เรื่องราวอยู่เหนือความคาดหมายของคนมากเกินไป

 

 

ในใจของโจวเสาจิ่นหนักอึ้ง บอกไม่ได้ว่าเป็นความรู้สึกอะไร

 

 

หม่าฟู่ซานได้ฟังความลับของผู้เป็นนายแล้ว รู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย คิดว่าควรดูก่อนว่าโจวเสาจิ่นจะว่าอย่างไรแล้วเขาค่อยว่าตามนั้นด้วยก็ยังไม่สาย

 

 

ชั่วขณะนั้นภายในห้องก็เงียบเชียบ ไม่มีเสียงอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว

 

 

ขอทานชราขยับร่างกายอย่างกระวนกระวาย แววตาแวววาวนั้นเดี๋ยวก็ตกอยู่บนร่างของหม่าฟู่ซาน เดี๋ยวก็ตกอยู่กลางห้องโถง เดี๋ยวก็ตกอยู่บนพื้น สีหน้าแสดงความเจ้าเล่ห์ออกมาอยู่หลายส่วน

 

 

หม่าฟู่ซานเห็นแล้วก็ใจกระตุก

 

 

ตนลืมชายผู้นี้ไปได้อย่างไร

 

 

ไม่ว่าสิ่งที่เขาพูดมาจะจริงหรือเท็จ คุณหนูรองก็อายุยังน้อยนัก ตอนนี้ถูกคำพูดของชายผู้นี้ทำให้ตกใจกลัวไปแล้ว เดี๋ยวเมื่อได้สติกลับมาแล้ว ยังไม่รู้ว่าจะเสียใจหรือยินดี ซึ่งคงไม่อาจปล่อยให้ชายผู้นี้ได้เห็นเรื่องตลกอยู่ที่นี่หรอกกระมัง?

 

 

ขณะที่เขาคิด ก็ตะโกนเสียงดังขึ้นว่า “ตามที่เจ้าพูดมานี้ ตระกูลเฉิงและตระกูลจวงทั้งสองตระกูลเคยหมั้นหมายกันมาก่อน แต่ทำไมบรรดาเพื่อนบ้านถึงไม่รู้เรื่อง ข้าว่าเจ้าขาดคนคอยอบรมเสียแล้ว ถึงได้กล้ามาแต่งเรื่องว่านายท่านผู้เฒ่าตระกูลจวงและฮูหยินจวง…”

 

 

“ที่ข้าพูดมาทั้งหมดล้วนเป็นเรื่องจริงขอรับ!” ขอทานชราร้องไห้จนน้ำมูกน้ำตาไหลไปด้วยขึ้นมาในทันที “ในตอนแรกเป็นนายท่านไป่กล่าวว่านายหญิงผู้เฒ่าเป็นท่านป้าของจวนพวกเขา ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงไม่สามารถว่าอะไรได้ ต่อมาฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงได้ยินมาว่าคุณหนูใหญ่จวงนั้นเป็นวิญญาณจิ้งจอกกลับชาติมาเกิด จึงไม่ชอบใจ ต่อมาอีกทั้งสองตระกูลก็ถอนหมั้นกัน ทั้งยังเป็นตระกูลจวงที่เสนอความต้องการก่อน ตระกูลเฉิงจึงยิ่งไม่อาจเอ่ยถึงเรื่องนี้ขึ้นมาอีก เรื่องนี้ตระกูลกู้…และนายท่านใหญ่ตระกูลโจวต่างก็ทราบเรื่องดี…เดิมทีแล้วนายท่านผู้เฒ่าตระกูลจวงต้องการให้คุณหนูใหญ่จวงแต่งเข้าตระกูลกู้ ปรากฏว่าตระกูลกู้ไม่มีคุณชายที่อายุเหมาะสมกัน คุณหนูใหญ่จวงถึงได้แต่งให้กับนายท่านใหญ่ตระกูลโจว…” ขณะที่เขาพูด ก็สาบานต่อสวรรค์ “นายท่านผู้เป็นลุงของตระกูลจวงก็ทราบเรื่อง…แรกเริ่มเขาใช้เรื่องนี้ไปขอเอาเงินจากคุณหนูใหญ่ตระกูลจวง ต่อมาเป็นนายท่านใหญ่โจวออกหน้า ให้เงินกับนายท่านผู้เป็นลุงตระกูลจวง เป็นค่าปิดปากนายท่านผู้เป็นลุงตระกูลจวง…”

 

 

หม่าฟู่ซานผู้หลักแหลมฟังออกในทันทีถึงนัยยะที่แฝงอยู่ เขากล่าว “เช่นนั้นเจ้าเองก็รับเงินของตระกูลใดเป็นค่าปิดปากหรือ”

 

 

“ตะ…ตระกูลเฉิงขอรับ…” ถูกจับได้อย่างกะทันหัน ขอทานชราจึงโพล่งออกมาอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว

 

 

ตระกูลเฉิงหรือ

 

 

โจวเสาจิ่นปากอ้าตาค้างอย่างตกตะลึง

 

 

หม่าฟู่ซานอ้าปากค้างพูดไม่ออก

 

 

“เป็นเรื่องจริงขอรับ!” ขอทานชราเห็นว่าไหน ๆ เรื่องราวได้ถูกเปิดเผยแล้ว ต่อให้ตนเองไม่พูด หากคนของตระกูลโจวมีใจอยากรู้จริง ๆ ก็สามารถสืบออกมาได้ จึงพรั่งพรูออกมาราวกับคนที่ล้มอยู่บนเศษแจกันที่แตกแล้ว “ที่ผ่านมาตระกูลเฉิงมองเรื่องนี้ว่าเป็นเรื่องที่น่าอับอาย ด้วยเรื่องนี้ทำให้นายท่านไป่ตระกูลเฉิงทุ่มความพยายามที่จะแข็งแกร่งขึ้น จนสอบได้ตำแหน่งซิ่วไฉ ต่อมายังทำการค้าขึ้นมาอีก เพียงไม่กี่ปีของการทำงานอย่างหนัก เขาก็ร่ำรวยขึ้นมาเป็นอย่างมาก…เขาไม่ยินยอมให้การมีพูดถึงเรื่องนี้อีก…จึงให้เงินผู้น้อยมาก้อนหนึ่ง ให้ผู้น้อยออกไปจากเมืองจินหลิง ให้ไปทำการค้าเล็ก ๆ น้อย ๆ…นอกจากขับรถม้าแล้ว ผู้น้อยก็ไม่มีความสามารถอื่น ในเวลาเพียงไม่กี่ปี ก็ถลุงเงินจนหมด ไม่มีหนทางแล้ว ถึงได้มาขอทานเขากินขอรับ…”

 

 

หม่าฟู่ซานเป็นถึงผู้ใด ขณะที่ฟังก็ยิ้มเย็นพลางกล่าว “เป็นเพราะเจ้าไปข่มขู่เฉิงไป่ เฉิงไป่ถึงได้ให้เงินเจ้าไปทำการค้าเสียมากกว่ากระมัง นอกจากนี้ ตระกูลจวงก็เป็นตระกูลหนึ่งที่มีความเมตตา เนื่องจากเจ้าเคยรับใช้นายท่านผู้เฒ่าจวงมาก่อน เมื่อนายท่านผู้เฒ่าจวงเสียชีวิตแล้ว นายท่านของพวกข้าก็ให้ความสำคัญกับฮูหยินจวงมาโดยตลอด ต่อให้ตระกูลจวงไม่เลี้ยงดูเจ้า เพื่อเห็นแก่หน้าของฮูหยินจวง นายท่านของพวกข้าย่อมเลี้ยงดูเจ้า เจ้าจะร่อนเร่อยู่ตามถนน จนกลายมาเป็นขอทานไปได้อย่างไร”

 

 

เมื่อถูกผู้อื่นมองได้อย่างทะลุปรุโปร่ง ขอทานชราก็ตกใจจนถอดสี ใบหน้าซีดเผือด

 

 

หม่าฟู่ซานกลับมีสีหน้าไม่รีบร้อน กล่าวอย่างมีเมตตาว่า “เป็นข้าราชการไกลถึงพันหลี่ก็เพื่อเงินทอง ทำไมเจ้าไม่บอกให้เร็วกว่านี้เล่า ต้องให้ข้าจับเท้าที่เจ็บของเจ้าก่อนถึงจะกล่าวอย่างตรงไปตรงมาได้ ข้าจะไม่พูดอย่างอื่นกับเจ้าอีกแล้ว รางวัลที่คุณหนูใหญ่ให้มา เจ้าต้องแบ่งให้ข้าครึ่งหนึ่ง”

 

 

เขาในตอนนี้เดี๋ยวก็อากาศปลอดโปร่ง เดี๋ยวก็มีฝนตก เดี๋ยวก็ร้อน เดี๋ยวก็หนาว ทำให้ขอทานชราเป็นทุกข์จนคิดเรื่องอื่นขึ้นมาไม่ได้อีก เขากอดขาของหม่าฟู่ซานเอาไว้และกล่าวเสียงดังว่า “นายท่านพ่อบ้านใหญ่ ข้าจะเชื่อฟังท่านทุกอย่างขอรับ ๆ! ท่านช่างมีดวงตาหลักแหลมยิ่งนัก ข้าจะบอกทุกอย่างกับท่าน…เดิมทีข้านั้นรับใช้นายท่านผู้เฒ่าจวง ตระกูลของนายท่านผู้เฒ่าจวงค่อย ๆ ตกต่ำลง ชั่วขณะหนึ่งข้าเกิดความคิดชั่วร้ายขึ้นมา ขโมยภาพเขียนของนายท่านผู้เฒ่าจวงออกไปภาพหนึ่ง ใครจะรู้ว่าจะถูกนายท่านสิบสองของตระกูลกู้พบเห็นเข้า นายท่านผู้เฒ่าจวงก็เลยขับไล่ข้าออกไปด้วยเงินสิบเหลี่ยง ให้ข้ารีบออกไปจากตระกูลจวง…ข้าเคยเป็นพ่อค้าหาบเร่ เคยเป็นคนดูแลม้า เคยเป็นคนขับรถม้า และเป็นคนส่งของให้คนมาก่อน…อีกทั้งไม่มีภรรยาและลูก…ลำบากจนไม่สามารถใช้ชีวิตต่อไปได้แล้วจริง ๆ…ก็เลยคิดจะไปยืมเงินของคุณหนูใหญ่จวงสักสองสามเหลี่ยงเพื่อใช้จ่าย ถ้าไม่ได้ ก็จะไปยืมเงินของนายท่านผู้เป็นลุงของตระกูลจวงสักสองสามเหลี่ยงเพื่อใช้จ่ายก็ได้…ไม่คิดว่าคุณหนูใหญ่จวงจะเสียชีวิตแล้ว นายท่านใหญ่ไป่ตระกูลเฉิงก็ป่วยเสียชีวิตไปแล้ว ฮูหยินใหญ่ไป่ก็ไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ของตระกูลเฉิงและตระกูลจวงทั้งสอง ส่วนนายท่านผู้เป็นลุงของตระกูลจวงก็ไม่รู้ว่าหลบหนีเจ้าหนี้ไปอยู่ที่ไหนเสียแล้ว…เดิมทีข้าอยากจะไปหาคุณหนูใหญ่ตระกูลโจว แต่ไม่คาดคิดว่าจะได้พบกับคุณชายใหญ่ลู่ตระกูลเฉิง…”

 

 

“เจ้าว่าอะไรนะ?” แม้แต่คนที่เคยผ่านเรื่องเช่นนี้มาแล้วอย่างหม่าฟู่ซานก็ยังสีหน้าเปลี่ยนอย่างห้ามไม่อยู่ กล่าวขึ้นว่า “คนที่ให้เงินเจ้าก็คือคุณชายใหญ่ลู่ตระกูลเฉิงอย่างนั้นหรือ”

 

 

“ใช่แล้วขอรับ!” ขอทานชราไม่ได้รับรู้เลยว่าคำพูดไม่กี่ประโยคนี้ของตนจะทำให้คนอื่นตกใจกันมากขนาดไหน เขาใช้แขนเสื้อเช็ดน้ำมูก พลางกล่าว “คุณชายใหญ่ลู่กล่าวว่า หากเรื่องนี้ถูกเผยแพร่ออกไป จะมีผลกระทบต่อชื่อเสียงของนายท่านใหญ่ไป่ ห้ามไม่ให้ข้าพูดออกไปโดยเด็ดขาด ให้เงินยี่สิบเหลี่ยงกับข้ามาก่อน ต่อมาก็ให้เงินข้าอีกสามสิบเหลี่ยง…เดิมทีข้ายังคิดจะมาขอเงินเพิ่มอีกสักหน่อย ปรากฏว่าคนจากบ้านที่ข้าเคยช่วยดูแลม้ามาก่อนหลังนั้นตามมาหา ข้าก็เลยไม่กล้าอาศัยอยู่ที่จินหลิงมากนัก…ครั้งนี้หากไม่ใช่ว่าไม่มีหนทางไปแล้วจริง ๆ อีกทั้งยังได้ยินว่าคุณหนูรองดูแลบ่าวรับใช้ที่เคยรับใช้ฮูหยินจวงมาก่อนเหล่านั้นเป็นอย่างดี ข้าก็คงไม่กลับมา…” เขากล่าวถึงตรงนี้ ก็เอ่ยถามหม่าฟู่ซานอย่างกระวนกระวายขึ้นมาว่า “ข้าเช่นนี้ เคยรับใช้นายท่านผู้เฒ่าจวงมาก่อน น่าจะดูน่าเชื่อถือกว่าคนที่เคยรับใช้ฮูหยินจวงมาก่อน เช่นนั้นก็ถือได้ว่าเป็นบ่าวผู้จงรักภักดีได้ใช่หรือไม่”

 

 

บ่าวผู้จงรักภักดีหรือ เห็นๆ อยู่ว่าเป็นเพียงคนต่ำช้าผู้หนึ่งเท่านั้น!

 

 

หม่าฟูซานพูดไม่ออก กล่าวขึ้นพอเป็นพิธีว่า “ก็น่าจะเป็นอย่างนั้น! ให้ข้าไปถามคุณหนูรองก็น่าจะรู้แล้ว”

 

 

ขอทานชราดีใจเป็นอย่างยิ่ง กล่าวขึ้นอย่างหน้าไม่อายว่า “เช่นนั้น นายท่านพ่อบ้านใหญ่ เงินรางวัลของคุณหนูรองจะได้เมื่อไหร่หรือขอรับ ท่านดูข้า เงินหนึ่งเหรียญทองแดงสามารถหวาดหวั่นวีรบุรุษได้ ท่านให้ข้ายืมเงินสักสองสามเหรียญทองแดงก่อนได้หรือไม่ รอให้ได้เงินรางวัลจากคุณหนูรองแล้ว ข้าจะคืนให้ท่าน…”

 

 

“เอาล่ะๆ” ขณะที่หม่าฟู่ซานกำลังพูด ก็เห็นซือเซียงออกมาจากด้านหลังของห้องโถงกลาง ยื่นกระดาษแผ่นหนึ่งให้เขา

 

 

เขาเหลือบมองอย่างรีบเร่งครั้งหนึ่ง จากนั้นเอ่ยถามขอทานผู้นั้นว่า “คำพูดที่เจ้ากล่าวมานี้ ต้องมีคนเป็นพยานได้ ที่เจ้าบอกว่าตระกูลกู้ก็ทราบเรื่องนั้น ยังมีใครในตระกูลกู้ทราบอีกบ้าง แล้วที่ว่าคุณชายใหญ่ลู่ให้เงินเจ้านั้น มีใครเป็นพยานได้บ้าง”

 

 

ขอทานผู้นั้นครุ่นคิดอยู่ครู่ใหญ่ กล่าวขึ้นว่า “นายท่านสิบสองของตระกูลกู้…ได้เสียชีวิตไปหลายปีแล้ว ยังมีใครในตระกูลกู้ทราบเรื่องอีกบ้างนั้น…ข้าเองก็ไม่แน่ใจนัก…อย่างไรก็ตามนายท่านใหญ่ของตระกูลโจวน่าจะทราบเรื่องดี…ส่วนเรื่องที่คุณชายใหญ่ลู่ให้เงินข้านั้น เขาไม่ได้เป็นคนให้ข้าด้วยตัวเอง เป็นคนข้างกายของเขาที่แซ่จ้าวผู้หนึ่งเป็นคนให้ข้าขอรับ…”

 

 

แซ่จ้าวหรือ

 

 

จ้าวต้าไห่!

 

 

ปลายนิ้วของโจวเสาจิ่นสั่นเทา

 

 

จ้าวต้าไห่คือคนติดตามของเฉิงลู่

 

 

คือคนที่เฉิงลู่ไว้วางใจมากที่สุด

 

 

ของส่วนใหญ่ที่เฉิงลู่มอบให้นาง ก็ล้วนมาถึงมือของนางโดยผ่านจ้าวต้าไห่

 

 

ไม่ต้องไปหาหลักฐานเพิ่มอีก โจวเสาจิ่นก็มั่นใจแน่แล้ว ว่าคนที่ให้เงินปิดปากขอทานผู้นี้ ก็คือเฉิงลู่

 

 

เห็นได้ชัดว่าเฉิงลู่ทราบเรื่องพิพาทของสองตระกูลดี แล้วเหตุใดยังต้องการขอนางแต่งงานอีก ไม่ใช่สิ เฉิงลู่ไม่ได้ขอนางแต่งงาน เขาขออู๋เป่าจางแต่งงานต่างหาก! เขาเพียงทำให้ท่านยาย ทำให้ท่านป้าใหญ่คิดว่า เขาปรารถนาในตัวเอง เขาอยากแต่งงานกับนางก็เท่านั้น…

 

 

โจวเสาจิ่นตัวเย็นไปทั้งร่าง

 

 

นางจับพนักของเก้าอี้มีเท้าแขนเอาเอาไว้ ถึงได้บังคับตัวเองไม่ให้ล้มลงไปได้

 

 

“ซือเซียง” นางได้ยินเสียงแหบแห้งของตนเอง “เจ้าไปถามสักหน่อย ว่าเป็นเรื่องที่เกิดในช่วงเวลาใด”

 

 

ซือเซียงดูตื่นตระหนก นางขานตอบเสียงเบาว่า “เจ้าค่ะ” แล้วหมุนกายออกจากหลังห้องโถงไป

 

 

“เป็นเรื่องเมื่อสองปีก่อนขอรับ” ขอทานชรากล่าว “ข้าจำได้แม่นยำ ครั้งแรกเป็นเหรียญเงิน ใช้กระดาษสีน้ำตาลห่อเอาไว้ มีด้วยกันทั้งหมดสิบห่อ…”

 

 

สองปีก่อน นางอายุสิบขวบ

 

 

และก็ตั้งแต่ตอนนั้นเป็นต้นมา ที่เฉิงลู่เริ่มปรากฏตัวออกมาให้นางเห็นต่อหน้า

 

 

ขอบตาของโจวเสาจิ่นแดงก่ำ ใช้มือปิดหน้าเอาไว้พลางกล่าว “ให้เงินรางวัลขอทานชราผู้นั้นไปสามสิบเหลี่ยง และส่งเขาออกไปเสีย!”

 

 

ซือเซียงย่อเข่าทำคารวะ

 

 

ไม่นานในห้องก็เงียบสงบขึ้นมา

 

 

โจวเสาจิ่นนั่งเงียบๆ อยู่บนเก้าอี้ รู้สึกได้ว่าแสงแดดในห้องค่อย ๆ มืดลง ถึงได้ลุกขึ้นมา กล่าวเสียงเข้มว่า “พวกเรากลับกันเถอะ!”

 

 

ซือเซียงขานรับ ประคองโจวเสาจิ่นออกไปทางประตูหลัง ขึ้นเกี้ยวที่จอดรออยู่ที่นั่นมาตั้งนานแล้ว และกลับเรือนหว่านเซียง

 

 

โจวชูจิ่นกำลังยืนรอโจวเสาจิ่นอยู่ใต้ชายคาเรือนอย่างร้อนใจ

 

 

เมื่อเห็นพวกนางกลับมา นางรีบออกไปต้อนรับ กล่าวอย่างเป็นกังวลว่า “ทำไมถึงเพิ่งกลับมาเอาป่านนี้ เมื่อครู่ท่านยายยังถามถึง ของที่เจ้าพูดถึงนั้นซื้อได้หรือยัง”

 

 

โจวเสาจิ่นอ้างว่าต้องการเตรียมของขวัญวันเกิดให้ฮูหยินผู้เฒ่ากวนถึงได้หลอกล่อให้ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนอนุญาตให้นางออกไปข้างนอก

 

 

แต่ว่าตอนนี้ แม้แต่รอยยิ้มเพื่อปลอบโยนให้พี่สาวเบาใจลงสักรอยยิ้มหนึ่งก็ไม่สามารถแสดงออกมาได้

 

 

“โชคดีที่ซื้อของเอาไว้ตั้งแต่เช้าแล้วเจ้าค่ะ” โจวเสาจิ่นกล่าวอย่างเหนื่อยอ่อน “ถึงเวลานั้นก็นำไปส่งให้ท่านยายก็ได้แล้วเจ้าค่ะ”

 

 

นางเดินซวนเซเข้าไปในห้องชั้นใน และทิ้งตัวลงบนเตียง

 

 

โจวชูจิ่นตามเข้าไป

 

 

“เกิดอะไรขึ้น” นางนั่งอยู่ข้างๆ เตียงอย่างเป็นกังวลใจ

 

 

“ข้ายังไม่รู้ว่าจะบอกท่านอย่างไรดี” โจวเสาจิ่นฝังใบหน้าลงบนหมอน “รอให้ข้าได้ทบทวนดีๆ แล้วค่อยบอกท่านพี่นะเจ้าคะ”

 

 

โจวชูจิ่นไม่ได้เซ้าซี้นาง ลูบหัวไหล่ของนางอย่างอ่อนโยนครั้งแล้วครั้งเล่า จากนั้นค่อยๆ เดินออกไปอย่างเงียบๆ

 

 

โจวเสาจิ่นหลับสนิทไปหนึ่งตื่น ตอนที่ตื่นขึ้นมาพระจันทร์ได้เคลื่อนตัวขึ้นไปอยู่บนยอดหลิวอย่างโดดเดี่ยวแล้ว

 

 

นางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ไปหาโจวชูจิ่นผู้เป็นพี่สาว

 

 

โจวชูจิ่นกำลังถักพู่ลั่วจื่ออยู่

 

 

เมื่อได้ยินเสียงเคลื่อนไหวนางจึงเงยหน้าขึ้นมายิ้มพลางกล่าว “ข้าคิดอยู่เหมือนกันว่าเจ้าน่าจะตื่นแล้ว เอาล่ะ ข้าให้ตงหว่านไปต้มชา เจ้าก็ค่อย ๆ เล่ามาให้ข้าฟัง”

 

 

โจวเสาจิ่นยิ้มพลางนั่งลงข้าง ๆ พี่สาว แล้วถักพู่ลั่วจื่อไปพร้อม ๆ กับพี่สาว

 

 

“ท่านแม่ แต่เดิมเคยหมั้นหมายกับเฉิงไป่ผู้เป็นบิดาของเฉิงลู่มาก่อนเจ้าค่ะ…” นางเล่าได้ลื่นไหลและต่อเนื่องอย่างน่าสนใจ ทว่าโจวชูจิ่นกลับฟังแล้วรู้ตกใจและประหม่า

 

 

ไฟจากตะเกียงที่วางอยู่บนโต๊ะหลายอันนั้นแกว่งวูบวาบไปมาตามแรงลม ทำให้ภายในห้องประเดี๋ยวก็สว่างประเดี๋ยวก็มืด

 

 

“แล้วเจ้ามีแผนการอย่างไรบ้าง” โจวชูจิ่นจับมือของโจวเสาจิ่นเอาไว้แน่น “เจ้าไม่ต้องเชื่อคำครหาเหล่านั้น ถึงแม้ว่าท่านแม่กับเฉิงไป่จะถอนหมั้นกันจริง นั่นก็เป็นเพราะว่าเฉิงไป่หยิบหย่งไม่เอาจริงเอาจังเกินไป ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับท่านแม่ ต่อให้เจ้าไม่เชื่อใจข้า ก็ควรจะเชื่อใจท่านพ่อถึงจะถูก ไม่อย่างนั้นท่านพ่อคงไม่ให้ความเคารพท่านแม่มาตลอดเช่นนี้ทั้ง ๆ ที่ท่านแม่ก็จากไปตั้งนานหลายปีแล้ว”

 

 

พี่สาวคงกลัวว่านางจะเคลือบแคลงในตัวท่านแม่กระมัง

 

 

โจวเสาจิ่นกล่าว “ข้าเองก็คิดว่าเรื่องนี้ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับท่านแม่ หากว่าเฉิงไป่เกลียดท่านแม่ด้วยเหตุนี้ ก็กล่าวได้เพียงว่าเป็นเขาที่จิตใจคับแคบ และเหยียดหยามผู้อื่นอย่างไร้เหตุผล การที่ท่านตาไม่ยอมให้ท่านแม่แต่งกับเขา ก็ถือว่าถูกต้องที่สุดแล้ว ข้าเพียงแต่ไม่อาจให้อภัยเฉิงลู่ได้ เขาสามารถทำร้ายข้าอย่างอำมหิตขนาดนี้ได้อย่างไร…”

 

 

โจวชูจิ่นกลัวว่าโจวเสาจิ่นจะไปตอบโต้เฉิงลู่ด้วยเหตุนี้ นางจึงเกลี้ยกล่อมน้องสาวว่า “เจ้าได้รู้เกี่ยวกับเรื่องนี้แล้ว ต่อไปพวกเราไม่ต้องสนใจเขาอีกก็พอแล้ว คงไม่คุ้มค่าหากทำให้ตนเองต้องเสียเวลาเพื่อเขา”

 

 

ทว่าบางครั้ง ต่อให้เจ้าไม่รุกรานเขา แต่เขากลับไม่ยอมปล่อยเจ้าไป

 

 

ดังเช่นชาติก่อน

 

 

ทั้งๆ ที่นางหลบไปอยู่ถึงบ้านสวนที่ต้าซิ่งเพื่อรอความตายแล้ว เฉิงลู่ยังตามไปหลอกล่อให้นางหนีไปกับเขา…มีศัตรูพรรค์ไหนกัน ฆ่าคนไปแล้วก็ยังไม่พอ ยังต้องการโยนนางให้ตกลงไปในขุมนรกชั้นที่สิบแปดให้ได้ถึงจะพอใจ!

 

 

…………………………………………………………..