ตอนที่ 72 พบเจอ

ยามดอกวสันต์ผลิบาน

เดิมทีโจวเสาจิ่นไม่อยากเจอเฉิงลู่ แต่ระหว่างที่คิดทบทวนอยู่นั้นก็นึกถึงเรื่องของขอทานชราผู้นั้นขึ้นมา จึงเปลี่ยนความตั้งใจ ตัดสินใจไปเจอเฉิงลู่ดูสักหน่อย

 

 

ห้องโถงรับแขกของจวนสี่นั้นฝังเลี่ยมเอาไว้ด้วยกระจกหลากสี ตอนที่บานประตูทั้งหมดเปิดออกนั้น ต้นไหวซู่เก่าแก่ด้านนอกได้บดบังแสงดวงอาทิตย์เอาไว้ ทำให้ด้านในของห้องโถงรับแขกเต็มไปด้วยร่มเงาสีเขียวครึ้มของใบไม้ที่หนาแน่น ให้ความร่มรื่นและสดชื่นยิ่ง

 

 

โจวเสาจิ่นนั่งอยู่ข้างๆ โต๊ะสี่เหลี่ยมที่อยู่ด้านหน้าของกลางห้องโถง มองเฉิงลู่อย่างยิ้มแย้ม เอ่ยขึ้นว่า “พี่ชายลู่มาหาข้ามีเรื่องอันใดหรือ” น้ำเสียงอ่อนโยนและนุ่มนวลเช่นเมื่อก่อน

 

 

จะว่าไปแล้ว นับตั้งแต่นางกลับมามีชีวิตใหม่อีกครั้ง นี่นับเป็นครั้งแรกที่ได้พบกับเฉิงลู่อย่างเป็นทางการเช่นนี้

 

 

เหมือนกับในความทรงจำของนาง เฉิงลู่มักจะชอบสวมเสื้อผ้าสีน้ำเงินไพลิน เพียงแต่ว่าในครั้งนี้เป็นชุดเดี่ยวผ้าไหมหังโจวลายว่านจื่อ รองเท้าสีฟ้าครามผ้าแพรต่วนหังโจว ตรงบริเวณเอวห้อยเอาไว้ด้วยแผ่นหยกมันแพะไร้ที่ติตลอดทั้งชิ้นอยู่ชิ้นหนึ่ง กลัดผมเป็นมวยด้วยปิ่นไม้ไผ่สีเขียว ดูเรียบง่ายและเป็นธรรมชาติทว่าก็ไม่ขาดความสง่างามและเหมาะสม

 

 

มุมปากของเขายกขึ้นเล็กน้อย เผยรอยยิ้มหนึ่งที่มีความเขินอายอยู่หลายส่วนออกมาเล็กน้อย เหลือบมองไปที่ซือเซียงที่ยืนอยู่ด้านหลังของโจวเสาจิ่นครั้งหนึ่ง กล่าวขึ้นอย่างลังเลว่า “ข้ามีเรื่องหนึ่ง อยากจะพูดกับน้องสาวตามลำพังสักหน่อย…”

 

 

หากว่าเป็นเมื่อก่อน แน่นอนว่าโจวเสาจิ่นจะต้องพิจารณาดูว่านี่เป็นเรื่องที่เหมาะสมหรือไม่ แต่ตอนนี้ นางเพียงยิ้มพลางกล่าวเรียบๆ ว่า “ซือเซียงเป็นบ่าวข้างกายของข้า มีเรื่องอะไรที่ไม่สามารถพูดต่อหน้านางหรือเจ้าคะ พี่ชายลู่ไม่จำเป็นต้องกังวลใจไป เรื่องของข้า นางล้วนทราบทุกอย่าง”

 

 

เฉิงลู่ประหลาดใจเล็กน้อย อดไม่ได้ที่จะมองสำรวจโจวเสาจิ่นโดยละเอียด

 

 

ผิวที่ขาวผ่องยิ่งกว่าหิมะ คิ้วและดวงตาที่โค้งโก่ง และท่วงท่าก็ยังคงดูอ่อนโยนและนุ่มนวลเช่นเดิม

 

 

เขาจึงรู้สึกว่าตนเองคิดมากจนเกินไป

 

 

ตามความเข้าใจที่เขามีต่อโจวเสาจิ่นนั้น นางไม่เพียงมีลักษณะที่อ่อนแอและขลาดกลัวเท่านั้น แต่ยังมากไปด้วยความกังวลและอ่อนไหวง่าย อีกทั้งเพราะเติบโตมากับการอ่าน ‘บัญญัติสอนหญิง’ และ ‘วิถีแห่งความดีงามของสตรี’ จึงเชื่อฟังในกฎระเบียบ และปฏิบัติตามธรรมเนียมอย่างเคร่งครัด ไม่ค่อยกล้าที่จะออกนอกลู่นอกทางแม้สักก้าว ถึงแม้เขาจะขอให้เฉิงอี้ช่วยนำสิ่งของไปมอบให้นาง หากพูดกันอย่างเป็นจริงเป็นจังแล้ว ก็ถือว่ายังไม่เหมาะสมสักเท่าไหร่ บ่าวรับใช้ข้างกายนางนั้นมีมากมาย อีกทั้งยังมีโจวชูจิ่นที่ฉลาดหลักแหลมอยู่ด้วยอีกผู้หนึ่ง เกรงว่าเรื่องที่ตนส่งของไปให้นั้นคงตกอยู่ในสายตาของโจวชูจิ่นแล้ว และคงถูกมองว่าผิดไปเสียทุกอย่างเสียแล้ว การที่โจวเสาจิ่นไม่สนใจตนเอง ก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล

 

 

เฉิงลู่คิดถึงตรงนี้ รู้สึกว่าการที่ตนเองพอเจอโจวเสาจิ่นก็ให้นางส่งคนรับใช้ข้างกายออกไปนั้นค่อนข้างไม่ฉลาดนัก ไม่แปลกที่นางจะปฏิเสธอย่างสุภาพ จากนั้นจึงกล่าวยิ้มๆ ว่า “เป็นข้าเองที่คิดมากเกินไป เนื่องจากน้องสาวกล่าวมาเช่นนี้แล้ว แน่นอนว่าซือเซียงเองก็เป็นผู้หนึ่งที่ทำให้ผู้คนวางใจได้” จากนั้น เขาก็ลังเลไปชั่วขณะหนึ่ง กล่าวขึ้นว่า “น้องสาวคงจะทราบแล้วกระมังว่าข้านำเอาทรัพย์สินที่ฝากเอาไว้ในนามของจวนสี่กลับมาแล้ว”

 

 

นี่คือคำเปิดฉาก

 

 

เนื่องจากอยากรู้เจตนาการมาของเฉิงลู่ จึงต้องพูดไปตามคำพูดของเขา

 

 

โจวเสาจิ่นยิ้มพลางกล่าว “ข้าได้ยินคนพูดกันแล้ว ท่านลุงไป่จากไปตั้งนานแล้ว ตอนนี้พี่ชายลู่ก็มียศตำแหน่งแล้ว จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่อยากจะนำเกียรติมาให้บรรพชน สนับสนุนวงศ์ตระกูล การนำเอาทรัพย์สินที่ฝากเอาไว้ในนามของจวนสี่กลับไป ก็เป็นเรื่องที่สมควรแล้ว ไม่ทราบว่าเหตุใดพี่ชายลู่จึงเอ่ยถึงเรื่องนี้ขึ้นมาหรือเจ้าคะ”

 

 

เฉิงลู่ค่อนข้างประหลาดใจ

 

 

เขาไม่คาดคิดมาก่อนว่าโจวเสาจิ่นจะมองเรื่องนี้เช่นนี้

 

 

หรือว่า ตระกูลเฉิงจวนอื่นๆ ก็คิดเช่นนี้เหมือนกัน…

 

 

ก่อนหน้านี้เขากลัวว่าข่าวคราวจะรั่วไหลออกไป จึงปิดปากเสียแน่นสนิท กลัวคนอื่นจะสงสัยเรื่องของเขากับจวนสี่ จะหาว่าเขานั้นพอได้ตำแหน่งก็กลายเป็นไร้สาระขึ้นมา หันหลังให้ญาติมิตร ต้องการขีดเส้นแบ่งกับจวนสี่ให้ชัดเจน…

 

 

เฉิงลู่พลันรู้สึกราวกับว่าตนเองทำเรื่องผิดพลาดขึ้นมาอีกเรื่องหนึ่งเสียแล้ว

 

 

เขาเกิดความวิตกกังวลขึ้นมาเล็กน้อยอยู่ในใจ เดิมทีเขาคิดว่าหลังจากที่พบโจวเสาจิ่นแล้ว เขาจะเอ่ยถึงเรื่องนี้ขึ้นมาโดยไม่บอกกล่าว แล้วก็จะสามารถจูงจมูกโจวเสาจิ่นได้ แต่หลังจากที่เขาได้พบหน้าโจวเสาจิ่น ได้พูดคุยกันเพียงไม่กี่ประโยค กลับค้นพบว่า เรื่องที่เขาเคยคิดว่ารู้เป็นอย่างดีในก่อนหน้านี้นั้น กลับเต็มไปด้วยช่องโหว่

 

 

เฉิงลู่มองแววตาของโจวเสาจิ่นแล้วก็เผยความระแวดระวังออกมาอยู่หลายส่วน กล่าวขึ้นมาอย่างทีเล่นทีจริงว่า “ยังคงเป็นน้องสาวที่รู้ใจข้า”

 

 

โจวเสาจิ่นแสยะยิ้มเย็นอยู่ในใจ

 

 

ชาติก่อน เขาก็เคยกล่าวคำพูดสองแง่สองง่ามเช่นนี้หลายต่อหลายครั้งมาก่อน

 

 

ชาตินี้ เขาคิดจะหลอกลวงตนเองอีก เกรงว่าคงจะไม่ง่ายดายขนาดนั้นอีกแล้ว!

 

 

คิดจะต่อกรกับเฉิงลู่ ก็ต้องเหนือชั้นยิ่งกว่าเฉิงลู่ถึงจะถูก

 

 

ถึงแม้โจวเสาจิ่นจะไม่รู้ว่าแบบไหนถึงจะเรียกว่าเหนือชั้นยิ่งกว่าเฉิงลู่ แต่นางก็รู้ว่า อย่างน้อยตนเองต้องไม่ปล่อยให้เฉิงลู่เพียงแค่มองครั้งหนึ่ง ก็ทำให้เฉิงลู่รู้แล้วว่านางกำลังคิดอะไรอยู่

 

 

โจวเสาจิ่นพยายามยิ้มน้อยๆ อย่างสุดความสามารถ ให้เหมือนกับรอยยิ้มน้อยๆ ในอดีต ไม่เอ่ยอะไร เผชิญหน้ากับเฉิงลู่ไปตามเล่ห์เหลี่ยมของเขา

 

 

เฉิงลู่กลับไม่ได้สงสัยอะไร

 

 

โจวเสาจิ่นนั้นพูดคุยไม่เก่งนัก เวลาส่วนใหญ่จึงมักจะนิ่งเงียบไม่พูดไม่จา…และยิ้มอย่างเขินอาย

 

 

เขายิ้มพลางกล่าว “เจ้าเองก็รู้ดีเกี่ยวกับเรื่องในครอบครัวของข้า…ถึงแม้ท่านแม่จะเป็นคนมีความสามารถผู้หนึ่ง เรื่องต่างๆ ภายในจวนล้วนไม่ต้องให้ข้าต้องเป็นกังวลใจ แต่เรื่องภายนอกจวนแล้ว ทั้งหมดกลับต้องพึ่งตัวข้าทั้งนั้น เมื่อก่อนตอนที่ข้ายังไม่ได้สอบจนเป็นซิ่วไฉนั้น ก็คิดมาตลอดว่าหากมีตำแหน่งแล้วก็คงจะดี อย่างน้อยเรื่องในบ้านก็เป็นข้าที่สามารถจัดการด้วยตนเองได้…”

 

 

เมื่อก่อน โจวเสาจิ่นชอบฟังคำพูดเช่นนี้เป็นที่สุด

 

 

ดังนั้นโจวเสาจิ่นจึงก้มหน้าก้มตาลง

 

 

นางกลัวว่าเฉิงลู่จะมองออกว่าตนเองกำลังเหยียดหยันอยู่ในใจ

 

 

เฉิงลู่ไม่ได้คิดมากอะไร กล่าวอย่างไม่รีบร้อนว่า “ข้าจึงซื้อบ้านซึ่งเป็นสินเดิมของท่านยายทวดของเจ้าบนถนนกวนเจียที่ตกไปอยู่ในมือของท่านลุงตระกูลจวงมา เตรียมเอาไว้รอให้ถึงเวลาที่เหมาะสมแล้วจะมอบให้เจ้า…”

 

 

ราวกับหินที่แตกสลายจนสะเทือนเลือนลั่นไปถึงสวรรค์

 

 

โจวเสาจิ่นมองเฉิงลู่อย่างประหลาดใจ ผ่านไปครู่ใหญ่แล้วก็ยังไม่ได้สติกลับมา

 

 

ต่อให้เป็นความฝันนางก็คิดไม่ถึงว่า เฉิงลู่จะยอมรับอย่างตรงไปตรงมาเช่นนี้ว่าเขาได้ซื้อบ้านที่ถนนกวนเจียมาแล้ว ที่ยิ่งคาดไม่ถึงเลยก็คือ เขาถึงกับสามารถพูดออกมาว่าที่ซื้อบ้านหลังนี้มานั้นก็เพื่อเตรียมจะมอบให้กับนาง

 

 

เฉิงลู่หมายถึงอะไรกันแน่

 

 

ชาติก่อน เขานั้นไม่เคยเอ่ยถึงบ้านที่ถนนกวนเจียมาก่อนเลย

 

 

นี่เขารู้ด้วยหรือไม่ว่าตนเองรู้เรื่องข้อพิพาทระหว่างตระกูลเฉิงและตระกูลจวงทั้งสองตระกูลแล้ว?

 

 

ถ้าหากว่าเป็นเช่นนั้น เหตุใดเขาถึงเอ่ยถึงเพียงบ้านที่ถนนกวนเจียแต่กลับไม่เอ่ยถึงเรื่องของขอทานชรา?

 

 

บางที เขาอาจจะเพียงลองหยั่งเชิงตนเองดูเท่านั้น?

 

 

ดูว่าตนเองจะมีท่าทีตอบสนองอย่างไรบ้าง!

 

 

โจวเสาจิ่นมึนงงสับสนอยู่ในใจ นางคาดเดาเจตนาของเฉิงลู่ไม่ออก หันไปมองเฉิงลู่อย่างอดไม่ได้

 

 

ดวงตาโตโดดเด่นคู่นั้นของเฉิงลู่ เวลานี้กำลังมองนางด้วยรอยยิ้มและแววตาซาบซึ้ง

 

 

โจวเสาจิ่นตัวสั่นไปครั้งหนึ่ง สมองพลันกลับมาแจ่มใสแล้วไม่น้อย อารมณ์ก็เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว

 

 

เฉิงลู่ไม่รู้ว่าตนเองนั้นกลับมามีชีวิตใหม่อีกครั้ง ดังนั้นเขาไม่รู้ว่าตนเองได้มองเห็นใบหน้าที่แท้จริงของเขาได้อย่างทะลุปรุโปร่งแล้ว เขายังคงใช้ลักษณะนิสัยของตนเองในกาลก่อนมาคาดเดาตนเอง นางเพียงต้องทำตัวให้เหมือนกับเมื่อก่อน เขาก็จะกล่าวต่อไปเรื่อยๆ เอง…

 

 

นางแสร้งแสดงท่าทีตกอยู่ในภวังค์ออกมา พึมพำกล่าวขึ้นว่า “พี่ชายลู่ ท่านหมายความว่า หมายความว่า…”

 

 

เฉิงลู่หัวเราะน้อยๆ พลางกล่าว “ไม่คิดมาก่อนว่าเจ้าเองก็อยากจะซื้อบ้านหลังนั้น ช่วงบ่ายของเมื่อวานข้าได้ยินต้าไห่บอกว่า มีพ่อค้าคนกลางต้องการจะซื้อบ้านหลังนี้ ถึงได้ทราบเรื่องนี้…ทั้งๆ ที่เจ้ารู้แล้วว่าข้าคือผู้ที่ซื้อบ้านหลังนั้นมา แล้วเหตุใดถึงไม่บอกข้าตรงๆ เล่า? ทำราวกับว่าระหว่างพวกเราพี่ชายน้องสาวในตอนนี้ไม่สนิทสนมดังแต่ก่อน…ในใจเจ้าไม่ค่อยชอบข้าแล้วใช่หรือไม่…เมื่อก่อนข้าเป็นเพียงถงเซิงผู้หนึ่งเท่านั้น อะไรก็ไม่มี จะพูดอะไรกับเจ้าได้…ทว่าวันนี้ไม่เหมือนเดิมแล้ว หากเจ้าอยากจะซื้อบ้านหลังนั้นกลับไปเป็นของตัวเอง ก็ให้หม่าฟู่ซานไปคุยกับจ้าวต้าไห่ก็พอ และไม่จำเป็นต้องพูดถึงเรื่องเงินทองเลย ข้าจะให้ทางการโอนไปเป็นชื่อของเจ้าโดยตรงก็ได้แล้ว…เดิมทีบ้านหลังนั้นก็เตรียมเอาไว้เพื่อมอบให้เจ้า ส่งมอบไวขึ้นมาหน่อยสักวัน หรือจะส่งมอบช้าลงไปหน่อยสักวัน ต่างก็มีค่าเท่ากัน…”

 

 

เกรงว่าจะไม่เหมือนกันอย่างใหญ่หลวงเสียมากกว่า!

 

 

หากว่าเขาบอกตนตอนที่ตนยังไม่รู้เรื่องนี้มาก่อน นางก็คงจะเชื่อไปแล้วว่าเขาเพียงซื้อบ้านที่ตั้งอยู่ที่ถนนกวนเจียของตระกูลจวงมาโดยไม่ตั้งใจเท่านั้น

 

 

การที่เขามาบอกตนในเวลานี้ นางเชื่อว่าเป็นการกระทำที่เขาไตร่ตรองมาก่อนล่วงหน้าตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว

 

 

โจวเสาจิ่นสูดลมหายใจลึกๆ ลมหายใจหนึ่ง ถึงทำให้อารมณ์ของตนเองสงบลงมาได้

 

 

เฉิงลู่ช่างเล่ห์เหลี่ยมจัดเสียจริง!

 

 

เขารู้แล้วว่าตนเองตรวจสอบเรื่องบ้านที่ถนนกวนเจีย ดังนั้นจึงชิงลงมือเสียก่อน โดยนำเรื่องบ้านหลังนั้นมาเล่าทำนองว่าเป็นการซื้อเอาไว้เพื่อเตรียมเอาไว้สำหรับมอบให้ตน

 

 

เช่นนั้นเขาจะรู้เรื่องของขอทานชราหรือไม่นะ?

 

 

โจวเสาจิ่นกล่าว “พี่ชายลู่ ขอบคุณท่านยิ่งนักเจ้าค่ะ! เดิมทีข้าเพียงคิดว่าบ้านหลังนั้นเคยเป็นบ้านของท่านแม่มาก่อน ฉะนั้นจึงอยากซื้อกลับมาเป็นของลำรึกชิ้นหนึ่งก็เท่านั้น ต่อมาได้ทราบว่าเป็นท่านที่ซื้อบ้านหลังนั้นไป คิดว่าอย่างไรเสียก็ไม่ได้ตกไปอยู่ในมือของคนอื่น ก็เลยล้มเลิกความคิดนี้ไป พี่ชายลู่ต้องการมอบบ้านหลังนั้นให้ข้า ข้าเห็นว่าไม่จำเป็นเจ้าค่ะ บ้านหลังนั้นเล็กเกินไป ในอนาคตก็ไม่อาจจะใช้อะไรได้ ขณะที่มันกลับอยู่ติดกับจวนของพี่ชายลู่ และตอนนี้พี่ชายลู่ก็ได้เป็นซิ่วไฉแล้ว ต่อไปผู้ที่ต้องคบค้าสมาคมด้วยย่อมต้องมีมากมาย ขยายบ้านให้กว้างขวางเสียหน่อย เวลาจะทำอะไรก็จะได้เป็นหน้าเป็นตา ข้าเห็นว่า บ้านหลังนี้พี่ชายลู่เก็บเอาไว้เองดีแล้วเจ้าค่ะ น้ำใจของพี่ชายลู่ ข้าซาบซึ้งยิ่งแล้ว”

 

 

“แต่ว่า นั่นเป็นทรัพย์สินของตระกูลจวงของพวกเจ้า…” เฉิงลู่กล่าวขึ้นอย่างลังเล

 

 

“ทุกสรรพสิ่งบนโลกนี้ ล้วนตั้งอยู่เพื่อผู้มีคุณธรรม” โจวเสาจิ่นกล่าวยิ้มๆ “พี่ชายลู่กล่าวเช่นนั้น แล้วของมีค่าหายากอย่างพวกทองหรือหยกโบราณต่างๆ ของตระกูลเฉิงเหล่านั้นจะทำอย่างไร”

 

 

เฉิงลู่หัวเราะอย่างสดใสขึ้นมา พลางกล่าว “คุณหนูรองพูดได้มีเหตุผล เป็นข้าเองที่หยาบคายเสียแล้ว”

 

 

โจวเสาจิ่นเองก็หัวเราะตามไปด้วย

 

 

เฉิงลู่จึงถามนางว่า “ข้าไม่คิดมาก่อนว่าเมื่อก่อนพวกเราสองครอบครัวจะอาศัยอยู่ข้างๆ กัน หากไม่ใช่ว่าเป็นเพราะน้องสาวต้องการซื้อบ้านหลังนั้นในครั้งนี้ เกรงว่าตลอดทั้งชีวิตนี้ก็คงไม่ได้รู้เสียแล้ว”

 

 

โจวเสาจิ่นจึงเล่นหลบหลีกกับเขา กล่าวยิ้มๆ ว่า “ข้าเองก็เผอิญค้นพบโดยไม่ตั้งใจตอนที่กลับบ้านเดิมเมื่อเทศกาลวันไหว้บ๊ะจ่าง ข้าได้ยินหม่าฟู่ซานกล่าวว่า ความสัมพันธ์ของท่านแม่ของข้าตอนที่ยังมีชีวิตอยู่กับท่านลุงตระกูลจวงไม่ค่อยดีนัก ดังนั้นท่านพ่อก็เลยให้ข้าติดตามพี่สาวมาอยู่ที่ตระกูลเฉิงด้วย ข้าคิดว่าท่านพ่อไปเป็นข้าราชการอยู่ข้างนอก มากไปด้วยความรู้และประสบการณ์ ในเมื่อเขาไม่อยากให้ข้าไปมาหาสู่กับท่านลุงตระกูลจวง ก็อาจเป็นไปได้ว่ามีเรื่องบาดหมางอะไรที่ไม่อยากให้ข้ารู้ เช่นนั้นข้าไม่รู้เสียก็น่าจะดีกว่า”

 

 

ทว่าแววตาของเฉิงลู่กลับเปล่งประกายระยับ กล่าว “แต่อย่างไรเสียก็เป็นเรื่องทางบ้านของมารดาเจ้า เจ้าไม่อยากไปดูบ้านที่ถนนกวนเจียสักหน่อยเลยหรือ”

 

 

“พระคุณของผู้ให้กำเนิดเทียบไม่ได้กับพระคุณของผู้เลี้ยงดูมา” โจวเสาจิ่นกล่าวอ้อมค้อมอย่างมีไหวพริบ “ตอนที่ท่านแม่เสียชีวิตนั้น ข้ายังอยู่ในวัยทารกเท่านั้น จำอะไรเกี่ยวกับท่านแม่ไม่ได้เลย เรื่องของท่านแม่ ทั้งหมดล้วนเป็นพี่สาวที่เล่าให้ข้าฟัง ตอนนี้ข้ามีท่านยาย ท่านป้าใหญ่และพี่สาว โดยปกติจึงไม่ค่อยได้คิดถึงเรื่องของท่านแม่สักเท่าไหร่”

 

 

เฉิงลู่ถอนหายใจ กล่าวขึ้นว่า “อย่างไรก็ตามก็เป็นคนที่ให้กำเนิดเจ้ามา บนร่างกายของเจ้าก็มีเลือดของนางอยู่ครึ่งหนึ่ง…”

 

 

โจวเสาจิ่นนิ่งเงียบไปพักใหญ่ ค่อยกล่าวเสียงเบาขึ้นว่า “สตรีในห้องหอ ไหนเลยจะออกไปไหนมาไหนได้ตามใจกันเจ้าคะ ต่อให้อยากจะไปดูจริงๆ ก็ต้องรอให้ออกเรือนไปเสียก่อน เมื่อสามารถเป็นนายของบ้านแล้ว ถึงจะไปดูได้ อย่างไรก็ตาม ท่านแม่ก็เสียชีวิตไปตั้งนานหลายปีแล้ว สิ่งของที่เหลือทิ้งไว้นั้น อะไรที่ควรจะไม่มีก็คงจะไม่มีเหลือตั้งนานแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องรีบร้อนในเวลานี้”

 

 

นี่ต่างหากถึงจะเป็นโจวเสาจิ่น

 

 

ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ล้วนฝากเอาไว้กับอนาคต ทว่ากลับไม่รู้เลยว่า บางเรื่องอยู่เพียงชั่วประเดี๋ยวเดียวเท่านั้น

 

 

เฉิงลู่ยิ้มพลางพยักหน้า กล่าว “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เช่นนั้นบ้านที่ถนนกวนเจียหลังนั้นข้าก็จะช่วยเจ้าเก็บเอาไว้ก่อน บางที…ในอนาคตเจ้าอยากจะจัดการอย่างไรก็ค่อยจัดการอย่างนั้นก็แล้วกัน…ก็เหมือนกับที่เจ้ากล่าวมา ก็ไม่จำเป็นต้องรีบร้อนในเวลานี้…กว่าจะถึงวันปักปิ่นของเจ้า ก็ยังมีเวลาอีกตั้งสามปี…” เมื่อกล่าวถึงตอนท้าย เสียงของเขาก็ค่อยๆ เบาลง เต็มไปด้วยความหวัง ราวกับกำลังพึมพำอยู่กับตัวเอง และเหมือนกับว่ากำลังปลุกเร้าตัวเองด้วย

 

 

โจวเสาจิ่นต้องอดกลั้นเอาไว้ถึงจะไม่หันไปเขวี้ยงถ้วยน้ำชาที่อยู่ข้างๆ มือไปที่เขา

 

 

นางเคยเห็นคนต่ำช้าที่ไร้ยางอายมาก่อน แต่ก็ยังไม่เคยเห็นคนต่ำช้าที่ไร้ยางอายเหมือนเฉิงลู่เช่นนี้มาก่อน!

 

 

………………………………………………………….