หลี่จิ้งเสียนจ้องเขม็งไปที่สะใภ้ใหญ่อย่างไม่พอใจ อยากจะถามออกไปด้วยความสงสัยตามข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นเสียเหลือเกินว่า เจ้าเตรียมกระเป๋าสำหรับการเข้าทำข้อสอบในครั้งนี้อย่างไรหรือ ถึงได้ทำให้สามีตนเองอดอยากจนหน้ามืดเป็นลมไปได้ สูญเสียหน้าที่การงานในอนาคตไม่ว่า ยังต้องอับอายขายหน้าอีกด้วย ทว่าพอนึกถึงความสัมพันธ์ทางเครือญาติของลูกสะใภ้ที่ล้วนเป็นใต้เท้าผู้ตรวจการแผ่นดินระดับสูง ซึ่งช่วงที่ผ่านมานี้ต่างก็คอยให้ความช่วยเหลือเขาในยามตกที่นั่งลำบากอยู่ไม่น้อยทีเดียว จึงอดกลั้นเก็บคำพูดที่อยากเอ่ยถามไว้ดั่งเดิม ช่างเถอะ ช่างเถอะ ถึงหมอนลายปักงดงามจะไร้ประโยชน์ ทว่าก็ต้องใช้คำพูดคำจาให้เกรียติแก่ผู้ทำหมอนไว้บ้าง จึงกล่าวด้วยน้ำเสียงเอือมระอา “หมิงอวิน อีกประเดี๋ยวเจ้ามาที่ห้องหนังสือทีสิ”
หลังหมิงอวินขานรับ ทั้งสามคนก็พร้อมใจกันคาราวะส่งหลี่จิ้งเสียนออกไป
ติงหลั้วเหยียนรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจอย่างมาก สีหน้าพ่อสามีเมื่อครู่เห็นได้ชัดว่ากำลังตำหนินางที่ไม่ได้เรื่อง แต่เรื่องนี้โทษนางได้อย่างไรหรือ นางตระเตรียมทั้งสองชุดไว้เหมือนกันทุกสิ่งอย่าง หมิงอวินก็ไม่เห็นเป็นอะไรเสียหน่อยมิใช่หรือ ใครจะไปรู้ว่าหมิงอวินทำอีท่าไหนเข้า ติงหลั้วเหยียนมองหมิงเจ๋อที่กำลังหลับใหลไม่ได้สติด้วยความคับข้องใจ และแอบชายตามองสีหน้าสดชื่นของหมิงอวิน เมื่อเปรียบเทียบทั้งสองเข้าด้วยกัน อดไม่รู้สึกเศร้าใจขึ้นมามิได้ ขณะนั้นเองดวงตาของนางก็เริ่มแดงระเรื่อ
หลินหลันเข้าใจเพียงว่าพี่สะใภ้ใหญ่เป็นห่วงเป็นใหญ่สามี จึงกล่าวปลอบประโลม “ต้าซ่าวอย่าได้เป็นกังวลไปเลย ต้าเกอพักฟื้นไม่กี่วันก็หายดีแล้วเจ้าค่ะ”
ที่ติงหลั้วเหยียนเศร้าเสียใจมิใช่เพราะเรื่องนี้ แต่ก็ไม่อาจพูดได้ว่า ข้าอิจฉาชีวิตที่ดีของเจ้าต่างหาก ทำได้เพียงกล่าวเบาๆ “พลาดโอกาสครั้งนี้ไปแล้ว ก็ต้องรออีกสามปีถัดไป”
อันที่จริงขณะที่หลินหลันจับชีพจรให้เขา หมิงเจ๋อก็รู้สึกตัวแล้ว กระเพราะอาหารร้องโครกคราก หิวจนแขนขาไร้เรี่ยวแรง เหงื่อเปียกท่วมไปทั้งตัว แต่อย่างไรก็ตามสมองยังคงชัดเจนแจ่มแจ้ง ได้ยินเสียงผู้เป็นพ่อและหมิงอวินคู่สามีภรรยาล้วนอยู่ที่นี่ คิดได้ว่าครั้งนี้ตัวเองก่อเรื่องน่าอับอายขายหน้ายิ่งนัก มีหรือจะกล้าลืมตาขึ้น จึงอดทนหิวท้องกิ่วและแสร้งสลบเป็นตายต่อไป และหวังว่าคนพวกนี้จะรีบออกไปโดยเร็ว
“หากต้าเกอตอบคำถามทั้งหมดทุกข้อ ด้วยความรู้ความสามารถของต้าเกอ ยังคงมีความหวังมากทีเดียว” หลี่หมิงอวินเอ่ยปลอบใจ และหันไปพูดกับหลินหลัน “ท่านพ่อกำลังรอข้า ข้าขอตัวไปก่อนแล้วกัน”
หลินหลันพยักหน้า “งั้นข้าไม่รอเจ้าแล้วนะ”
หมิงอวินฉีกยิ้มเล็กน้อย ไม่ต้องพูดอะไรให้มากความ ราวกับทั้งสองมีสัมผัสชนิดหนึ่งที่เชื่อมระหว่างกัน
การสื่อสารด้วยสายตาเช่นนี้ การเข้าใจโดยปริยายเช่นนี้ ส่งผลให้ติงหลั้วเหยียนรู้สึกราวกับมีหนามทิ่มแทงในหัวใจและไม่สามารถดึงมันออกมาได้ ทำได้เพียงอดทนแบกรับความเจ็บปวดเอาไว้ นางรู้ดีว่านางกับหมิงอวินไม่มีอนาคตร่วมกันอีกแล้ว นางควรทำใจยอมรับให้ได้ จากนี้ควรปฏิบัติต่อหมิงอวินดั่งน้องชายของสามีเท่านั้น ถึงจะเข้าใจเรื่องนี้เป็นอย่างดี ทว่าทำได้หรือไม่นั้นค่อยว่ากันอีกเรื่อง นางรู้เพียงแค่ว่าพอได้เห็นพวกเขารักใคร่กันลึกซึ้ง นางก็รู้สึกทรมานใจอย่างมาก
หลี่หมิงอวินเพิ่งเดินพ้นออกไปไม่กี่ก้าว หลี่หมิงจูก็เข้ามา เมื่อเห็นหลินหลันอยู่ด้วยเช่นกัน ดวงตาของหมิงจูจึงฉายแววแห่งความโกรธเกรี้ยว จ้องมองไปยังหลินหลันอย่างจงเกลียดจงชัง และกล่าวด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์ “เจ้ามาที่นี่ทำไม รู้ว่าต้าเกอของข้าสอบตกแล้ว เจ้าเลยมาหัวเราะเยาะงั้นหรือ”
ติงหลั้วเหยียนกล่าวขึ้นทันควัน “เปี่ยวเหม่ยเข้าใจผิดแล้ว เป็นข้าเองที่เรียกเชิญพี่สะใภ้รองของเข้ามา เปี่ยวต้าเกอของเจ้าเขา…ล้มป่วยเสียแล้ว” มิอาจเก็บซ่อนความเศร้าหมองไว้ได้ขณะพูด
หลินหลันฉีกยิ้มแสนงดงาม และกล่าวทีเล่นทีจริง “ประโยคเดียวที่เรียกว่าต้าเปี่ยวเกอของข้าซึ่งออกมาจากปากเปี่ยวเสี่ยวเจี่ยะ หากไม่รู้มาก่อน คงได้คิดว่าต้าเปี่ยวเกอผู้นี้เป็นของเจ้าน่ะ!”
หมิงจูสีหน้าเลิ่กลัก คางสั่นเล็กน้อย กล่าวด้วยอารมณ์โกรธเกรี้ยว “ข้าจะพูดว่าต้าเปี่ยวเกอของข้าแล้วจะทำไมหรือ หรือว่าเขาไม่ใช่ต้าเปี่ยวเกอของข้างั้นหรือ เดี๋ยวไว้ข้าจะพูดว่าเอ้อร์เปี่ยวเกอของข้าด้วย! เจ้าจะทำไมหรือ”
สีหน้าของหลินหลันยังคงเดิมไม่แปรเปลี่ยน กล่าวอย่างสบายอกสบายใจ “เอ้อร์เปี่ยวเกอของเจ้ามีหรือจะเข้าไปอยู่ในสายตาเจ้า! อีกทั้งมิใช่คู่รักที่มีใจให้กันตั้งแต่เยาว์วัยเสียหน่อย”
ติงหลั้วเหยียนอดรู้สึกตกใจขึ้นมาไม่ได้เมื่อได้ยินเช่นนั้น มองไปยังหมิงจูครั้งแล้วครั้งเล่าโดยไม่รู้ตัว นางเชื่อว่าหมิงเจ๋อมองหมิงจูในฐานะน้องสาวผู้หนึ่ง ทว่าในใจของหมิงจูคิดเช่นไรนั้น นางไม่กล้าตัดสินได้ ทุกครั้งที่หมิงจูมาที่นี่ ล้วนทำอะไรตามอำเภอใจยิ่งนัก ราวกับนางก็คือนายหญิงของที่นี่ ด้วยความรู้สึกเช่นนี้ทำให้นางไม่สุขใจเป็นอย่างมากมาโดยตลอด วันนี้กระทั่งหลินหลันยังมองออก ยิ่งแสดงให้เห็นว่ามีความไม่ชอบมาพากลบางอย่างในนั้น ติงหลั้วเหยียนซึ่งไม่มีเวลามาเศร้าโศกเสียใจกับความสุขในชีวิตแต่งงานที่สูญเสียไป ด้วยการรักษาผลประโยชน์เฉพาะหน้าเป็นเรื่องสำคัญกว่า
ถึงหมิงจูจะโง่เขลาเพียงใดก็สามารถฟังคำพูดใจความใหญ่ๆ ของหลินหลันได้เข้าใจ นี่มันเป็นการสาดโคลนใส่นางกันชัดๆ! ทว่านางก็ไม่สามารถพูดออกไปว่าหมิงเจ๋อเป็นพี่ชายแท้ๆ ของนาง จึงต้องแบกรับความเข้าใจผิดประเภทนี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ หมิงจูโกรธจนดวงตาทั้งสองแดงกล่ำ เกือบจะปะทุเปลวเพลงออกมายังไงยังงั้น ชี้นิ้วใส่หลินหลันพลางเอ่ยด่าทอ “เจ้าพูดแบบนี้หมายความว่าอย่างไรกัน เจ้ามีจุดประสงค์อะไรกันแน่ห๊ะ เจ้านังอรสรพิษสาวบ้านนอก จิตใจสกปรกโสมม ระวังจะตกนรกสิบแปดชั้น…”
“เปี่ยวเหม่ย เหตุใดจึงพูดเช่นนี้ล่ะ พูดจาหยาบคายอะไรเยี่ยงนี้ ต้าเปี่ยวเกอของเจ้ายังนอนสลบไสลอยู่นะ!” ติงหลั้วเหยียนเอ่ยด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว และแสดงสีหน้าอย่างไม่ยินดีต้อนรับ
หมิงจูน้อยเนื้อต่ำใจถึงขีดสุด “เป็นนางแท้ๆ ที่พูดจาหยาบคาย จิตใจสกปรก ในท้องของเต็มไปด้วยน้ำเน่า”
หลินหลันรำพึงรำพันในใจ ข้าแสร้งสาดโคลนใส่เจ้าแล้วจะเป็นไรไปหรือ การมีตัวตนของเจ้าสิถึงเป็นหลักฐานที่แสดงให้เห็นถึงความสกปรกโสมม
หลินหลันมองดูหมิงจูซึ่งกำลังกระทืบเท้าโวยวายอย่างสงบนิ่งและกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “เปี่ยวเหม่ยอารมณ์รุนแรงเสียจริง หรือว่าข้าพูดอะไรผิดไปงั้นหรือ ประโยคใดที่ข้าพูดผิดไปล่ะ แล้วประโยคใดที่หยาบคายหรือ เจ้าระบุออกมาสิ เราจะได้เชิญคนมาลงความคิดเห็น”
หมิงจูถึงกับสำลักจนพูดไม่ออก หาคนมาลงความคิดเห็น เรื่องเช่นนี้มีแต่ยิ่งพูดก็ยิ่งกระตุ้นให้ได้ยินในคำพูดที่ไม่อยากได้ยิน แล้วจะลงความคิดเห็นไปได้อย่างไร
“หรือว่าข้าไม่ทันระวังเลยพูดเรื่องในใจของเปี่ยวเหม่ยได้ตรงเผง เปี่ยวเหม่ยจึงเคอะเขินจนโกรธเกรี้ยวเช่นนี้” หลินหลันใส่ไฟเข้าไปอีกชุด เป็นเจ้าเองที่พูดจาไม่ดีออกมาก่อน หาเรื่องใส่ตัวเองแท้ๆ สมนำหน้า
สีหน้าของติงหลั้วเหยียนดูแย่เข้าไปใหญ่ และยิ่งคิดว่าหมิงจูมีใจไม่ซื่อ
หมิงจูไม่อาจต่อปากต่อคำหลินหลันได้ ทำได้แค่โกรธจนใบหน้างามหงิกงอ อดไม่ได้ที่จะตบปากอันน่าเกลียดชังของหลินหลันให้ฉีก หมิงจูซึ่งถูกยั่วโมโหจนสติแตก พุ่งเข้าไป และง้างมือต้องการตบหลินหลัน
หลินหลันรู้แต่แรกว่าหมิงจูติดนิสัยเย่อหยิ่งวู่วาม ก็คงไม่แปลกเช่นกันหากจะมีการลงไม้ลงมืออะไรเช่นนี้ ดังนั้น ใบหน้าจึงแฝงด้วยร้อยยิ้ม และเตรียมตัวเตรียมใจไว้เป็นที่เรียบร้อยแต่เนิ่นๆ อยู่แล้ว จะเกรงก็แต่เจ้าจะไม่ลงมือเสียมากกว่า ขอเพียงทันทีที่เจ้าลงมือ จุดจบครั้งนี้ก็ไม่มีทางสวยหรูอย่างแน่นอน
ติงหลั้วเหยียนตื่นตกใจต่อการกระทำของหมิงจู ยโสโอหังถึงเพียงนี้ กระทั่งพี่สะใภ้รองก็กล้าตบงั้นหรือ หากหมิงจูหึงหวงหมิงเจ๋อขึ้นมาจริงๆ เมื่อพ้นประตูนี้เข้ามา จะไม่หาญกล้าขนาดตบนางด้วยเช่นกันหรือ ความโกรธเกลียดที่นางมีต่อหมิงจูจึงเพิ่มทวีขึ้น
ฝ่ามือของหมิงจูกลับไม่ได้ฟาดลงไปบนใบหน้าของหลินหลันดั่งที่ตั้งใจไหว ทว่าถูกหลินหลันล็อคค้างไว้อย่างแน่น ชั่วขณะนั้นความเจ็บปวดก็แล่นขึ้นมา เจ็บปวดเสียจนนางส่งเสียงร้อยโอ้ยโอ้ยออกมาก
หลินหลันเอ่ยด้วยรอยยิ้มกรุ้มกริ่ม “เปี่ยวเหม่ย มีเรื่องหนึ่งที่เจ้าคงไม่รับรู้มาก่อน พี่สะใภ้รองของเจ้าอย่างข้าแม้ว่าจะความรู้ต่ำต้อย แต่เรื่องทักษะการต่อสู้ถือว่ามีอยู่ไม่น้อย หากคิดจะตบตีล่ะก็ เจ้าเป็นคู่ต่อสู้ของข้ามิได้เลยด้วยซ้ำ แต่อย่างไรดีล่ะ ถึงเจ้าไม่ต้องการรักษาหน้าตา แต่ข้ายังต้องการ ข้าขอแนะนำเจ้าให้สงบสติอารมณ์ไว้หน่อยจะดีกว่า ไว้รอในอนาคตเจ้าแต่งงานแล้ว ข้ากับพี่สะใภ้ใหญ่จะมอบเงินและของขวัญแต่งงานให้ หากไม่ล่ะก็ เจ้ามาจากแห่งหนใดก็กลับไปแห่งหนนั้น และฮูหยินก็ปกป้องเจ้ามิได้ด้วยเช่นกัน”
หมิงจูจ้องมองหลินหลันอย่างตื่นตระหนกปนเกรงกลัว หญิงชาวบ้านผู้นี้ แข็งแกร่งกว่านางยิ่งนัก ไม่ง่ายเลยหากจะเล่นงานนาง
ติงหลั้วเหยียนซึ่งกำลังจะเอ่ยโน้มน้าว กลับได้ยินเสียงดัง ‘เพล้ง’ ดังขึ้นมา ด้านในมีบางอย่างตกแตก ติงหลั้วเหยียนจึงละจากสองคนนั้นแล้วรีบเข้าไปในห้อง
เสียงตำหนิด่าทอลอยสวนออกมาจากด้านใน “หนวกหูจะตายชัก ช่วยทำให้พวกเขาเงียบหน่อยสิ…”
หลินหลันออกแรงบีบข้อมือตรงตำแหน่งจุดสำคัญของหมิงจูอีกครั้ง หมิงจูร้องโอ้ยเสียงดังลั่นด้วยความเจ็บปวด หลินหลันชักสีหน้าขณะกล่าวสั่งสอน “ยังจะมัวโวยวายอยู่ได้ ไม่ได้ยินคำพูดของเปี่ยวต้าเกอเจ้าหรือไร”
ขณะนี้สำหรับในสายตาหมิงจู หลินหลันช่างน่ากลัวราวกับปีศาจร้าย นางก้าวถอยหลังอย่างเร่งรีบ หันหลังกลับทันทีแล้วรีบวิ่งหน้าตั้งลงชั้นล่างไป
หลินหลันถึงได้เดินอย่างสง่างามไปยังทางเข้าห้อง กล่าวด้วยรอยยิ้มหวาน “ต้าซ่าว ในเมื่อต้าเกอได้สติแล้ว เช่นนั้นข้าขอตัวกลับก่อนแล้วนะเจ้าคะ หากมีเรื่องอันใดเรียกหาข้าได้ตลอดเวลาเจ้าค่ะ”
หมิงเจ๋อซึ่งสีหน้าซีดเซียว อดทนจนมิอาจอดทนได้แล้วจริงๆ เขาซึ่งอยู่ในนี้หิวจนจะตายอยู่แล้ว ทว่าพวกนางยังคงทะเลาะโวยวายกันอยู่นั่น โดยเฉพาะหมิงจูเจ้าเด็กคนนี้ โง่เง่าไร้สมอง บอกกับนางไว้แต่แรกแล้วว่า ตอนนี้สถานะตัวตนของนางคือลูกพี่ลูกน้องคนเล็ก ต้องระมัดระวังไว้หน่อย ต้องหลีกเลี่ยงใดๆ ซึ่งก่อให้เกิดความสงสัย ทว่านางไม่ยอมเชื่อฟังอยู่เรื่อย กระทั่งหลั้วเหยียนก็เริ่มแคลงใจในตัวนางขึ้นมาแล้ว อย่างไรก็ตามหลินหลันหญิงสาวผู้นี้ก็ร้าจกายไม่เบา เห็นทีว่าครั้งนี้หมิงจูจะเสียเปรียบไม่น้อยเสียแล้ว
หลินหลันออกจากเรือนเวยอวี่มาพร้อมกับอารมณ์เริงร่า ในบ้านหลังนี้ มีเพียงหมิงจูเท่านั้นที่นางสามารถพูดใส่อย่างตรงไปตรงมาและฉะฉานอย่างดูสมเหตุสมผล ใครใช้ให้นางปกปิดตัวตนที่แท้จริงแล้วยังมีหน้ามาทำตัวหยิ่งผยองกันล่ะ เมื่อนึกถึงใบหน้าโกรธเกรี้ยวของหมิงจู นึกถึงหมิงอวินที่หิวจนปางตายและยังโมโหจนแทบขาดใจ และไม่กล้าออกโรงเอ่ยปกป้องหมิงจู ทั้งๆ ที่เป็นพี่น้องกันร่วมสายเลือดกันชัดๆ กลับถูกคนเขาเข้าใจผิดว่ามีสัมพันธ์สวาทเสียนี่ คงจะกลัดกลุ้มอยู่ไม่น้อยเชียวสินะ…
หยินหลิ่วซึ่งไม่ได้ติดตามขึ้นไปชั้นบนด้วย ดังนั้นจึงไม่ได้รับรู้ว่าชั้นบนนั้นเกิดเรื่องราวอะไรขึ้น เห็นเพียงแค่คุณหนูเล็กวิ่งลงมาพร้อมกับใบหน้าที่เปรอะเปื้อนหยาดน้ำตา หลังจากนายหญิงของตนก็ฮัมเพลงอย่างสุขอกสุขใจอยู่ในขณะนี้ คาดว่าคุณหนูเล็กคงโดนนายหญิงสะใภ้รองของบ้านเล่นงานเสียอยู่หมัดเข้าแล้ว
กลับมายังเรือนหลั้วเซี๋ยจายไม่ทันใด หมิงอวินก็กลับมาแล้วเช่นกัน
กุ้ยซ่าวรู้ดีว่าพวกเขาทั้งสองยังกินไม่อิ่มหนำ จึงรีบทำหมี่ราดหน้าไก่ฉีกฝอยขึ้นมาอีก
ทั้งสองนั่งหันหน้าเข้าหากันระหว่างโต๊ะและลงมือทานมื้อกลางวันของพวกเขาต่อไป
“ต้าเกอฟื้นแล้วหรือ” หลี่หมิงอวินมองหลินหลันที่กำลังเผยรอยยิ้มไร้เดียงสาอยู่ตลอด นึกรำพึงรำพันในใจว่า เหตุใดพลังแห่งอารมณ์คึกคักนี้ยังไม่หายไปเสียทีล่ะ!
หลังจากหลินหลังดื่มน้ำซุปไก่เข้าไปหนึ่งอึกก็หัวเราะออกมา “ฟื้นแล้ว คาดว่าตอนนี้คงกำลังกินโจ๊กอยู่”
หลี่หมิงอวินพยักหน้า แล้วเอ่ยขึ้น “รอยยิ้มนี้ของเจ้าช่วยเก็บมันหน่อยจะได้หรือไม่ รู้สึกสุขใจแต่ก็อย่าได้แสดงออกชัดเจนเสียขนาดนี้น่า!”
พอหลินหลันได้นึกถึงขึ้นมาอีกก็อดรู้สึกขำขันมิได้ “ทำไงได้ เก็บไม่อยู่น่ะสิ! เฮ้! เมื่อครู่หลังเจ้าออกไปแล้ว หมิงจูก็เข้ามา เจ้าเด็กนิสัยเสียผู้นี้พอเห็นหน้ากันก็พูดจบหยาบคายทันที เลยถูกข้าสั่งสอนแบบโหดๆ ไปหนึ่งชุด”
หลี่หมิงอวินเลิกคิ้ว “นางทำไมอีกหรือ”
หลินหลันนำเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อครู่บอกเล่าอย่างถึงอรรถรส
หลี่หมิงอวินจิบน้ำซุปไก่ด้วยคำเล็กๆ ภายใต้สีหน้าอารมณ์อันเรียบเฉย ราวกับไม่รู้สึกรู้สาใดๆ
เดิมทีหลินหลันคิดว่าเมื่อเขาได้ฟังแล้วก็ต้องหัวเราะจนท้องแข็งเป็นแน่ คาดไม่ถึงว่ากลับกลายเป็นอารมณ์เช่นนี้ จึงรู้สึกผิดหวังขึ้นมาชั่วขณะ ก่อนจะเบ้ปากแล้วเอ่ยออกไป “เจ้านี่ช่างน่าเบื่อเสียจริง ไม่พูดกับเจ้าแล้ว”
หลี่หมิงอวินเพียงแค่แสร้งทำเป็นนิ่งสงบเท่านั้นเอง ขณะที่ในใจอยากหัวเราะจนแทบทนไม่ไหว นึกสภาพตอนที่หมิงจูและหมิงเจ๋อไม่สามารถต่อปากต่อคำได้มันช่างซะใจยิ่งนัก เขาปรับอารมณ์ให้เข้าที่เข้าทาง ชายตามองนางอย่างสงบ และกล่าวด้วยทีท่าเคร่งขรึม “ท่านพ่อเอ่ยว่าต้าเกอน่าจะสอบตก จึงจะให้แม่มดชรากลับมาก่อนเสียดีกว่า”
“ห๊า? เหตุใดถึงให้นางกลับมาไวเสียขนาดนี้” หลินหลันกลับมาให้ความสนอกสนใจอีกครั้ง
“อืม! ดังนั้น หมิงจูคงไปบอกเล่าสถานการณ์อย่างแน่นอน” หลี่หมิงอวินย้ำเตือนนาง
หลินหลันมุ่ยปาก และกล่าวอย่างไม่แยแส “ให้นางไปบอกสิดี เดิมทีแม่มดชราก็จงเกลียดพวกเราเสียยิ่งกะไร ถึงหมิงจูไม่บอก แม่มดชราก็จะหาหนทางกลั่นแกล้งพวกเราจนได้ หากนางกล้าออกโรงเพื่อหมิงจู ข้าก็จะทำให้นางไม่ได้ผุดไม่ได้โผล่ กลัวซะที่ไหนล่ะ!”
หลินหลันคิดอย่างชั่วร้าย หรือจะจับหมิงจูกับหมิงเจ๋อมาเป็นคู่สามีภรรยากันเสียเลย เช่นนั้นก็คงได้มีละครสนุกๆ ไว้ดูแล้วล่ะ
หลี่หมิงอวินมองดูนัยน์ตาคู่นั้นของนางซึ่งกำลังเผยให้เห็นความเจ้าเล่ห์ ก็รู้ได้ทันทีว่านางกำลังมีความคิดอะไรบางอย่าง พูดได้เต็มปากเลยว่า การลงมือวันนี้ของหลินหลันช่างไร้ความปรานี มีพลังทำลายล้างมากพอตัวและนี่มันไม่ต่างจากการจงใจยั่วยุให้โมโหจนอกแตกตายกันไปข้างหนึ่ง หลี่หมิงอวินซ่อนรอยยิ้มไว้ภายใต้ดวงตาของเขาขณะก้มหน้าก้มตากินหมี่ราดหน้าต่อไป