“หัวหน้าผู้อาวุโสขอรับ… ท่านต้องการให้พวกเราออกปฏิบัติการหรือไม่ขอรับ” สมาชิกสำนักวิญญาณสองคนที่ยืนอยู่เบื้องหลังหุนเชียนอวิ่นเอ่ยถาม
เปลวไฟวิญญาณเต้นตุบอยู่ในดวงตาหุนเชียนอวิ่น เปลวไฟนั้นดูลึกลับน่าขนลุก ราวกับเป็นภูตผีปีศาจที่หวังแหกนรกออกมาอย่างไรอย่างนั้น
“เจ้าดูไม่ออกรึว่าอวี่อ๋องกำลังทดสอบพวกเราอยู่ แม้เขาจะผนึกกำลังกับพวกเรา แต่ก็ยังเป็นคนจากราชสำนักอยู่วันยังค่ำ ส่วนเราก็เป็นคนจากสำนักนอกอาณาจักร ความสัมพันธ์ของเราเปรียบเสมือนเพลิงและวารี หากอวี่อ๋องไม่ได้หวังจะขึ้นครองบัลลังก์ คงไม่กล้าแหกจารีตมาร่วมมือกับเราเป็นแน่” หุนเชียนอวิ่นพูดเรียบๆ ทุกครั้งที่เขาเอ่ย เปลวไฟในดวงตาจะเต้นตุบหนึ่งครั้ง
“มนุษย์ทำได้ทุกอย่างเพื่อผลประโยชน์ส่วนตน และจะยอมเสี่ยงเสมอ ไม่ว่าเจ้าจะยากดีมีจนเช่นไร ความจริงข้อนี้จะไม่มีวันตาย”
“เช่นนั้น… ท่านหัวหน้าผู้อาวุโสจะทำเช่นไรหรือขอรับ” สมาชิกสำนักวิญญาณทั้งสองถามอย่างงุนงง
“หลายวันก่อน หุนเชียนต้วนและราชากระบี่หัวใจสะบั้นหนีไปที่ร้านแห่งนั้น ทั้งสองใช้การคุ้มกันของร้านหยุดไม่ให้เซียวเหมิงและเหลียนฟู่จับกุมตน ความแข็งแกร่งของร้านลึกลับนั้นยากแท้หยั่งถึงยิ่งนัก ข่าวลือบอกว่ามีอสูรเวทระดับเก้าในตำนานเฝ้าร้านอยู่ เป้าหมายของอวี่อ๋องคือการให้เราไปดูลาดเลาที่ร้านเพื่อประเมินสถานการณ์ หากเราฆ่าเจ้าของร้านสำเร็จ… ก็จะเป็นการดีที่สุด” หุนเชียนอวิ่นพูดช้าๆ
“แต่หากพวกขั้นนักพรตยุทธการอย่างเซียวเหมิงและเหลียนฟู่ยังต่อกรไม่ได้ การส่งขั้นจักรพรรดิยุทธการที่ด้อยกว่าอย่างพวกเจ้าทั้งสองไป คงไม่ต่างอะไรกับการส่งให้ไปตาย…”
รูม่านตาของสมาชิกสำนักวิญญาณทั้งสองหดแคบทันที ต่างรู้สึกได้ถึงความเย็นเยือกที่ถาโถมขึ้นมาจากปลายเท้า
“ให้อ้าหลงและอ้าหูไปก็แล้วกัน ทั้งสองเป็นพวกระดับห้าขั้นราชันยุทธการ หากใช้วิชาของเรา ก็อาจทำภารกิจลอบสังหารได้สำเร็จ แต่หากพลาด… อย่างน้อยเราก็จะเสียแค่ขั้นราชันยุทธการสองคนเท่านั้น” หุนเชียนอวิ่นพูดแล้วหันหลังกลับไป
…
ทันทีที่ความมืดมิดเข้าปกคลุมท้องฟ้า อากาศหนาวเหน็บของต้นฤดูหนาวก็มาเยือน เมฆครึ้มสีเทาพัดผ่านท้องฟ้าอย่างเงียบเชียบ บดบังจันทร์เสี้ยวสองดวงที่ส่องแสงประชันกันจนมิด
ในร้านเล็กๆ ของฟางฟาง ปู้ฟางเปลี่ยนไปใส่ชุดลำลองเรียบร้อย ผมยาวของเขามัดตึงด้วยเชือกขนสัตว์ หน้าผากไม่มีลูกผมระเกะระกะ
“ผัดปูม้าสยบโลกาเป็นอาหารที่ถือว่าเป็นบททดสอบคุณภาพของวัตถุดิบ และความสามารถในการควบคุมความร้อนระหว่างกระบวนการผัดด้วยกระทะ” ชายหนุ่มพึมพำกับตนเองขณะเดินเข้าห้องครัวมา เขาตั้งใจว่าจะฝึกทำอาหารจานที่สุ่มขึ้นมาได้อย่างผัดปูม้าสยบโลกาในวันนี้
ปูม้าเป็นปูทะเลชนิดหนึ่ง ชื่อของมันได้มาจากจุดสีขาวบนกระดอง เนื้อปูม้านั้นทั้งอ่อนนุ่มและเต็มไปด้วยสารอาหารมากมาย
แน่นอนว่า… นี่เป็นคุณสมบัติของปูม้าปกติ
แต่จากการที่ปู้ฟางรู้จักระบบดี ปูม้าสยบโลกานั้นไม่มีทางเป็นปูม้าธรรมดาอย่างแน่นอน มันจะต้องเป็นอสูรเวทแน่ๆ
ทันทีที่เดินเข้าห้องครัวมา เขาก็เห็นตู้ปลาขนาดใหญ่อยู่บนพื้น ในตู้ปลานั้นไม่มีน้ำอยู่ แต่มีปูม้าตัวใหญ่ยักษ์ที่ถูกมัดก้ามและขามาไว้ให้เรียบร้อยแล้ว
ปูม้าตัวนี้สวยงามมาก กระดองของมันเป็นสีแดงเพลิงมีลวดลายสีแดงเข้มหนาแน่น เป็นภาพที่น่าประทับใจยิ่ง
“ปูม้าสยบโลกาเป็นอสูรเวทระดับห้าจากท้องทะเลแห่งดินแดนป่ารกชัฏ ความสามารถในการโจมตีของมันแข็งแกร่งมาก และทักษะการต่อสู้ก็ยอดเยี่ยมจนน่ากลัว อสูรเวทชนิดนี้มักอาศัยอยู่เป็นกลุ่ม เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในฝูงสัตว์ทะเลที่น่ากลัวที่สุดในท้องทะเลแห่งดินแดนป่ารกชัฏ กระนั้นเนื้อของมันก็มีรสชาติอร่อยมาก จัดเป็นวัตถุดิบชั้นเยี่ยมในการประกอบอาหาร” ระบบร่ายสรรพคุณของปูม้าสยบโลกาให้ปู้ฟางฟังด้วยน้ำเสียงไม่ยินดียินร้าย
ชายหนุ่มหรี่ตาลง เขารู้อยู่แล้วว่าปูม้าสยบโลกาไม่ใช่สัตว์ทะเลธรรมดา เป้าหมายของระบบคือการทำอาหารที่ยอดเยี่ยมที่สุดออกมา ดังนั้นวัตถุดิบที่เลือกใช้ย่อมต้องเป็นที่หนึ่งด้วย
ปู้ฟางหยิบมีดทำครัวปลายแหลมขึ้นมาจากโต๊ะด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ มีดทำครัวนั้นส่องประกายแสดงความคมออกมา ชายหนุ่มสะบัดข้อมือหมุนมีด
ปูม้าสยบโลกาที่ถูกมัดเอาไว้ด้วยเชือกขนสัตว์นอนอยู่ในตู้ปลาอย่างว่าง่าย ยากนักที่จะจินตนาการว่ามันเป็นอสูรเวทระดับห้าที่แสนร้ายกาจ
พอชายหนุ่มพลิกปูม้าให้หงายท้องขึ้น เจ้าปูก็น้ำลายฟูมปากอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราว
ทันทีที่ท้องของปูม้าสยบโลกาถูกเผยออกมา ปู้ฟางก็แทงปลายมีดลงไปที่ด้านบนสุดของส่วนท้อง ตอนนั้นเองเจ้าปู่ก็เริ่มดิ้นหนีเอาชีวิตรอด ดวงตาของมันกลอกไปมาอย่างไม่รู้จบ น้ำลายเริ่มฟูมปากมากขึ้นเรื่อยๆ
หลังจากผ่านไปหนึ่งก้านธูป ปูม้าสยบโลกาก็หยุดขัดขืนในที่สุด เชือกขนสัตว์ที่มัดก้ามของมันเอาไว้คลายออก หลังจากที่งัดกระดองบริเวณช่องท้องออกเรียบร้อย ปู้ฟางก็เริ่มทำความสะอาดและเตรียมปูม้าสำหรับการประกอบอาหาร
ชายหนุ่มหยิบกระทะออกมาหลังเตรียมทุกอย่างเสร็จสิ้น เขาเทน้ำมันลงไปเล็กน้อยแล้วตั้งไฟให้กระทะร้อน
จากนั้นก็หยิบมีดทำครัวอันหนักอึ้งที่ใช้ฝึกทักษะการใช้มีฝนดาวตกออกมา เพื่อตัดเชือกขนสัตว์ที่มัดปูเอาไว้
ทันทีที่อุณหภูมิน้ำมันร้อนได้ที่ ดวงตาของชายหนุ่มก็วาวโรจน์คมกริบ เขาฟาดมีดทำครัวลงไปอย่างแรง ผ่าปูม้าสยบโลกาออกเป็นสองซีก รอยมีดนั้นราบเรียบเป็นอย่างยิ่ง
มือของปู้ฟางนั้นไวจนไม่อยากเชื่อ ในอึดใจที่ปูม้าสยบโลกาถูกผ่าออกเป็นสองซีก ก่อนที่มันปูจะไหลออกมาเสียด้วยซ้ำ ชายหนุ่มก็โยนปูทั้งตัวลงในกระทะ
ฉ่า…
กลิ่นหอมลอยออกจากกระทะทันที เป็นกลิ่นที่เกิดจากการปะทะกันของเนื้อปู มันปู และน้ำมันร้อนๆ
ต่อมาที่ต้องทำคือการควบคุมความร้อน ปู้ฟางมีประสบการณ์เรื่องนี้เป็นอย่างดีอยู่แล้ว แม้ปูม้าสยบโลกาจะตัวใหญ่มาก แต่ก็ไม่ใช่ปัญหาสำหรับเขาแต่อย่างใด
ไม่นานนักผัดปูม้าสยบโลกาก็พร้อมกิน
ปูม้าสยบโลกาที่ถูกผ่าออกเป็นสองซีกถูกจัดวางลงบนจาน กระดองด้านนอกที่เป็นสีแดงนั้นดูเจิดจ้ายิ่งขึ้นกว่าเดิมเสียอีก นั่นเพราะน้ำมันที่เคลือบผิวกระดองอยู่ทำให้ปูส่องแสงเป็นประกายภายใต้แสงไฟส่องสว่าง
กลิ่นมันปูหอมเข้มเป็นอันมากหลังจากที่ผ่านกระบวนการผัดในกระทะ ด้วยความสามารถในการควบคุมความร้อนของปู้ฟาง เนื้อปูจึงทั้งขาว หอม และนุ่ม ส่งไอร้อนฉ่าออกมายั่วให้ชวนหิว
ปู้ฟางเลียริมฝีปาก หลังจากที่เช็ดหยดน้ำออกจากมือเรียบร้อย เขาก็นั่งลงบนเก้าอี้แล้วเริ่มกินผัดปูม้าสยบโลกาอย่างมีความสุข
“เป็นอย่างที่คิดไว้ไม่มีผิด อร่อยกว่าปูม้าผัดของร้านปักษาเพลิงนิรันดร์เป็นร้อยเท่า เหตุใดทักษะการทำอาหารของข้าถึงไร้เทียมทานเช่นนี้นะ” ชายหนุ่มคิดอย่างหน้าไม่อายขณะกินอาหารฝีมือตนเอง
ปูม้าสยบโลกาเพียงครึ่งหนึ่งก็เพียงพอแล้วสำหรับปู้ฟาง อีกครึ่งเขานำไปใส่คืนสู่ท้องของเจ้าขาว
หลังจากที่ทำความสะอาดเรียบร้อย ปู้ฟางก็ยืดเส้นยืดสายแล้วหาวออกมา หลังจากที่กินมาทั้งวัน เขาก็อดรู้สึกเหนื่อยขึ้นมาเล็กน้อยไม่ได้และคิดว่าจะเข้านอนเร็วในวันนี้ การนอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอนั้นสำคัญเป็นอย่างมากต่อชายหนุ่มที่จะกลายมาเป็นพ่อครัวเทพในอนาคต
ไฟในร้านดับลง ทุกอย่างมืดมิดและเงียบสงบอีกครั้ง
ดึกสงัด เสียงบางสิ่งเคลื่อนไหวผ่านอากาศดังขึ้นมาจากทางเข้าตรอก ร่างเหล่านั้นดำสนิทจนแทบมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า
ทั้งสองเคลื่อนไหวอย่างลื่นไหล ค่อยๆ มุ่งไปข้างหน้าโดยทำตัวติดกำแพงหินของตรอกเอาไว้ ไม่มีแม้แต่เสียงให้ได้ยิน
ร้านของปู้ฟางมีสองชั้น ชั้นหนึ่งเป็นบริเวณร้านอาหาร ส่วนชั้นสองมีห้องที่มีหน้าต่างอยู่หลายห้อง ห้องที่ชายหนุ่มนอนก็เป็นหนึ่งในนั้น ห้องนอนของปู้ฟางดูอบอุ่นสบายเป็นอันมากพร้อมด้วยหน้าต่างบานใหญ่ ทุกเช้าแสงอาทิตย์จะส่องผ่านหน้าต่างเข้ามาในห้องอย่างอบอุ่น
ทว่าตอนนี้เป็นช่วงกลางฤดูหนาว ชายหนุ่มจึงลงกลอนหน้าต่างเพื่อไม่ให้ลมหนาวลอดเข้ามาได้
ร่างทั้งสองเอาตัวแนบติดหน้าต่าง แต่ละคนยืนขนาบอยู่คนละข้าง พลังปราณถูกปกปิดเอาไว้จนจับกระแสไม่ได้
ที่ทางเข้าร้าน เจ้าดำที่นอนหลับอุตุอยู่ขยับตัวอย่างฉับพลัน มันลืมตาขึ้นอย่างง่วงงุนแล้วเหลือบขึ้นมองข้างบน
“หา ไอ้พวกหนูสกปรกระดับห้ามันมาทำอะไรกันกลางดึกกลางดื่น กระบวนเวทประหลาดดี แต่โชคร้ายเหลือเกินที่ดันมาเจอท่านสุนัขผู้ยิ่งใหญ่นี้เข้าเสียได้… แต่ในเมื่อเป็นเพียงหนูสกปรกระดับห้าสองคน ท่านสุนัขผู้ยิ่งใหญ่ผู้นี้จะไม่สนใจก็แล้วกัน บ็อก ง่วงจัง”
เจ้าดำเยาะเย้ย มันก้มหัวลงนอนต่อ
ดวงตาของผู้ฝึกตนขั้นราชันยุทธการจากสำนักวิญญาณเป็นประกาย คนหนึ่งวางมือลงบนหน้าต่าง แล้วหน้าต่างก็พลันเปิดออกทันที
ทั้งสองหันมามองหน้ากันด้วยความประหลาดใจ ไม่ได้คาดคิดเลยว่าจะง่ายดายถึงเพียงนี้ แต่นี่ไม่ใช่เวลาจะมาลังเล พวกเขาเคลื่อนตัวผ่านหน้าต่างเข้าไปในอาคารอย่างลื่นไหล
………………………