ตอนที่ 84 โหดร้ายขนาดนี้เชียวหรือ

ปฏิญญาค่าแค้น

คืนเดียวกันนั้น ฮานชิวเยว่ซึ่งอยู่ในบ้านชานเมืองทางทิศตะวันตกได้รับข่าวสารว่า เฉี่ยวโหรวถูกขายออกไปแล้ว และไม่รู้ว่าขายไปยังแห่งหนใด 

 

 

ฮานชิวเยว่โกรธเลือดขึ้นหน้า ชี้นิ้วและด่าท่อไปยังผู้มาส่งสาร “ทั้งๆ ที่รู้แต่แรกว่านางจะใช้โอกาสตอนที่ข้าไม่อยู่จัดการเฉี่ยวโหรว จึงให้พวกเจ้าคอยจับตามองไว้หน่อย พวกเจ้าดันปล่อยให้เรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นงั้นหรือ เจ้ากับไปบอกผู้ดูแลจ้าว ต่อให้ต้องพลิกแผ่นดินหาทั่วทั้งเมืองหลวง ก็ต้องเอาตัวนางกลับมาให้ข้าให้ได้” 

 

 

ข้ารับใช้ผู้มาส่งสารกล่าวด้วยเสียงสั่นเครือ “ข้าน้อยจะกลับไปบอกกล่าวเดี๋ยวนี้ขอรับ” 

 

 

หลังจากผู้ส่งสารออกไปแล้ว ฮานชิวเยว่ก็ยังคงกรนตำหนิด่าทอไม่เว้นว่าง “แต่ละตัวไม่ได้เลยทั้งสิ้น ข้าปล่อยพวกเจ้าซึ่งไม่ได้เรื่องได้ราวเอาไว้ทำซากอะไร รอกลับไปจวนเมื่อใดแล้ว ข้าจะจัดการทีละตัว…” 

 

 

ชุนซิ่งและชุ่ยจือยืนตัวแข็งทื่อ ภายใต้สีหน้าหวาดกลัว นับแต่มายังบ้านชานเมืองนี้ สภาพจิตใจของนายหญิงใหญ่ก็แย่เข้าไปทุกวัน อารมณ์ร้ายเที่ยวด่าทอผู้คนไปเรื่อย จนตอนนี้แม่เถียนยังไม่กล้ามาให้เห็นหน้า มีเพียงนางสองคนที่น่าสงสารมากสุด อยากจะหนีไปให้พ้นสถานการณ์เช่นนี้ก็มิอาจทำได้ 

 

 

เก้าวันเจ็ดคืน วันคืนอันแสนยากลำบากในที่สุดก็อดทนจนผ่านพ้นไปได้เสียที 

 

 

หลี่หมิงอวินเดินออกจากสนามสอบ สูดหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่ เก้าวันเจ็ดคืนนี้ก็ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่จินตนาการไว้เสียขนาดนั้นหนิ! 

 

 

“ปาจี” ผู้สอบคนหนึ่งซึ่งอยู่ด้านข้างเป็นลมล้มพับ เล่นเอาหลี่หมิงอวินตกใจไปชั่วขณะ ทหารหลวงตรงเข้ามาแบกคนผู้นั้นออกไปในทันที หลี่หมิงอวินขมวดคิ้ว พอมองดูผู้คนที่เดินผ่านข้างกายไปอีกครั้ง แต่ละคนสีหน้าราวกับขาดสารอาหาร เดินโซซัดโซเซ สิ่งของหล่นร่วงกระจัดกระจาย หลี่หมิงอวินส่ายหน้าอย่างเห็นใจ ช่างน่าสงสารเสียจริง การสอบหนึ่งครั้ง แทบจะพรากครึ่งชีวิตไป 

 

 

ตงจึรู้สึกดีใจอย่างสุขล้นขณะที่มองเห็นนายน้อยที่อยู่ท่ามกลางฝูงชน “เอ้อร์เส้าเหยียออกมาแล้ว…” ขณะพูดก็กระโดดลงจากรถม้าแล้ววิ่งเข้าไป 

 

 

“เอ้อร์เส้าเหยีย ท่านออกมาไวเสียจริงขอรับ” ตงจึเอ่ยพลางหัวเราะฮี่ฮี่ แล้วยื่นมือออกไปรับกล่องอุปกรณ์ในการสอบนำมาแบกไว้ มองดูสีหน้าอาการอันผ่อนคลายและสงบนิ่งของนายน้อย เห็นทีว่าครั้งนี้นายน้อยจะทำข้อสอบได้ไม่เลวอย่างแน่นอน 

 

 

หลี่หมิงอวินได้เห็นตงจึก็รู้สึกดีใจมากเช่นกัน เขาเอื้อมมือออกไปลูบหัวตงจึเล็กน้อย “เจ้าเด็กน้อยหายดีไวเหมือนกันนี่” 

 

 

ตงจึหัวเราะแฮะๆ “เอ้อร์เส้าหน่ายนายบอกว่า หากข้าน้อยไม่รีบหายดี ก็จะไม่ให้มารับเอ้อร์เส้าเหยีย ดังนั้นข้าน้อยก็เลยรีบรักษาตนเองอย่างสุดชีวิตเลยขอรับ” 

 

 

หลี่หมิงอวินหัวเราะฮ่าฮ่า “ดีมาก ดีมาก” 

 

 

แล้วต่อด้วยการเอ่ยถาม “หลายวันมานี้ในบ้านยังสงบเรียบร้อยหรือไม่” 

 

 

ตงจึยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ “ข้าน้อยนอนอยู่ในห้องเพื่อรักษาอาการป่วยตลอดทั้งวัน จึงไม่รับรู้เรื่องภายนอกแต่อย่างใด เอ้อร์เส้าเหยียกลับไปถามเอ้อร์เส้าหน่ายนายยังจะดีเสียกว่านะขอรับ” 

 

 

ผู้ดูแลจ้าวเข้ามาให้การต้อนรับ “เอ้อร์เส้าเหยีย เหล่าเหยียสั่งการให้ข้าน้อยมารับเส้าเหยียกลับจวนขอรับ” 

 

 

หลี่หมิงอวินมองไปยังตงจึ แล้วเอ่ยขึ้น “เจ้ารอคุณชายใหญ่ที่นี่เถอะ! ข้าจะกลับไปพร้อมตงจึก่อนแล้วกัน” 

 

 

ผู้ดูแลจ้าวรีบยกสองมือขึ้นคาราวะ “ขอรับ…” 

 

 

จากระยะที่ไกลออกไปบนรถม้าซึ่งไม่ได้อยู่ในสายตาหนึ่งคัน มุมผ้าม่านหน้าต่างรถสีขาวหยกถูกเลิกเปิดขึ้น 

 

 

“นั่นก็คือหลี่หมิงอวินใช่ไหม” 

 

 

“ใช่แล้วพะย่ะค่ะ นั่นแหละเขา” 

 

 

“ดูสีหน้าอารมณ์ของเขา ดูเหมือนจะทำข้อสอบได้ดีทีเดียว” 

 

 

“องค์ชาย เขาน่าจะมาแรงที่สุดในการสอบครั้งนี้แล้วพะย่ะค่ะ…” 

 

 

“อืม…รูปลักษณ์สง่างาม สุขุมนิ่งสงบ มีสง่าราศีเสียจริงเลย! ดูเก่งกาจกว่าท่านพ่อเขามากโขทีเดียว” 

 

 

“แน่นอนพะย่ะค่ะ เป็นถึงผู้มีพรสวรรค์อันดับหนึ่งแห่งเมืองหลวง ซึ่งมิใช่เพียงในนามคำล่ำลือเท่านั้นพะย่ะค่ะ” 

 

 

“ไปกันเถอะ…” 

 

 

“องค์ชายไม่ลองดูผู้อื่นบ้างหรือพะย่ะค่ะ” 

 

 

“ไม่จำเป็น ไว้กลับไปช่วยเตรียมของขวัญชั้นดีให้เขาด้วยหนึ่งชุก แล้วนำไปมอบให้ก่อนการประกาศรายชื่อผู้สอบผ่าน” 

 

 

“องค์ชายทรงมีพระปรีชาหลักแหลมยิ่งนักพะย่ะค่ะ…” 

 

 

เห็นได้ชัดว่าในเรือนหลั้วเซี๋ยวจายยุ่งวุ่นวายเป็นอย่างมาก ทว่าบนใบหน้าของแต่ละคนล้วนแต่งแต้มไว้ด้วยรอยยิ้มอันแสนสุขใจ ด้วยเหตุผลที่ว่าคุณชายรองกำลังกลับมาแล้วนั่นเอง 

 

 

“หรูอี้ เตรียมน้ำร้อนไว้เรียบร้อยแล้วหรือไม่” หลินหลันเอ่ยถาม 

 

 

“เรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ กำลังตั้งไฟอุ่นร้อนไว้อยู่ตลอดเลยเจ้าค่ะ!” 

 

 

“ป๋ายฮุ่ย เสื้อผ้าไว้ให้เอ้อร์เส้าเหยียเปลี่ยนเตรียมไว้แล้วใช่ไหม” 

 

 

“เตรียมไว้แล้วเจ้าค่ะ เตรียมไว้แล้ว…” 

 

 

“อวี้หลง ทางด้านกุ้ยซ่าวจัดเตรียมไปถึงไหนแล้วหรือ” 

 

 

“กำลังยุ่งอยู่เลยเจ้าค่ะ! กุ้ยซ่าวบอกว่า เอ้อร์เส้าหน่ายนายวางใจได้ พร้อมลำเรียงอาหารมาทุกเมื่อเจ้าค่ะ” 

 

 

หยินหลิ่วกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เอ้อร์เส้าหน่ายนาย ท่านพักผ่อนสักประเดี๋ยวเถอะ!” 

 

 

หลินหลันพลังเหลือล้น และอารมณ์ก็ดีมากเสียด้วย “พักผ่อนอะไรกัน ข้ามิใช่คนชราวัยเจ็ดแปดสิบเสียหน่อย ที่จะขยับนิดขยับหน่อยก็ต้องพักหายใจหายคอ หยินหลิ่ว เจ้าไปดูด้านนอกสิว่า เอ้อร์เส้าเหยียพวกเขากลับมาแล้วหรือยัง” 

 

 

“หยินหลิ่วหุบยิ้มแล้วกล่าวขึ้น “เอ้อร์เส้าหน่ายนายเจ้าค่ะ จิ่นซิ่วคอยดูอยู่ด้านนอกแล้วไงเจ้าค่ะ!” 

 

 

หลินหลันรู้สึกขายหน้าเล็กน้อย เมื่อครู่ยังพูดอยู่หยกๆ ว่าไม่ได้เป็นคนชราวัยเจ็ดแปดสิบปี ไม่ทันไรก็จำผิดจำถูกไปเสียแล้ว 

 

 

“เอ้อร์เส้าเหยียกลับมาแล้วเจ้าค่า…เอ้อร์เส้าหน่ายนาย เอ้อร์เส้าเหยียกลับมาแล้ว…” จิ่นซิ่วร้องตะโกนอย่างมีความสุขตลอดทางที่วิ่งหน้าตั้งเข้ามา 

 

 

หลินหลันลุกยืนขึ้นทันทีทันใด แล้วเอ่ยถาม “สีหน้าเอ้อร์เส้าเหยียเป็นอย่างไรหรือ” 

 

 

จิ่นซิ่วงุนงงไปชั่วครู่ กล่าวพึมพำ “ข้าน้อยไม่ทันได้สังเกตเจ้าค่ะ” 

 

 

หลินหลันแสร้งทำท่าจะเขกหัวนาง จิ่นซิ่วจึงรีบชักศีรษะหดลงไป “ข้าน้อยจะรีบไปดูให้ชัดเจนเดี๋ยวนี้เลยเจ้าค่ะ” 

 

 

“ไม่ต้องแล้ว ข้าไปเอง” หลินหลันพูดพลางสาวเท้าเดินออกไปอย่างรวดเร็ว 

 

 

หยินหลิ่วกับจิ่นซิ่วบนอุบอิบ “เอ้อร์เส้าหน่ายนายยังมีการมาพูดว่าไม่สนใจการสอบของเอ้อร์เส้าเหยียว่าจะเป็นอย่างไร แต่ข้าเห็นว่าเอ้อร์เส้าหน่ายนายสนใจเสียยิ่งกว่าใครๆ อีก” 

 

 

เมื่อหลินหลันเดินไปถึงประตูลานบ้านก็เห็นตงจึกับเหวินซานกำลังห้อมล้อมหลี่หมิงอวินเข้ามา 

 

 

สีหน้าหลี่หมิงอวินดูไม่เลวเลย เพียงแค่เผยความเหนื่อยล้าออกมาเล็กน้อยเท่านั้น ส่วนสภาพอารมณ์นั่น…ยังคงไม่แตกต่างไปจากปกติทั่วไปด้วยท่าทีสงบนิ่งแต่แฝงเอาไว้ซึ่งรอยยิ้ม หลินหลันแอบครุ่นคิด ลักษณะอารมณ์เช่นนี้ ต่อให้สอบได้ไม่ถึงกับดีเยี่ยม แต่ก็ไม่น่าจะสอบตกหรอก! 

 

 

เมื่อคืนนี้หลินหลันเรียบเรียงคำกล่าวในสมองไว้เรียบร้อยแล้วสองกรณี กรณีแรกคือการกล่าวปลอบประโลมหากหลี่หมิงอวินสอบตก และอีกกรณีหนึ่งคือคำกล่าวเยินยอด้วยหมิงอวินทำข้อสอบได้ไม่เลว อย่างไรก็ตาม ขณะนี้นางล้วนลืมมันไปหมดสิ้นเสียแล้ว จึงได้แต่ฉีกยิ้มสดใสแล้วกล่าวขึ้นมาหนึ่งประโยค “เจ้ากลับมาแล้ว!” 

 

 

หลี่หมิงอวินพยักหน้า น้ำเสียงสงบนิ่งดังผืนน้ำ “อืม กลับมาแล้ว” 

 

 

“อ่อ…เอ่อ…งั้น คงเหนื่อยแล้วสินะ! รีบเข้าไปในห้องแล้วพักผ่อนหน่อยเถิด ข้าจะให้คนเตรียมน้ำร้อนไว้ให้ อาบน้ำเสียก่อนเป็นไง” หลินหลันเสนอแนะ 

 

 

หลี่หมิงอวินยิ้มเล็กยิ้มน้อย “เอาสิ!” 

 

 

อึดอัดอยู่ในห้องสอบเดี่ยวขนาดเท่ารูหนูมาหลายวันขนาดนั้น หลี่หมิงอวินคิดว่าตนเองใกล้จะเน่าเสียแล้วด้วยซ้ำ 

 

 

หรูอี้และป๋ายฮุ่ยรีบไปเทน้ำ ส่วนตงจึคอยให้การปรนนิบัติคุณชายรองในระหว่างการอาบน้ำ หลินหลันรับหน้าที่จัดระเบียบกล่องสัมภาระที่นำติดตัวเข้าไปในการสอบของหมิงอวิน จากสิ่งนี้จะช่วยให้เห็นได้ว่าหลี่หมิงอวินเป็นอย่างไรในหลายวันมานี้ 

 

 

พู่กันใช้ไปแล้วสองด้าม อ้ายเซียงเหลือเพียงไม่กี่ก้าน เห็นได้ว่าคงจุดมันอยู่ตลอด ยาเม็ดฮั่วเซียงลดลงไปเล็กน้ย ส่วนยาเม็ดเป่าหนิงไร้การแตะต้องแต่อย่างใด ขนมอบกินเกลี้ยงและขนมเปี๊ยะเหลืออีกนิดหน่อย… 

 

 

อืม เห็นทีว่าสิ่งของที่นางตระเตรียม ล้วนได้ใช้งานจริงแทบทั้งหมด นึกถึงคุณชายใหญ่ที่ถูกยึดอุปกรณ์ซึ่งจำเป็นในการสอบไปเสียมากมาย หลินหลันนึกซะใจ ก็สะใภ้ใหญ่นางดันไม่ละเอียดรอบครองเองนี่นะ! 

 

 

การอาบน้ำครั้งนี้กินเวลานานพอตัว แต่ว่าหลินหลันเป็นอันเข้าใจได้ อากาศร้อนอบอ้าวเสียขนาดนี้ เก้าวันเจ็ดคืนไม่ได้อาบน้ำ จึงจำเป็นต้องใช้เวลานานเสียหน่อย 

 

 

เวลาผ่านไปครึ่งชั่วโมง ในที่สุดหลี่หมิงอวินก็ออกมาเสียที เปลี่ยนไปอยู่ในชุดเสื้อคลุมตัวยาวสีขาวนวล ผมเพร้ายังคงเปียกชื้นอยู่เล็กน้อย แม้ว่าสะอาดสะอ้านขึ้นไม่น้อย แต่มองดูแล้วยังคงไม่กระปรี่กะเปราเสียขนาดนั้น 

 

 

“หิวแล้วสินะ! อวี้หลงไปจัดโต๊ะ รีบนำอาหารมา วันนี้กุ้ยซ่าวทำปลาหมึกผัดผัก เนื้อวันตุ๋นหัวไชเถ้าและผัดรากบัว อาหารที่เจ้าชอบกินมากที่สุดไว้ให้…” หลินหลันกล่าวด้วยรอยยิ้ม 

 

 

หลี่หมิงอวินหย่อนตัวลงนั่งบนเก้าอี้ ถอนหายใจอย่างผ่อนคลาย “จะอย่างไร ที่บ้านก็ดีกว่าไหนๆ มีคนคอยใส่ใจ มีคนคอยเอาอกเอาใจ” นัยน์ตาอันแสนอ่อนโยนซึ่งเบนทิศทางไปยังนาง และกำลังเต็มไปด้วยความพึงพอใจอันสุขล้น 

 

 

สีหน้าหลินหลันเอียงอายขึ้นมาในทันที นี่เป็นการเอาอกเอาใจเขางั้นหรือ นางเพียงแค่คิดว่าผู้อุปถัมภ์ลำบากตรากตรำมาตั้งหลายวันแล้ว นางจึงอยากแสดงความห่วงใยก็เท่านั้นเอง 

 

 

หลินหลันยิ้มอย่างเสแสร้ง “ข้าก็แค่อยากประจบประแจงว่าที่ชายหนุ่มที่สอบได้เป็นอันดับหนึ่งก็เท่านั้นน่ะ!” 

 

 

หลี่หมิงอวินยกยิ้มมุมปาก “แล้วหากข้าสอบไม่ผ่านล่ะ” 

 

 

หลินหลันกล่าวด้วยความจริงใจอย่างมาก “งั้นอีกประเดี๋ยวเจ้าก็กินข้าวต้มคู่กับไชโป้วไปแล้วกัน” 

 

 

หลี่หมิงอวินหัวเราะฮ่าๆ แล้วกล่าวขึ้น “โหดร้ายขนาดนี้เชียวหรือ” 

 

 

หลินหลันเบ้ปาก “ข้าหมายความว่าข้าเองต่างหากที่จะกินข้าวต้มคู่กับไชโป้ว” 

 

 

“ทำไมหรือ” หลี่หมิงอวินเลิกคิ้วขึ้น รู้สึกไม่เข้าใจ 

 

 

หลินหลันกล่าวพลางปั้นหน้าเศร้าสร้อย “เจ้าคิดดูนะ หากเจ้าสอบไม่ผ่าน ท่านพ่อเจ้าก็จะไม่แยแสเจ้าแล้ว คืนวันของพวกเราก็ต้องตกระกำลำบากเช่นกัน คงต้องคอยพึ่งพาความช่วยเหลือจากผู้อื่นเพื่อปะทังชีวิตในแต่ละวัน จึงเป็นธรรมดาที่จะต้องประหยัดอดออมไว้หน่อย” 

 

 

หลี่หมิงอวินตกตะลึงไปชั่วครู่ ก่อนจะตามมาด้วยการระเบิดเสียงหัวเราะออกมา ดวงตาสีดำสนิทเต็มไปด้วยรอยยิ้มเช่นกัน “ที่แท้เจ้าได้เตรียมตัวเตรียมใจที่จะร่วมทุกข์ร่วมสุขกับข้าแล้วนี่เอง…” เขาชะงักไปชั่วครู่ และทันใดนั้นนัยน์ตาของเขาก็ฉายความอ่อนโยนกว่าครั้งไหนๆ และเอ่ยด้วยน้ำเสียงอันแสนนุ่มนวล “จะปล่อยให้เจ้าใช้ชีวิตอย่างลำบาก ข้าทำไม่ลงหรอกนะ!” 

 

 

หลินหลันถูกนัยน์ตาอันแสนอ่อนโยนของเขา ผนวกกับคำพูดชวนหวั่นไหวอันแสนอบอุ่น เล่นงานหัวใจจนกระเจิงไปเล็กน้อยอย่างอธิบายมิได้ ไม่คุ้นชิ้นเอาเสียเลย จะแสดงอะไรนักหนา ตอนนี้ไม่มีคนอื่นอยู่ด้วยเสียหน่อย เหตุใดต้องแสดงอย่างเข้าถึงอารมณ์เสียเช่นนี้ ทำให้นางถึงกับไปไม่เป็นเลยทีเดียวเชียว 

 

 

“ไม่สนเจ้าแล้ว ข้าไปดูอวี้หลงหน่อยดีกว่าว่านางเตรียมพร้อมแล้วหรือยัง” หลินหลันหาข้ออ้างแล้วรีบวิ่งมาจากตรงนั้นอย่างรวดเร็ว 

 

 

ขณะที่ทางด้านนี้กำลังรับประทานอาหารกันอยู่นั้น เหวินซานก็เข้ามาให้การรายงาน “เอ้อร์เส้าหน่ายนาย ต้าเส้าหน่ายนายเรียนเชิญทันรีบไปทางด้านนั้นสักหน่อยขอรับ” 

 

 

หลี่หมิงอวินขมวดคิ้วเมื่อได้ยิน “ด้วยเรื่องอันใดหรือ” 

 

 

เหวินซานเอ่ย “ต้าเส้าเหยียถูกคนแบกกลับมาแล้วขอรับ” 

 

 

หลินหลันกำลังดื่มซุปเนื้อวัวตุ๋นหัวไชเท้า เมื่อได้ยินเช่นนั้นก็แทบสำลักออกมา หลี่หมิงอวินรับลูบแผ่นหลังให้แก่นาง และกล่าวอย่างห่วงใย “เจ้าไม่เป็นไรใช่ไหม!” 

 

 

หลินหลันกลั้นรอยยิ้มเอาไว้ “ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร ข้ารีบไปดูเสียหน่อยแล้วกัน” 

 

 

หลี่หมิงอวินกล่าว “ข้าไปกับเจ้าด้วย” 

 

 

“ไม่ต้อง เจ้ากินข้าวให้สบายใจเถอะ!” หลินหลันโบกมือปัดๆ 

 

 

หลี่หมิงอวินวางชามและตะเกียบลง กล่าวด้วยความไม่พอใจ “เจ้าไปดูความครึกครื้นทั้งที แต่ไม่อนุญาตให้ข้าไปด้วยงั้นหรือ” 

 

 

ทั้งสองละทิ้งมืออาหาร แล้วรีบมุ่งไปยังเรือนเว่ยอวี่เซวียน โดยมีเหวินซานรับหน้าที่แบกกล่องยาติดตามไปด้วย 

 

 

ในเว่ยอวี่เซวียนกำลังชุลมุนวุ่นวาย หลี่จิ้งเสียนอยู่ที่นั่นด้วยเช่นกัน โดยกำลังมองดูหมิงเจ๋อซึ่งนอนสีหน้าซีดเสียวอยู่บนเตียงแล้วก็นึกโมโหขึ้นมา เข้าร่วมการสอบเหมือนกันแท้ๆ หมิงอวินยังสามารถรับมือได้อย่างสบายๆ ทว่าหมิงเจ๋อกลับดูเหมือนจะเอาชีวิตกลับมาไม่รอดเสียนี่ ตามที่ผู้ดูแลจ้าวบอกกล่าว หมิงเจ๋อถูกคนแบกออกมาจากห้องสอบประจำตัว ขายหน้าเสียจริงอ่า ช่างขายหน้ายิ่งนัก…พรุ่งนี้ไปว่าราชการ เขาคงได้ถูกคนถามไถ่อีกเป็นแน่ 

 

 

ติงหลั้วเหยียนมองดูหมิงเจ๋อซึ่งอยู่ในสภาพปางตาย อารมณ์ของนางจึงตกต่ำขั้นขีดสุด มองดูหมิงอวินสภาพเยี่ยงนี้ ก็รู้ได้เลยว่าคงสอบตกอย่างแน่นอน 

 

 

ข้ารับใช้เข้ามารายงาน “เอ้อร์เส้าเหยีย เอ้อร์เส้าหน่ายนายมาแล้วเจ้าค่ะ…” 

 

 

ถึงหลี่จิ้งเสียนจะนึกบ่นตำหนิ แต่ถึงอย่างไรหมิงเจ๋อก็เป็นลูกชายแท้ๆ ของเขา และก็เป็นห่วงเขาอยู่ไม่น้อย จึงรีบสั่งการให้คนไปเชิญภรรยาหมิงอวินมาที่นี่ 

 

 

“หลินหลัน เจ้าเป็นหมอ รีบช่วยตรวจดูพี่ใหญ่ของเจ้าหน่อยสิ อาการสาหัสหรือไม่” หลี่จิ้งเสียนกล่าว 

 

 

หลินหลันย่อเข่าลงพร้อมโน้มตัวเล็กน้อยให้การคาราวะ และกล่าวด้วยเสียงนอบน้อม “ท่านพ่ออย่าได้ร้อนใจไป ลูกจะจับชีพจรของท่านพี่ใหญ่ดูเดียวนี้เจ้าค่ะ” 

 

 

ติงหลั้วเหยียนรีบหลีกเปิดทางให้หลินหลันได้เข้าไปจับชีพจรของหมิงอวิน 

 

 

“เป็นอย่างไรบ้าง หมิงเจ๋อไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่” ติงหลั้วเหยียนถามด้วยความกังวล 

 

 

แน่นอนว่าไม่เป็นอะไร เพียงแต่หิวจนหน้ามืดเป็นลมไปเท่านั้นเอง ของกินถูกยึดไปเสียครึ่งหนึ่งขนาดนั้น หากมิใช่อาหารแห้งก็คงเน่าเสียไปบ้าง เช่นนั้นอาหารการกินก็ยิ่งน้อยลงเข้าไปใหญ่ ไม่หิ้วจนหน้ามืดเป็นลมไปสิถึงแปลก หลินหลันกลั้นรอยยิ้ม และกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ไม่น่าจะเป็นอะไรร้ายแรงเจ้าค่ะ ไปเตรียมโจ๊กข้าวฟ่างแล้วป้อนให้ท่านพี่ใหญ่ดื่มทีละนิด และอย่าดื่มเพียงครั้งเดียวในปริมาณที่มากเกินไป แค่ค่อนชามก็พอแล้วเจ้าค่ะ หลังจากนั้นค่อยเพิ่มปริมาณขึ้นอย่างช้าๆ ให้พักผ่อนอีกสักไม่กี่วันก็ไม่เป็นไรแล้วเจ้าค่ะ” 

 

 

ติงหลั้วเหยียนเผยสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก ประโยคนี้ของหลินหลันแสดงให้เห็นชัดว่าหมิงอวินหิวจนกลายเป็นสภาพเช่นนี้ 

 

 

สีหน้าอารมณ์ของหลี่จิ้งเสียนยิ่งบันเทิงเข้าไปใหญ่ บุตรชายของหัวหน้าราชเลขาเข้าร่วมการสอบ จนเป็นลมล้มพับในสนามสอบ มันช่างขายหน้าจนไม่เหลือชิ้นดีเสียจริง…