม่ได้เดินสุ่มสี่สุ่มห้าไปทำเช่นนั้น มิเช่นนั้นมีหวังชื่อเสียงของร้านเขาคงดิ่งลงเหวเป็นแน่ ความแตกต่างด้านความสามารถระหว่างปู้ฟางและพ่อครัวแม่ครัวที่ร้านของเขานั้นมีมากจนเกินไป

กระนั้นเฉียนเป่าเองก็ยอมไม่ได้ที่จะปล่อยให้ทุกอย่างตกอยู่ในสภาพนี้ การกล้ำกลืนฝืนทนยอมข่มอารมณ์โกรธนั้นไม่ใช่วิธีของเขาอย่างสิ้นเชิง

ช้าก่อน! ดวงตาของเฉียนเป่าเป็นประกายเหมือนเพิ่งคิดอะไรบางอย่างได้

“ข้าให้คนจากร้านข้าไปท้าแข่งทักษะการใช้มีดก็ได้นี่! ทักษะการใช้มีดเป็นสิ่งที่ต้องใช้เวลาในการสั่งสม เป็นไปไม่ได้เลยที่จะเชี่ยวชาญทักษะนี้ได้อย่างสมบูรณ์! ถึงเราจะสู้เถ้าแก่ปู้เรื่องการทำอาหารไม่ได้ แต่ก็ยังสามารถล้มเขาได้ด้วยทักษะที่ต้องใช้เวลาสั่งสมประสบการณ์!”

เฉียนเป่าตบโต๊ะด้วยท่าทางตื่นเต้น รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าอีกครั้งแล้วระเบิดหัวเราะออกมาเสียงดังลั่น จากนั้นเขาก็สั่งให้ลูกน้องไปเรียกพ่อครัวแม่ครัวทุกคนมา และเลือกออกมาหนึ่งคนที่มีทักษะการใช้มีดยอดเยี่ยมที่สุด

เขารู้อยู่แล้วว่าปู้ฟางเป็นพ่อครัวที่มีความรู้ด้านอาหารและวิธีการทำในระดับยอดเยี่ยม ดังนั้นจึงเหลืออยู่ทางเดียว ซึ่งก็คือทักษะการใช้มีดนั่นเอง

ในขณะที่เฉียนเป่ากำลังจัดแจงเลือกคนที่ดีที่สุดไปประลองทักษะการใช้มีดกับปู้ฟางนั้น ไก่โลหิตปักษาเพลิงก็มาส่งที่วังขององค์ชายรัชทายาทอย่างลับๆ

จีเฉิงอันกำลังยืนเอามือไพล่หลังอยู่ในวังอันใหญ่โตมโหฬารของตน เขามองจ้องไปที่กรงโลหะทำจากเหล็กไหลชั้นเยี่ยมตรงหน้า ภายในกรงมีไก่ขนมันเงาสีแดงฉานทั้งตัวถูกขังอยู่

“นี่น่ะรึ อสูรเวทระดับห้าไก่โลหิตปักษาเพลิง หน้าตาประหลาดดีแท้” จีเฉิงอันพยักหน้าแล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้มที่มุมปาก

ซูฉียืนอยู่ไกลๆ ด้วยท่าทางเคารพ “ไก่โลหิตปักษาเพลิงเป็นอสูรเวทระดับห้าที่เคลื่อนไหวเร็วยิ่ง แม้ความสามารถด้านการต่อสู้จะจัดว่าอ่อนแอในหมู่อสูรเวทระดับห้าด้วยกัน แต่ก็ยังเทียบได้กับอสูรเวทระดับสี่ จึงใช้เวลาสักพักกว่าจะจับมาได้พะย่ะค่ะ”

“เจ้าทำได้ดีมากซูฉี” องค์ชายรัชทายาทพูดด้วยน้ำเสียงพึงพอใจ พร้อมหันหลังกลับมามองชายหนวดงาม

ซูฉีโค้งคำนับอีกครั้งและไม่ได้พูดอะไรต่อ

“ไก่โลหิตปักษาเพลิงและสมุนไพรสะระแหน่ก็ได้มาครบแล้ว ส่วนวัตถุดิบที่มีฤทธิ์เป็นยาอันแสนล้ำค่าอื่นๆ ก็ครบแล้วเช่นกัน ตอนนี้เหลือแค่ต้องเอาส่วนผสมเหล่านี้ไปให้เถ้าแก่ปู้ทำอาหารโอสถทิพย์เท่านั้น หากอาหารโอสถทิพย์นี้ทำให้สุขภาพของท่านพ่อดีขึ้นได้ เห็นทีตำแหน่งจักรพรรดิ… คงไม่หนีข้าไปไหนเป็นแน่” องค์ชายรัชทายาทยืนเอามือไพล่หลัง และมองไปทางท้องพระโรงที่อยู่ไกลออกไปด้วยใบหน้าตื่นเต้น ในใจมีความคิดหลายอย่างวิ่งวนอยู่

เพื่อให้ได้ตำแหน่งจักรพรรดิซึ่งสูงสุดของอาณาจักรมาครอบครอง เขาลงทุนไปมากเกินความจำเป็นเลยทีเดียว ทุกย่างก้าวเปรียบเสมือนการเดินบนน้ำแข็งที่เปราะบาง ด้วยความที่กลัวว่าหากตนเองก้าวพลาดไปเพียงครั้งเดียว น้องชายสุดที่รักจะฉวยโอกาสนี้ทำลายตัวเขาจนสิ้นซาก

“ซูฉี เตรียมตัวได้เลย ข้าจะไปที่ร้านเถ้าแก่ปู้ด้วยตนเองพรุ่งนี้ เราต้องดูให้แน่ใจว่าอาหารโอสถทิพย์ทำเสร็จจริง” องค์ชายรัชทายาทพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ก่อนที่อาหารจานนี้จะเสร็จ ห้ามให้ผู้ใดล่วงรู้แผนการนี้เด็ดขาด อย่าให้ลูกน้องของอวี่อ๋องล่วงรู้ได้”

“พะย่ะค่ะ องค์ชาย!” ซูฉีพูดด้วยความเคารพ

ณ ตำหนักอวี่อ๋อง

อวี่อ๋องจีเฉิงอวี่ลืมตาขึ้นแล้วปล่อยพลังที่พลุ่งพล่านออกจากปาก เขาอยู่ในห้องฝึกวิชาลับภายในตำหนัก พลังปราณเที่ยงแท้ภายนอกกายเดือดพล่านเหมือนน้ำที่ร้อนจัด หลังจากผ่านไปครู่ใหญ่ พลังนั้นก็เริ่มสงบลงแล้วไหลกลับเข้าร่างกายของเขา

“การบรรลุระดับหกขั้นจักรพรรดิยุทธการนี้ช่างยากเย็นเสียจริง ข้าติดอยู่ที่คอขวดนี้มาเป็นปีแล้ว” อวี่อ๋องถอนหายใจหนัก รู้สึกอับจนหนทางเล็กน้อย แต่ตัวเขาเองรู้ดีว่าจะรีบไม่ได้หากเป็นเรื่องการฝึกปราณ ทั้งยังไม่มีทางออกให้ตนเองอีกด้วย

ประตูห้องฝึกวิชาลับเปิดออก ร่างหนึ่งในชุดคลุมสีดำล้วนยืนอยู่ที่ปากทาง เสียงแหบห้าวดังออกจากร่างนั้น “องค์ชายมีปัญหาเรื่องการบรรลุขั้นปราณหรือพะย่ะค่ะ ความจริงแล้วองค์ชายน่าจะลองใช้วิธีการฝึกปราณของสำนักวิญญาณดู หากทำเช่นนั้นแล้ว การบรรลุปราณขั้นหกคงไม่ใช่เรื่องเหนือบ่ากว่าแรง”

อวี่อ๋องมองชายผู้นั้นแล้วกล่าวเย้ย “แล้วหลังจากนั้นก็กลายเป็นปีศาจที่หน้าเหมือนผีมากกว่าคนอย่างเจ้าน่ะรึ ข้าเป็นบุรุษที่จะขึ้นเป็นจักรพรรดิในอนาคต จะทำตนเองให้อัปลักษณ์เช่นเจ้าได้อย่างไรกัน”

คำพูดของอวี่อ๋องเต็มไปด้วยการเสียดสี แต่ก็เป็นวิธีการพูดปกติที่ทุกคนคุ้นเคยดี หัวหน้าผู้อาวุโสประจำสำนักวิญญาณ หุนเชียนอวิ่นไม่ได้โกรธแต่อย่างใด แต่กลับหัวเราะในลำคอด้วยน้ำเสียงน่าขนลุก

ทันใดนั้น ร่างหนึ่งก็เดินผ่านประตูเข้ามาส่งจดหมายลับให้จีเฉิงอวี่

จีเฉิงอวี่พยักหน้าแล้วคลี่จดหมายออกอ่านโดยไม่ได้มีท่าทางปกปิดใดๆ ขณะที่อ่านนั้น สีหน้าก็จริงจังขึ้นเรื่อยๆ

“พี่ชายข้าคนนี้ทำงานหนักน่าดูเพื่อที่จะเอาตำแหน่งจักรพรรดิไปครอง ทำถึงขั้นนี้เชียว ทุกคนรู้ดีว่าสุขภาพของท่านพ่อย่ำแย่เพียงไร เป็นไปไม่ได้เลยที่จะหาทางรักษาได้ แต่เขากลับไปฝากความหวังไว้ที่อาหารโอสถทิพย์จากร้านเล็กๆ นั่นเสียได้ ช่างน่าขันเสียจริง”

พลังปราณระเบิดออกจากฝ่ามืออวี่อ๋อง จดหมายในมือลุกเป็นไฟกลายเป็นเถ้าถ่าน แล้วลอยหายไปตามสายลม

ดวงตาของเขาเย็นเยียบ น้ำเสียงเย็นชา “หุนเชียนอวิ่น ถึงเวลาที่เจ้าจะแสดงความสามารถแล้ว ในเมื่อพี่ชายข้าต้องการยืดอายุท่านพ่อ… ข้าก็จะหยุดการกระทำนั้นเสีย จงนำคนของเจ้าไปที่ร้านเล็กๆ ของฟางฟางในคืนนี้ แล้วฆ่าเจ้าของร้านให้ตายคามือ จงจำไว้ว่านี่เป็นงานลอบสังหารลับ จากที่ข้าได้ยินข่าวลือมาร้านนั้นไม่ใช่ร้านธรรมดา”

หุนเชียนอวิ่นหัวเราะเสียงแหบห้าว “ถ้าพูดถึงเรื่องการลอบสังหารแล้วละก็… หากสำนักวิญญาณประกาศตนว่าเป็นที่สอง ก็คงไม่มีใครเอาที่หนึ่งไปครองได้ อวี่อ๋องจงวางใจและรอรับข่าวดีเถิด”

…………………….