ตอนที่ 73 อารมณ์เสีย

ยามดอกวสันต์ผลิบาน

โจวเสาจิ่นโกรธจนไม่อยากพูดจา กลับถึงเรือนหว่านเซียงโดยไม่พูดไม่จามาตลอดทาง

 

 

โจวชูจิ่นรอนางอยู่ในห้องชั้นในของนาง เห็นสีหน้าของนางไม่สงบนัก จึงรีบกล่าวขึ้นว่า “เฉิงลู่คุยอะไรกับเจ้าบ้างหรือ”

 

 

โจวเสาจิ่นไม่มีหน้าจะเล่าสิ่งที่เฉิงลู่พูดพวกนั้นให้พี่สาวฟังอีกครั้ง

 

 

นางจึงเล่าถึงผลลัพธ์โดยตรง “เฉิงลู่ทราบเรื่องที่ข้ารู้เรื่องเกี่ยวกับบ้านที่ถนนกวนเจียแล้ว จึงชิงมาพูดกับข้าก่อนว่า เขาซื้อบ้านหลังนั้นมาโดยไม่ตั้งใจ คิดจะมอบให้ข้าตั้งแต่ต้น แต่เพราะไม่มีโอกาสที่เหมาะสม จึงไม่ได้พูดเรื่องนี้กับข้าเสียที…จากนั้นคือตั้งใจมาหยั่งเชิงดูว่าข้ารู้เรื่องเกี่ยวกับข้อพิพาทระหว่างตระกูลเฉิงและตระกูลจวงทั้งสองตระกูลหรือไม่เจ้าค่ะ…”

 

 

โจวชูจิ่นเองก็ตกใจมากเช่นกัน

 

 

เห็นน้องสาวพยายามระงับความโกรธอย่างอดทนอดกลั้นนั้นแล้ว นางก็พอจะเดาวัตถุประสงค์ของเฉิงลู่ได้อยู่รางๆ

 

 

ถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้นางเองก็รู้สึกว่าตระกูลเฉิงนั้นไม่ใช่คู่ที่ดีอยู่บ้าง แต่เมื่อเห็นว่าทุกครั้งที่น้องสาวได้พบกับเฉิงลู่ก็จะกลายเป็นคนมีชีวิตชีวาขึ้นมาก นางก็เลยคิดว่าเป็นตนเองที่เป็นกังวลมากเกินไป ตอนนี้น้องสาวกับเฉิงลู่ไม่ได้ลงเอยด้วยกันอย่างที่นางเคยกังวลใจ สำหรับนางแล้ว เป็นเรื่องที่ดียิ่ง แน่นอนว่านางย่อมไม่ถามน้องสาวถึงรายละเอียดให้เสียบรรยากาศ

 

 

แต่เรื่องที่เกิดขึ้นในช่วงหลายวันนี้ก็ทำให้นางรู้สึกไม่สบายใจอยู่บ้าง

 

 

นางพึมพำกล่าว “เสาจิ่น เจ้าให้หม่าฟู่ซานไปสืบความว่าบ้านที่ถนนกวนเจียนั้นตกอยู่ในมือของผู้ใด การที่เขารู้เรื่องบ้านที่ถนนกวนเจียแล้ว ก็ถือเป็นเรื่องปกติ แต่เขาจะพิสูจน์ได้อย่างไรว่าเจ้ารู้เรื่องข้อพิพาทระหว่างตระกูลเฉิงกับตระกูลจวงทั้งสองตระกูลหรือไม่ แล้วเหตุใดเขาถึงต้องการหยั่งเชิงเจ้าด้วย ต่อให้เจ้าไม่เก็บเอาเรื่องนี้มาใส่ใจ แต่ท่านพ่อและท่านยายจะยอมให้เจ้าแต่งเข้าตระกูลเฉิงไปได้อย่างไร”

 

 

นี่หากว่าให้คนที่รู้เรื่องนี้ได้ยินเข้า เกรงว่าจะแอบดูแคลนว่าหญิงสาวของตระกูลโจวนั้นขายไม่ออก จึงต้องพึ่งพาตระกูลเฉิงเท่านั้น!

 

 

ถึงแม้ว่าโจวชูจิ่นจะไม่ได้กล่าวคำพูดนี้ออกมาตรงๆ แต่โจวเสาจิ่นกลับฟังแล้วเข้าใจได้เป็นอย่างดี

 

 

นางใจเต้นรัว

 

 

ชาติก่อน เฉิงลู่ปิดบังท่านยายและท่านป้าใหญ่ได้สำเร็จ

 

 

กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ท่านยายและท่านป้าใหญ่ทั้งไม่รู้เรื่องด้วย และถูกเฉิงลู่หว่านล้อมด้วย

 

 

เฉิงลู่นั้นได้พบกับขอทานชราผู้นั้นเมื่อสองปีก่อน และก็เป็นสองปีก่อนเช่นกันที่เขาเริ่มเข้ามาใกล้ชิดกับตนเอง

 

 

ขอทานชราได้กล่าวเอาไว้ว่า ต่งซื่อผู้เป็นมารดาของเฉิงลู่นั้นไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย

 

 

เขาเริ่มลงมือตั้งแต่ตอนนั้น หรือเมื่อค้นพบว่าท่านยายกับท่านป้าใหญ่ไม่รู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ถึงค่อยเริ่มลงมือกัน?

 

 

โจวเสาจิ่นนึกถึงชาติก่อนตอนที่ท่านยายตัดสินใจให้ตนเองหมั้นหมายกับตระกูลเฉิงนั้น ท่านพ่อคัดค้านเป็นอย่างมาก ต่อมาไม่รู้ว่าท่านยายไปพูดกับท่านพ่ออย่างไร ถึงแม้ว่าต่อมาท่านพ่อจะไม่คัดค้านอีก แต่ก็เขียนจดหมายมาถามนางเป็นการส่วนตัวว่า ต้องการติดตามไปอยู่กับท่านหรือไม่ เนื่องจากว่านางนั้นไม่เคยอยู่กับท่านพ่อมาก่อน ในตอนนั้นน้องสาวต่างมารดาอย่างโจวโย่วจิ่นยังเสียชีวิตไปตั้งแต่ยังเด็ก ทิงหลานผู้เป็นสาวใช้อุ่นเตียงที่ท่านแม่ทิ้งเอาไว้ให้ท่านพ่อก็เลยคว้าโอกาสที่ท่านพ่อต้องการทายาทสืบสกุลนี้ตั้งครรภ์และคลอดบุตรออกมาได้จนสำเร็จ ทว่ากลับถูกมารดาเลี้ยงกำจัดแม่และเก็บเพียงบุตรเอาไว้ นางจึงกลัวมารดาเลี้ยง ไม่ยอมไปอยู่กับบิดา…ปรากฏว่าไม่รอให้ท่านพ่อได้ตอบกลับเรื่องหมั้นหมายของทั้งสองตระกูล เฉิงลู่ก็หมั้นกับอู๋เป่าจางไปเสียแล้ว

 

 

ชาติก่อน เรื่องราวทั้งหมดล้วนมีร่องรอยให้ติดตามได้

 

 

เพียงแต่นางค้นไม่พบเท่านั้น

 

 

เพราะเฉิงลู่รู้ว่าท่านพ่อจะต้องคัดค้านเรื่องงานแต่งของนางกับเขา เฉิงลู่ถึงได้ไปหมั้นกับอู๋เป่าจาง หรือเพราะอู๋เป่าจางก็ก้าวขาเข้ามาผสมโรงด้วยข้างหนึ่งตั้งแต่ต้นกันนะ?

 

 

โจวเสาจิ่นตัดสินใจว่าจะตรวจสอบเรื่องทั้งหมดให้กระจ่าง

 

 

ไม่เช่นนั้น เรื่องที่บอกว่าจะช่วยชีวิตตัวเอง ก็คงจะเป็นได้เพียงเรื่องตลกเรื่องหนึ่ง

 

 

ด้วยเหตุนี้นางเองก็เกิดความรังเกียจขึ้นมาในใจอยู่หลายส่วน

 

 

เฉิงลู่ ชักจะทำเกินไปแล้ว!

 

 

โจวเสาจิ่นอธิบายให้พี่สาวฟังอยู่หลายประโยค

 

 

โจวชูจิ่นเห็นนางไม่พูดความจริง ยังคิดไปว่าตอนนี้นางยังรับเรื่องของเฉิงลู่ไม่ได้ จะแอบเสียใจ ดังนั้นจึงทำเป็นไม่รู้เรื่องตามน้ำไป และพูดคุยกับนางไปอีกสองสามประโยค จากนั้นก็ไปหาฮูหยินใหญ่เหมี่ยน

 

 

ระหว่างทาง นางให้คนนำความไปแจ้งแก่ภรรยาของหม่าฟู่ซาน ให้นางเข้ามาหาที่จวนโดยทันที

 

 

กระทั่งภรรยาของหม่าฟู่ซานเข้ามาที่จวน นางดึงภรรยาของหม่าฟู่ซานไปที่ๆ ลับตาคน กระซิบกล่าวว่า “ต่อไปหากว่าคุณหนูรองมีคำสั่งอะไร พวกเจ้าก็เพียงทำตามนั้นไป แต่เมื่อเสร็จเรื่องแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการซื้อดอกไม้สักดอกหรือซื้อเข็มสักเล่ม ก็ต้องเอามาบอกข้าอย่างละเอียดทั้งหมด” จากนั้นก็กล่าวย้ำเตือนกับภรรยาของหม่าฟู่ซานอย่างจริงจังอีกครั้งว่า “อย่าให้คุณหนูรองรู้เรื่องนี้เป็นอันขาด”

 

 

เรื่องที่เกี่ยวกับชื่อเสียงของจวงซื่อและโจวเจิ้นนั้น หม่าฟู่ซานก็เป็นคนที่ปิดปากแน่นสนิทผู้หนึ่ง ภรรยาของหม่าฟู่ซานจึงไม่รู้เลยว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นบ้าง ถึงแม้นางจะรู้สึกสงสัยอยู่ในใจ แต่ก็นำความไปแจ้งแก่หม่าฟู่ซานอย่างไม่ให้ตกหล่นเลยแม้สักคำและไม่คลาดเคลื่อนเลยแม้สักประโยค

 

 

แต่โจวเสาจิ่นที่ทำงานเย็บปักอยู่ในห้องคนเดียวมาสักพัก ก็นั่งไม่ติดที่ขึ้นมาเล็กน้อย

 

 

นางอยากรู้ว่าท่านยายรู้เรื่องข้อพิพาทระหว่างตระกูลจวงและตระกูลเฉิงทั้งสองตระกูลหรือไม่กันแน่

 

 

โจวเสาจิ่นให้ชุนหว่านไปสืบดูว่าท่านยายกำลังทำอะไรอยุ่

 

 

ชุนหว่านกลับมาบอกนางว่า “…นายหญิงผู้เฒ่ากำลังคุยกับภรรยาของหัวหน้าผู้ดูแลบ้านสวนสองสามคนอยู่เจ้าค่ะ”

 

 

โจวเสาจิ่นข่มใจเอาไว้ รอให้ถึงช่วงกลางวันอย่างยากลำบาก ปรากฏว่าฮูหยินผู้เฒ่ารั้งให้ภรรยาของหัวหน้าผู้ดูแลบ้านสวนสองสามคนนั้นอยู่รับมื้อเที่ยงด้วย ให้พวกนางสองพี่น้องไม่ต้องมาร่วมมื้อเที่ยงด้วย ยังรั้งให้ภรรยาสองสามคนนั้นอยู่เล่นไพ่อีกด้วย

 

 

ดวงอาทิตย์เคลื่อนแขวนอยู่เหนือศีรษะอย่างเจิดจ้า พื้นในลานที่ปูด้วยก้อนหินก็ร้อนระอุ และเสียงร้องของจักจั่นก็ดังขึ้นเรื่อยๆ

 

 

ถึงแม้จะมีชุนหว่านคอยช่วยโบกสะบัดพัดให้ แต่โจวเสาจิ่นก็ยังรู้สสึกว่าร้อนจนจิตใจร้อนรุ่ม พลิกตัวไปมาอย่างนอนไม่หลับ

 

 

ชุนหว่านเอ่ยขึ้นว่า “คุณหนูรอง ข้าจะไปยกลูกหยางเหมยเย็นๆ มาให้ท่านสักถ้วยนะเจ้าคะ!”

 

 

จินหลิงไม่เหมือนกับจิงเฉิง ที่สามารถกักเก็บน้ำแข็งเอาไว้ในฤดูหนาว และมีก้อนน้ำแข็งมาช่วยคลายร้อนในฤดูร้อน โจวเสาจิ่นใช้ชีวิตช่วงสิบปีสุดท้ายอยู่ที่จิงเฉิง นางจึงไม่คุ้นชินกับความร้อนระอุของจินหลิง

 

 

หรือไม่ อาจจะไม่ใช่เพราะไม่คุ้นชินกับความร้อนระอุของจินหลิง แต่เป็นเพราะอารมณ์ฉุนเฉียเสียมากกว่ากระมัง

 

 

โจวเสาจิ่นเปลี่ยนใจ เอ่ยถามชุนหว่านว่า “มีต้มเม็ดบัวที่ไม่เอาไปแช่ให้เย็นในน้ำบ่อมาก่อนหรือไม่”

 

 

สุขภาพของนางในภายหลังนั้นย่ำแย่นัก จึงไม่ทานลูกหยางเหมยและพวกถั่วเขียวต่างๆ มานานแล้ว

 

 

ชุนหว่านไปที่ห้องครัว จากนั้นถือต้มเม็ดบัวถ้วยหนึ่งที่ยังร้อนลวกมืออยู่เล็กน้อยเข้ามา และใช้พัดพัดแรงๆ เท่าที่จะทำได้

 

 

อารมณ์ของโจวเสาจิ่นยิ่งร้อนรุ่มขึ้น จึงตัดสินใจไปคัดพระธรรมที่เรือนหานปี้ซาน

 

 

ชุนหว่านมองพระอาทิตย์ที่ร้อนระอุด้านนอก เอ่ยถามขึ้นอย่างลังเลว่า “ตอนนี้หรือเจ้าคะ”

 

 

โจวเสาจิ่นพยักหน้า

 

 

บางทีได้เดินอยู่ใต้ดวงอาทิตย์ดวงโตสักรอบ ให้เหงื่อได้ออกทั่วร่าง อารมณ์ของนางอาจจะดีขึ้นมาบ้าง

 

 

ชุนหว่านตะโกนเรียกสาวใช้นางหนึ่ง กางร่มและนำผ้าเช็ดหน้าสตรี ยาอมช่วยให้ลมปากสดชื่น กาน้ำชาเครื่องเงินและอื่นๆ แล้วมุ่งหน้าไปยังเรือนหานปี้ซานกับโจวเสาจิ่น

 

 

ถึงแม้ว่าจะมีร่มเงาของต้นไม้เขียวขจี แต่แสงอาทิตย์ก็ยังคงเสมือนกับลูกศรทอง ที่ยิงทะลุผ่านกิ่งไม้ลงมา

 

 

ร่างกายของโจวเสาจิ่นค่อยๆ ร้อนขึ้นมา ราวกับว่าใจของนางถูกแสงแดดนี้แผดเผาจนค่อยๆ ร้อนขึ้นเช่นกัน

 

 

กระทั่งตอนที่ถึงเรือนหานปี้ซาน ทั้งร่างของนางก็ได้ชุ่มไปด้วยเหงื่อ แต่ก็เต็มไปด้วยความสำราญใจอย่างเห็นได้ชัด

 

 

เรือนหานปี้ซานมีร่มเงาของต้นไม้ไปทั่วทั้งบริเวณ เต็มไปด้วยเสียงร้องของจักจั่น ทว่ากลับไร้ซึ่งเสียงของผู้คน

 

 

เวลานี้ อาจเป็นไปได้ว่าทุกคนคงจะกำลังพักผ่อนช่วงกลางวันกันอยู่

 

 

โจวเสาจิ่นเดินตรงไปยังห้องพระอย่างคุ้นเคย

 

 

มีสาวใช้นางหนึ่งขยี้ตาไปด้วยขณะที่วิ่งออกมา เห็นว่าเป็นพวกนาง นางหาวขณะที่ย่อเข่าทำความเคารพไปด้วย กล่าวอย่างไม่ค่อยชัดเจนเสียงหนึ่งว่า “คุณหนูรอง ท่านมาแล้วหรือ” จากนั้นก็ขยี้ตาอีกครั้งด้วยท่าทางต้องการจะกลับไปนอนต่อ

 

 

โจวเสาจิ่นยิ้มพลางกล่าว “เจ้าไปพักผ่อนเถอะ! ข้าจะไปคัดพระธรรมที่ห้องพระ รอให้ปี้อวี้มาแล้ว เจ้าบอกนางเสียหน่อยก็พอ ไม่ต้องรบกวนฮูหยินผู้เฒ่ากัวหรอก”

 

 

สาวใช้พยักหน้า

 

 

ทันใดนั้นก็มีเสียงเครื่องกระเบื้องตกลงบนพื้นดังมาจากเรือนหลักครั้งหนึ่ง

 

 

สาวใช้สะดุ้งครั้งหนึ่ง รู้สึกตัวตื่นเต็มตาขึ้นมา มองหน้ากันอย่างตกตะลึงกับโจวเสาจิ่นที่กำลังเบิกตากว้างอยู่

 

 

เสียงที่ดังออกมาจากด้านในห้องของฮูหยินผู้เฒ่ากัวนั้นค่อนข้างดุดัน “ไม่ชอบที่คุณชายสี่คบค้าสมาคมกับท่านขันที เหตุใดเขาถึงไม่คิดบ้างว่า หากไม่มีคุณชายสี่ เขาจะมีชีวิตที่สุขสบายอย่างวันนี้ได้หรือ เจ้าไปบอกเขา ชีวิตนี้เขาอยากจะใช้หรือไม่ ก็แล้วแต่เขา! อย่างไรเสียบรรพชนก็ได้แบ่งแยกมรดกกันไปตั้งนานแล้ว หากเขาต้องการจะเป็นผู้รับช่วงต่อของวงศ์ตระกูล ก็ย่อมได้ จวนหลักของพวกเราจะแยกสกุลไป ไม่เช่นนั้น ก็ให้เขาเอาระเบียนประวัติของวงศ์ตระกูลออกมา อย่าคิดว่าไม่มีเฉิงซวี่อย่างเขาแล้ว ตระกูลเฉิงจะดำเนินต่อไปไม่ได้อีก! เขาอยากจะละทิ้งภาระหน้าที่ เช่นนั้นก็ต้องดูด้วยว่าจวนหลักจะยินยอมด้วยหรือไม่…”

 

 

เห็นสิ่งที่ไม่ควรเห็น ได้ยินเรื่องที่ไม่ควรได้ยิน

 

 

โจวเสาจิ่นและสาวใช้ต่างวิ่งหนีไปอย่างตื่นตระหนก คนหนึ่งไปที่ห้องพระ ส่วนอีกคนก็ไปแอบที่ห้องน้ำชาด้านข้าง

 

 

กระทั่งนั่งลงที่ห้องพระแล้ว ใจของโจวเสาจิ่นก็ยังเต้นตึกตักไม่หยุด

 

 

นางกล่าวเตือนชุนหว่านและสาวใช้เด็กว่า “พวกเจ้าต้องปิดปากเอาไว้ให้แน่น หากข้าได้ยินคำซุบซิบอะไร จะไม่ถามถึงใคร จะมาหาพวกเจ้าเท่านั้น”

 

 

ทั้งสองคนให้คำสาบานต่อสวรรค์

 

 

โจวเสาจิ่นถึงได้ตระหนักว่าสถานที่ซ่อนตัวนี้ไม่ถูกต้องนัก

 

 

นางควรจะกลับไปที่เรือนหว่านเซียงมากกว่า วิ่งมาที่ห้องพระเช่นนี้จะอธิบายว่าอย่างไร

 

 

หากว่ามีคนจากเรือนหานปี้ซานถามขึ้นมา นางจะตอบว่าอย่างไรดี

 

 

โจวเสาจิ่นในเวลานี้ก็ไม่เหมาะที่จะเดินไปมาอีก โชคดีที่นางมาคัดพระธรรมที่ห้องพระนี้อยู่บ่อยๆ จึงมีพวกของที่จำเป็นต้องใช้สำหรับล้างหน้าล้างตาทั้งหมด รวมถึงเสื้อผ้าที่จัดเตรียมเผื่อเอาไว้อีกหลายชุดอยู่ที่นี่ ชุนหว่านและสาวใช้เด็กตักน้ำเข้ามา โจวเสาจิ่นล้างหน้าล้างตาอย่างาลวกๆ ครั้งหนึ่ง เปลี่ยนชั้นในชุดหนึ่ง มีลมเย็นๆ โชยเข้ามาทั่วทั้งห้อง อารมณ์ของนางถึงได้สงบลงมา

 

 

ชั่วขณะนั้นนางเองก็ไม่มีกะจิตกะใจจะคัดพระธรรม จึงนั่งรับลมอยู่ตรงนั้น วางแผนเอาไว้ว่า รออีกสักประเดี๋ยวทางด้านฮูหยินผู้เฒ่ากัวก็น่าจะเสร็จเรื่องแล้ว จากนั้นนางค่อยกลับเรือนหว่านเซียงก็ไม่สาย

 

 

แต่เมื่อนั่งอยู่ในนั้น คำพูดที่เพิ่งได้ยินมาเมื่อครู่กลับเหมือนกับสว่าน ที่เจาะเข้าไปในสมองของนางไม่หยุด ทำให้นางอดคิดฟุ้งซ่านไม่ได้

 

 

เขา ที่ฮูหยินผู้เฒ่ากัวพูดถึงนี้ เห็นได้ชัดว่าคือเฉิงซวี่ผู้เป็นท่านผู้นำตระกูลจวนรอง ฮูหยินผู้เฒ่ากัวในฐานะที่เป็นภรรยาของหลานชายเอ่ยถึงชื่อเขาตรงๆ อย่างไม่เคารพเช่นนี้ แสดงให้เห็นถึงความขุ่นเคืองใจที่มีอยู่ลึกๆ…ส่วน คุณชายสี่ ก็น่าจะเป็นท่านน้าฉือ เนื่องจากเขาอาวุโสเป็นลำดับที่สี่ในบรรดาพี่น้อง คราวก่อนตอนที่ฮูหยินผู้เฒ่ากัวนัดท่านยายไปสวดมนต์ในวันสรงน้ำพระพุทธเจ้านั้น ก็เคยเอ่ยถึงชื่อเรียกนี้มาก่อนครั้งหนึ่ง ตอนนั้นเป็นการให้ท่านน้าฉือแลกเงินเหรียญทองแดงให้…จวนหลักกับจวนรองมีเรื่องพิพาทอะไรกันแน่? ระเบียนประวัติของวงศ์ตระกูลอยู่ในมือของจวนรอง…เฉิงซวี่ไม่ชอบใจที่ท่านน้าฉือไปคบค้าสมาคมกับท่านขันที ซึ่งน่าจะหมายถึงว่านถง…พวกบัณฑิตมักจะดูถูกดูแคลนพวกขันที ไม่เหมือนกับชนชั้นสูงหรือญาติผู้ใกล้ชิดขององค์ฮ่องเต้ที่จิงเฉิงเหล่านั้น ที่ชอบคบค้าสมาคมกับพวกขันที…แต่ว่านถงมาปกครองเมืองจินหลิง ตระกูลเฉิงถือเป็นตระกูลลำดับหนึ่งของจินหลิง และท่านน้าฉือเป็นผู้ดูแลกิจการของตระกูลเฉิง คงเป็นไปไม่ได้กระมังที่จะไม่คบค้าสมาคมกับว่านถง! เฉิงซวี่นั้นเคยดำรงตำแหน่งเป็นถึงจิ่วชิงในราชสำนัก น่าจะทราบเรื่องพวกนี้ดีถึงจะถูก แล้วเหตุใดถึงไม่ชอบที่ท่านน้าฉือไปคบค้าสมาคมกับขันทีกัน?

 

 

หรือว่าท่านน้าฉือทำเรื่องอะไรที่เป็นการทำลายชื่อเสียงหรือผลประโยชน์ของตระกูลเฉิงอย่างนั้นหรือ

 

 

โจวเสาจิ่นนึกถึงท่าทีของเขาที่เอนตัวพิงอยู่บนหมอนใบใหญ่และดื่มชาอย่างเกียจคร้านนั้น!

 

 

ก็ไม่เหมือนนี่นา!

 

 

อย่างไรก็ตาม คนนั้นไม่อาจตัดสินจากสิ่งที่เห็น บางทีอาจจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นจริงๆ ก็เป็นได้…

 

 

แต่ท่าทางการพูดจาของฮูหยินผู้เฒ่ากัวก็ช่างกล้ายิ่งนัก แม้แต่เรื่องแยกสกุลก็กล้าโพล่งออกมา…ที่บอกว่าเฉิงซวี่จะละทิ้งภาระหน้าที่นั้น หมายถึงเรื่องอะไรกัน? ไม่ใช่ว่าเฉิงซวี่ไม่ได้ดูแลเรื่องในตระกูลมาตั้งนานแล้วหรือ

 

 

โจวเสาจิ่นรู้สึกว่าราวกับตนเองได้สอดแนมเจอกับอะไรบางอย่าง…รู้สึกไม่สบายใจยิ่งนัก

 

 

ดูเหมือนกับว่าตระกูลเฉิงในซอยจิ่วหรูที่ดูสมัครสมานสามัคคีกันนี้ แท้จริงแล้วเป็นดังคลื่นใต้น้ำที่ก่อตัวขึ้นมาอย่างเงียบๆ มาตั้งนานแล้ว

 

 

อาศัยคำพูดเพียงไม่กี่ประโยคของตนเอง จะสามารถช่วยตระกูลเฉิงให้ปลอดภัยได้จริงๆ หรือ

 

 

เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่กลับมาชีวิตใหม่ที่โจวเสาจิ่นรู้สึกว่า ความคิดความอ่านของตนเองในกาลก่อนนั้นไร้เดียงสามากเพียงใด!

 

 

นางไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรต่อไปดีอยู่บ้างเล็กน้อย

 

 

จึงตัดสินใจว่าควรคัดพระธรรมสักสองสามหน้าน่าจะดีกว่า

 

 

กาลก่อน ทุกครั้งที่นางจิตใจไม่สงบและความคิดฟุ้งซ่าน ก็จะคัดพระธรรม

 

 

ครั้งนี้ก็ไม่ยกเว้น

 

 

ท่ามกลางเสียงร้องของจักจั่น จิตใจของนางก็ค่อยๆ สงบลงมา

 

 

……………………………………………………………..