ตอนที่ 71 งานยุ่ง

ยามดอกวสันต์ผลิบาน

ผ่านไปสองสามวันโจวเสาจิ่นถึงได้กลับมาหายใจหายคอคล่องขึ้นเล็กน้อย

 

 

นางนำธูปบูชาพระที่ตนทำขึ้นเองไปเข้าพบฮูหยินใหญ่เหมี่ยน

 

 

ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนเห็นว่าธูปที่ทำขึ้นเองนั้นเนื้อธูปแน่นและหนา กลิ่นหอมอบอวล เมื่อได้กลิ่นแล้วก็ทำให้คนรู้สึกสดชื่นและสมองปลอดโปร่งยิ่ง จึงถามขึ้นอย่างประหลาดใจว่า “นี่คือธูปอะไรหรือ กลิ่นหอมยิ่งนัก! เจ้าทำเองจริงๆ หรือ”

 

 

“ธูปนี้เรียกว่าธูปหอมหมื่นลี้เจ้าค่ะ” โจวเสาจิ่นกล่าวยิ้มๆ “ในนี้มีการเติมส่วนผสมของไม้หอมการบูรเข้าไป ซึ่งทำขึ้นมาเมื่อหลายวันก่อนตามสูตรในตำราโบราณ ไม่นึกว่าจะทำออกมาได้จริงๆ เจ้าค่ะ จึงคิดจะยืมดอกไม้ผู้อื่นมาถวายพระ เพื่อเป็นหนึ่งในของขวัญที่จะมอบให้ท่านยายในงานวันเกิด แต่ก็ไม่แน่ใจว่าจะใช้ได้หรือไม่ จึงนำมาให้ท่านป้าใหญ่ช่วยตรวจดูก่อนเจ้าค่ะ”

 

 

“ดีมากๆ” ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนเอ่ยขึ้นอย่างลังเลว่า “ในเมื่อใส่ไม้หอมการบูรเพิ่มเข้าไป ก็คงจะไล่ยุงไล่แมลงได้ด้วยกระมัง”

 

 

“สามารถไล่ยุงไล่แมลงได้เจ้าค่ะ” โจวเสาจิ่นเหงื่อผุดขึ้นเต็มใบหน้าด้วยความกระดากอายอย่างห้ามไม่อยู่ เดิมทีนางให้ซือเซียงและคนอื่นๆ ช่วยกันทำธูปก็ตั้งใจทำเพื่อไล่ยุงไล่แมลง ทว่าต่อมาต้องไปไต่สวนขอทานชราผู้นั้น ก็เลยใช้เรื่องนี้มาเป็นข้ออ้าง จากที่ตั้งใจจะทำธูปขดก็ทำออกมาเป็นธูปบูชาพระ “ดังนั้นธูปนี้จึงเหมาะสำหรับใช้ในช่วงฤดูร้อนที่สุดเจ้าค่ะ หากเข้าสู่ฤดูหนาวแล้ว ก็จะต้องทำธูปจันทร์หอมหรือไม่ก็ธูปดอกไป่เหอเจ้าค่ะ”

 

 

“คิดไม่ถึงว่าที่เจ้าไม่ออกไปไหนเลยทั้งวัน จะสามารถทำของพวกนี้ออกมาได้” ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนยิ้มกล่าว ด้วยท่าทีเห็นชอบที่นางไม่ย่างเท้าข้ามประตูชั้นใน ไม่ออกไปพ้นประตูชั้นนอก อยู่แต่ในเรือนจนสามารถทำของกระจุกกระจิกที่ประณีตเหล่านี้ออกมาได้

 

 

โจวเสาจิ่นจึงถือโอกาสหยิบกล่องไม้สนสีเรียบๆ ขนาดเล็กกล่องหนึ่งออกมา พลางกล่าว “ข้างในนี้มีผงธูป ใช้จุดในกระถางธูปได้ดียิ่ง มอบให้ท่านเจ้าค่ะ หากว่าท่านใช้แล้วรู้สึกชื่นชอบ ข้าจะเริ่มทำธูปสำหรับฤดูหนาวในอีกไม่กี่วัน จะทำให้มากขึ้นสักหน่อยเจ้าค่ะ”

 

 

“ดีๆๆ” ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนยิ้มร่าพลางรับกล่องมา

 

 

โจวเสาจิ่นอยู่พูดคุยเป็นเพื่อนฮูหยินใหญ่เหมี่ยนอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงลุกขึ้นกล่าวอำลา

 

 

ทว่าเมื่อกลับมาถึงเรือนหว่านเซียง ซือเซียงมากระซิบบอกกับนางว่า “พ่อบ้านหม่ามาขอพบเจ้าค่ะ!”

 

 

โดยปกติยามมีเรื่องอะไร ล้วนเป็นภรรยาของหม่าฟู่ซานที่เข้ามารายงานโจวชูจิ่นในจวน

 

 

หม่าฟู่ซานมาขอพบ…

 

 

โจวเสาจิ่นรู้สึกหัวใจบีบรัด รีบเอ่ยถามขึ้นว่า “พ่อบ้านหม่าอยู่ที่ไหน ข้าจะไปพบเขาเดี๋ยวนี้”

 

 

หม่าฟู่ซานกำลังอยู่ในช่วงวัยฉกรรจ์ อีกทั้งที่นี่ยังเป็นจวนของตระกูลเฉิง จึงไม่เหมาะสมที่จะพบเขาในเรือนชั้นในเท่าใดนัก

 

 

ซือเซียงตอบไปว่า “เขาดื่มชาอยู่ที่ห้องข้างประตูจวนเจ้าค่ะ”

 

 

โจวเสาจิ่นพยักหน้า แล้วให้ซือเซียงนำเขาไปรอในห้องรับแขกข้างประตูชั้นใน ส่วนตนก็ไปเปลี่ยนเสื้อผ้า

 

 

หม่าฟู่ซานคำนับโจวเสาจิ่น สีหน้าเผยให้เห็นความวิตกกังวลอยู่หลายส่วน กระซิบเสียงต่ำว่า “คุณหนูรอง ไม่พบตัวขอทานชราผู้นั้นแล้วขอรับ!”

 

 

โจวเสาจิ่นตกตะลึง

 

 

หม่าฟู่ซานกล่าวอย่างกระดากอายว่า “ข้าเห็นว่าขอทานชราผู้นั้นไม่ใช่คนดีอะไร ท่านตกรางวัลให้เขาไปสามสิบเหลี่ยงเงินในคราวเดียว กลัวว่าเขาจะละโมบไม่รู้จักพอ กลับมาข่มขู่รีดไถท่านอีก จึงจัดสรรแบ่งเงินให้แทน มอบสิบเหลี่ยงเงินแก่เขาก่อน แล้วตกลงกับเขาว่า หากเรื่องที่เขาเล่ามาเป็นเรื่องจริง ก็จะตกรางวัลให้เขาอีกยี่สิบเหลี่ยงเงิน ข้าคิดทบทวนอีกทีในเมื่อเขาเคยก่อคดีความผิดครั้งยังเป็นบ่าวดูแลม้าในจวนผู้อื่น ไม่สู้ตรวจสอบเรื่องราวในปีนั้นอย่างถ้วนถี่ ถึงแม้ว่าจะไม่ดึงตระกูลนั้นมาเกี่ยวข้อง ทว่าก็สามารถใช้เรื่องนี้มาขู่บังคับไม่ให้เขามารังควานคุณหนูรองได้อีก ตั้งใจเอาไว้เสียดิบดี กระทั่งเช้าตรู่ของวันนี้ที่ข้าไปหาขอทานชราผู้นั้นที่โรงเตี๊ยม เขากลับไม่อยู่แล้ว นอกจากนี้ยังออกไปอย่างรีบร้อน แม้แต่เสื้อผ้าและผ้าเช็ดตัวที่ซื้อมาใหม่เมื่อหลายวันวันก่อนก็ไม่ได้เอาไปด้วย ซ้ำยังติดเงินค่าห้องพักที่โรงเตี๊ยมสามวันอีกด้วย เถ้าแก่ที่โรงเตี๊ยมนั้นเล่าว่า เห็นเขาดูเหมือนคนที่ไม่น่าจะมาพักในโรงเตี๊ยมได้ กลัวว่าเขาจะกินแล้วชักดาบ จึงส่งบ่าวรับใช้คอยจับตาดูเขาโดยตลอด แม้นเป็นเช่นนี้ ก็ไม่รู้ว่าเขาลอบหนีไปตอนไหน…คุณหนูรองขอรับ ท่านคิดว่าเรื่องนี้…ไม่น่าจะเป็นเพราะมีคนรู้ข่าวว่าขอทานชราได้กลับมายังเมืองจินหลิง จากนั้นจึงทำให้เขาหวาดกลัวจนหนีไป…หรือไม่ก็ฆ่าคนเพื่อปิดปากหรอกกระมังขอรับ!”

 

 

“ฆ่าปิดปาก?” โจวเสาจิ่นกล่าวอย่างพรั่นพรึง “ไม่น่าจะเป็นไปได้กระมัง?”

 

 

เนื่องด้วยเรื่องราวของท่านแม่ของนางกับความคับแค้นแต่หนหลังของตระกูลเฉิง ถึงกับฆ่าปิดปากเชียวหรือ เขาไม่กลัวจะถูกทางการจับได้หรือ?

 

 

ทว่าโจวเสาจิ่นรู้สึกรางๆ อยู่ในใจ ไม่แน่ว่าอาจจะมีบางคนที่ทำลงไปได้จริงๆ ก็เป็นได้

 

 

ไม่เช่นนั้นเขาก็คงจะไม่ ‘ทนกล้ำกลืนความอัปยศอดสูอยู่เงียบๆ’ มานานหลายปีขนาดนั้น จนกระทั่งนางตายในชาติก่อน ก็ยังไม่เข้าใจเลยว่าจริงๆ แล้วเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่!

 

 

นางถามหม่าฟู่ซาน “ทราบหรือไม่ว่าขอทานชราผู้นั้นกระทำผิดเรื่องอะไร”

 

 

หม่าฟู่ซานยิ้มอย่างขมขื่นว่า “ตอนที่เขาเป็นคนดูแลม้าให้ผู้อื่นนั้น เกือบจะลักพาตัวคุณชายน้อยของตระกูลไปขายขอรับ ดังนั้นตระกูลนั้นจึงเคียดแค้นเขาขนาดนี้ แม้นไกลโพ้นพันลี่ก็จะไล่ตามหาเขาจนพบเพื่อส่งตัวให้ทางการขอรับ”

 

 

โจวเสาจิ่นตกใจ พลางกล่าว “คนผู้นี้ ถ้าหากถูกฆ่าปิดปากจริงๆ ก็ไม่ถือว่าอยุติธรรมสักเท่าใด”

 

 

หม่าฟู่ซานเอ่ยขึ้นว่า “นี่ล้วนแล้วแต่เป็นการคาดเดาของข้าเท่านั้น ขอทานชราผู้นั้นเจ้าเล่ห์กลับกลอกยิ่ง ไม่แน่ว่าเมื่อเห็นสถานการณ์ไม่ดี จึงรีบชิงหนีไปก่อน แต่ข้าจะให้คนคอยจับตาดูประกาศของทางการทางเอาไว้ด้วยขอรับ”

 

 

ถ้าหากพบศพไร้นามหรือเกิดเหตุฆาตกรรมอะไร ทางการย่อมจะติดประกาศบน ‘กำแพงรูปอักษรปา’

 

 

ตอนนี้ก็ได้แต่ต้องเอาตามนี้ไปก่อน

 

 

โจวเสาจิ่นกำชับเขาอย่างละเอียดไปสองสามประโยค แล้วให้ซือเซียงส่งหม่าฟู่ซานกลับไป

 

 

ขณะที่คัดลอกพระธรรมอยู่ในเรือนหานปี้ซานในช่วงบ่าย นางได้แต่ขบคิดเรื่องนี้อยู่ตลอดเวลา

 

 

หากว่าเฉิงลู่มีใจโหดเ**้ยมอำมหิตขนาดนี้จริงๆ ล่ะก็ จะสามารถรวบรวมหลักฐานความชั่วช้าของเขา แล้วส่งตัวเขาให้กับทางการโดยตรงได้หรือไม่ ถือเป็นการตัดไฟเสียแต่ต้นลม

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเห็นนางคัดลอกพระธรรมได้น้อยกว่าทุกที จึงเอ่ยถามนางว่า “เจ้าเป็นกังวลเรื่องงานวันเกิดของท่านยายของเจ้าใช่หรือไม่ สองสามวันนี้ก็ร้อนระอุ เจ้าหยุดพักสักสองสามวันจะดีกว่า รอให้อากาศเย็นลงสักหน่อยค่อยกลับมาคัดต่อ”

 

 

โจวเสาจิ่นกำลังกลุ้มใจอยู่ว่าจะไม่มีเวลาไปสืบเรื่องของเฉิงลู่ เมื่อได้ยินดังนั้นจึงยิ้มร่าพลางกล่าวขอบคุณ โดยไม่ปฏิเสธแต่อย่างใด

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวชื่นชอบความซื่อตรงของนาง มอบแตงหวานให้นางสองลูก และให้เสี่ยวถานไปส่งนางกลับเรือนหว่านเซียง

 

 

โจวเสาจิ่นปรึกษาเกี่ยวกับการสืบเรื่องของเฉิงลู่กับพี่สาว

 

 

ครั้นโจวซูจิ่นได้ยินว่าทางด้านเฉิงลู่นั้นอาจจะพัวพันกับเหตุฆาตกรรม ก็อกสั่นขวัญแขวนอย่างห้ามไม่อยู่ รีบกล่าวขึ้นว่า “ไปสืบได้ แต่ต้องให้หม่าฟู่ซานเป็นคนสืบ เจ้าห้ามยื่นมือเข้าไปยุ่งด้วย”

 

 

โจวเสาจิ่นรู้จักนิสัยของพี่สาวตนเองดี เดิมทีก็ไม่ได้คิดจะไปสืบด้วยตนเองอยู่แล้ว เมื่อเห็นพี่สาวอนุญาต ก็ดีใจขึ้นมายกใหญ่อย่างคาดไม่ถึง พร้อมกับให้คำมั่นสัญญาครั้งแล้วครั้งเล่า

 

 

โจวชูจิ่นยังไม่อาจวางใจได้สนิท ประจวบกับที่เฉิงเจียบ่นว่าอากาศร้อนเกินไป ทางด้านห้องศึกษาจิ้งอันจึงได้หยุดการเรียนการสอน ทำให้โจวเสาจิ่นอยู่ในเรือนหว่านเซียงทั้งวัน โจวชูจิ่นจึงไปบอกฮูหยินใหญ่เหมี่ยน ขอให้โจวเสาจิ่นไปช่วยนางจัดเตรียมงานวันเกิดของท่านยายด้วย

 

 

ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนคิดว่าหลังจากที่โจวชูจิ่นแต่งงานออกไป ไม่แน่ว่านางอาจจะต้องสอนเรื่องการดูแลจัดการเรือนให้แก่โจวเสาจิ่น ตอนนี้มีโจวชูจิ่นช่วยชี้แนะ รอจนถึงยามที่ตนเองต้องรับช่วงต่อ การได้ผลลัพธ์สองเท่าโดยใช้ความพยายามเพียงครึ่งเดียวนั้น ก็นับเป็นเรื่องที่ดี นางไม่เพียงตอบตกลงเท่านั้น แต่ยังส่งมามาที่ไว้ใจได้คนหนึ่งไปคอยช่วยเหลือทั้งสองพี่น้องอีกด้วย

 

 

ไม่ใช่ว่าโจวเสาจิ่นไม่ฉลาดหลักแหลม เพียงแต่ว่าเมื่อกาลก่อนยามที่ต้องเผชิญกับเรื่องต่างๆ ก็ไม่กล้าตัดสินใจ ขลาดกลัว ลังเลและไม่เด็ดขาด เมื่อคนเห็นแล้วจึงรู้สึกเป็นกังวลแทนนาง ทว่าตอนนี้ นางผ่านประสบการณ์ต่างๆ มาแล้ว รู้ดีว่าในบางครั้งเรื่องบางอย่างอาจดูยากลำบากเป็นหมื่นเป็นพัน ทว่าพอได้ลงมือทำแล้วกลับง่ายดายยิ่งนัก ดังหัวเรือที่ย่อมกลับมาตั้งลำตรงเมื่อแล่นมาถึงสะพาน นอกจากนี้ นางยังไปก่อเหตุวางเพลิง…แต่สุดท้ายก็ผ่านพ้นไปได้โดยไร้อันตรายแม้จะหวั่นกลัวมากก็ตาม นางจึงอดไม่ได้ที่จะสั่งการอย่างมั่นใจ รายการนี้ต้องจดไว้ในบัญชีอะไร ของชิ้นนั้นต้องตั้งวางไว้ตรงไหน ใช้งานป้าผู้เป็นบ่าวอย่างเป็นระบบระเบียบ เมื่อฮูหยินใหญ่เหมี่ยนซักถามขึ้นมา ก็ไม่เห็นว่านางจะทำผิดพลาดเลย

 

 

ยิ่งนางได้ลงมือทำก็ยิ่งออกความคิดเห็นมากมาย

 

 

เมื่อคิดถึงวันเกิดของฮูหยินผู้เฒ่ากวนในช่วงฤดูร้อนอันแผดเผาขึ้นมา โจวเสาจิ่นจึงเสนอความคิดเห็นให้ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนว่า “…งานเลี้ยงในช่วงบ่ายจัดที่เรือนเจียซู่ ทั้งยังมีบ่าวผู้ซื่อสัตย์ภายในตระกูลที่มาร่วมอวยพรวันเกิดแด่ท่านยาย ยิ่งดูเป็นทางการมากเท่าใดย่อมยิ่งดีเป็นธรรมดา ส่วนงานเลี้ยงตระกูลในช่วงค่ำ จัดงานเลี้ยงที่เรือนหานซิวคงจะดีกว่า ประการแรกเป็นการแสดงความกตัญญูของท่านลุงใหญ่และท่านป้าใหญ่ ประการที่สอง ข้าอยากจะใช้ไม้ไผ่สานเป็นระแนง แล้วห้อยประดับด้วยพวงดอกเถิงหลัว กับดอกว่านผักบุ้งจำพวกนั้นบนระแนง ทำเป็นฉากบังลมด้วยดอกไม้สด และแขวนโคมไฟเอาไว้รอบๆ เสริมลูกเล่นให้ดูน่าสนใจ เมื่อรับประทานอาหารเสร็จแล้ว ก็มานั่งข้างฉากบังลมจิบน้ำชาคุยเล่นกัน พลางชมจันทร์ไปด้วย ถ้าเกิดว่าฝนตก ก็ย้ายฉากบังลมนี้ไปไว้ในห้องโถง ถือเป็นเรื่องน่าสนุกเรื่องหนนึ่ง ท่านป้าใหญ่คิดเห็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ”

 

 

ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนนึกถึงทุกๆ ปีที่เพียงแค่จัดโต๊ะหลายตัวในห้องโถง จัดวางและตกแต่งด้วยผลไม้และดอกไม้สดจำนวนหนึ่งเท่านั้น ถึงแม้จะไม่รู้ว่าความคิดที่โจวเสาจิ่นเสนอขึ้นมานี้จะจัดออกมาได้ดีตามที่นางบรรยายมาเช่นนั้นหรือไม่ อย่างไรเสียก็ถือว่าบุตรชายบุตรหญิงอย่างพวกเขาได้คิดมาอย่างดีแล้ว นางจึงกล่าวชมเชยว่า ดี อย่างอดไม่ได้ไปครั้งแล้วครั้งเล่า และกล่าวว่า “เรื่องนี้ก็มอบหมายให้เจ้าไปจัดการก็แล้วกัน หากเจ้าต้องการอะไร ก็บอกข้า”

 

 

โจวเสาจิ่นเชี่ยวชาญเรื่องต้นไม้ดอกไม้ ในชาติก่อนตอนที่อาศัยอยู่ที่บ้านสวนต้าชิ่ง ก็เคยปลูกต้นไม้ในเรือนมาก่อน ตัดแต่งให้เป็นพุ่มสูงขึ้นฟ้า เก็บพวงดอกเถิงหลัวมาทำเป็นฉากจำลอง สำหรับนางแล้วเรื่องนี้เป็นเรื่องง่ายเหมือนปลอกกล้วยเข้าปาก

 

 

นางยิ้มพลางตอบรับ แล้วพาสาวใช้ไปเลือกดอกเถิงหลัวในสวนดอกไม้

 

 

ทว่ากลับบังเอิญเจอชิงเฟิงกับหล่างเยว่

 

 

พวกเขายังคงสวมชุดนักพรตเต้าเผาผ้าฝ้ายสีน้ำเงินเช่นเดิม คนหนึ่งถือไหดินเผาในมือ อีกคนถือแจกันหรู่เหยาทรงดอกไม้ในมือ ปักดอกบัวสีขาวดอกหนึ่งอยู่ในนั้น ทั้งสองคนเดินไปด้วยพลางกระซิบเสียงเบาไปด้วย “กงกงไม่ได้มีใบหน้าขาวเกลี้ยงเกลาไร้หนวดเครา คล้ายหญิงสาวหรอกหรือ เหตุใดว่านกงกงผู้นี้ถึงได้มีรูปร่างสูงใหญ่ ดูน่าเกรงขามขนาดนี้ เหมือนจอมทัพใหญ่คนหนึ่ง…” ขณะที่พูด ไม่รู้ว่าสายตาของใครที่เหลือบเห็นพวกโจวเสาจิ่น ทั้งสองคนเงียบงันลงพร้อมกัน มองมาอย่างตกใจอยู่หลายส่วน หลังจากที่เห็นชัดแล้วว่าผู้ที่อยู่เบื้องหน้าคือโจวเสาจิ่น ทั้งสองคนก็แลกเปลี่ยนสายตากัน ดูกระวนกระวาย เม้มปากแน่นเป็นรอยเย็บเส้นหนึ่ง จากนั้นก็ยืดอกเงยหน้าขึ้น ตามองตรงไม่วอกแวก เสมือนว่าไม่รู้จักโจวเสาจิ่น และเดินผ่านโจวเสาจิ่นไป

 

 

เห็นชัดว่าเป็นแค่เด็ก ทว่ากลับทำท่าทางราวเป็นผู้ใหญ่

 

 

โจวเสาจิ่นแทบจะกลั้นหัวเราะเอาไว้ไม่อยู่

 

 

ว่านถง…หรือว่าจะหมายถึงว่านถงที่ถูกกล่าวถึงในวันนั้นว่าจะมาประจำการอยู่ที่เมืองจินหลิงผู้นั้น?

 

 

ฟังจากน้ำเสียงของชิงเฟิงกับหล่างเยว่แล้ว แสดงว่านถงมาเยี่ยมท่านน้าฉือแล้วอย่างนั้นหรือ

 

 

ไม่ว่าอย่างไรก็เป็นข้าราชการคนสำคัญของราชสำนัก ทำไมลานชั้นในกลับไม่ได้ข่าวลืออะไรเลยแม้แต่น้อย

 

 

ขณะที่โจวเสาจิ่นกำลังคิดฟุ้งซ่าน ชิงเฟิงกับหล่างเยว่ก็เดินเลี้ยวเข้าทางเดินที่อยู่เบื้องหน้า เงาร่างหายเข้าไปในสวนดอกไม้

 

 

มีหมัวมัวคนหนึ่งเข้าใจว่าโจวเสาจิ่นไม่รู้จักชิงเฟิงกับหล่างเยว่ จึงกล่าวยิ้มๆ ขึ้นว่า “บ่าวในเรือนของนายท่านสี่ฉือแห่งจวนหลักล้วนชอบสวมชุดนักพรตเต้าเผา เด็กน้อยทั้งสองคนนี้มักจะรับใช้อยู่ในเรือนของนายท่านสี่เป็นหลักเจ้าค่ะ”

 

 

โจวเสาจิ่นยิ้มพลางพยักหน้าหงึกๆ

 

 

มีสาวใช้กระซิบเสียงเบาว่า “ข้าได้ยินมาว่านายท่านสี่สามารถทำนายดวงชะตาได้ มิหนำซ้ำยังทำนายได้อย่างแม่นยำอีกด้วย เป็นเรื่องจริงหรือไม่เจ้าคะ”

 

 

“นั่นไม่ได้เรียกว่าทำนายดวงชะตา แต่เรียกว่า ‘บันทึกศาสตร์แห่งการเปลี่ยนแปลง’ ต่างหาก” มีสาวใช้กล่าวแย้งเสียงเบาว่า “ข้าได้ยินพวกบ่าวของจวนรองพูดคุยกัน กล่าวกันว่าท่านผู้นำตระกูลของจวนรองก็สามารถทำนายได้เช่นกัน ในปีนั้นที่เกิดภัยแล้งครั้งใหญ่ในปักกิ่ง องค์จักรพรรดิเคยให้ท่านผู้นำตระกูลของจวนรองทำนายมาก่อน”

 

 

“เช่นนั้นไม่ใช่เป็นเทพเป็นเทวดาแล้วหรอกหรือ”

 

 

พวกสาวใช้กระซิบกระซาบแสดงความคิดเห็นกัน

 

 

ทว่าโจวเสาจิ่นกลับถากถางอยู่ในใจ หากว่าสามารถทำนายได้จริงล่ะก็ เหตุใดถึงทำนายเรื่องที่ตระกูลเฉิงจะถูกตรวจสอบยึดทรัพย์และถูกฆ่าล้างทั้งตระกูลออกมาไม่ได้?

 

 

ไม่นานนักนางก็พบพวงดอกเถิงหลัวที่ต้องการ จึงนำไปปลูกในกระถางอย่างระมัดระวัง อีกทั้งสั่งให้ซือเซียงกับชุนหว่านแบ่งกันดูแลเป็นสองกะในตอนกลางวันและกลางคืน สองสามวันผ่านไป ใบของพวงดอกเถิงหลัวค่อยๆ มีชีวิตชีวาขึ้นมา โจวเสาจิ่นถึงได้โล่งใจไปเปลาะหนึ่ง เปิดห้องเก็บของพร้อมกับหมัวมัวที่ดูแลเรื่องต่างๆ ข้างกายฮูหยินใหญ่เหมี่ยน หยิบโคมไฟที่เหมาะสมกับงานวันเกิดออกมา และเลือกต้นไม้ต้นสูงใหญ่หลายต้น เพื่อแขวนโคมไฟ

 

 

ในตอนนี้เอง อยู่ๆ เฉิงลู่ก็มาขอพบโจวเสาจิ่น

 

 

………………………………………………………………….