หลังมื้อกลางวันสิ้นสุดลง หลินหลันให้ข้ารับใช้ออกไปจนหมด เพื่อหลี่หมิงอวินได้นอนพักผ่อนสักงีบ ได้ยินมาว่าห้องสอบรายบุคคลนั่นขนาดแคบเท่ารูหนูก็ว่าได้ หากนอนหลับ กระทั่งขาก็ยังไม่อาจเหยียดตรงได้ หลินหลันอดไม่ได้ที่จะนึกตำหนิ นี่หรือที่เรียกว่าหากพระเจ้าต้องการมอบความรับผิดชอบอันหนักหน่วงแด่ใครบางคน ก่อนอื่นต้องทำให้เขารู้สึกเป็นทุกข์ ร่ายกายเหนื่อยล้า เพื่อกระตุ้นจิตใจของเขา ทำให้เขาอดทนและเพิ่มความสามารถที่เขาไม่มีเช่นนั้นหรือ
จะบอกว่าไม่ง่วงนั่นคงเป็นคำโกหกทั้งเพ ถึงหลี่หมิงอวินจะยังดูมีชีวิตชีวา ทว่าความจริงแล้วเขาอ่อนเพลียจะแย่
หลี่หมิงอวินกอดผ้าห่มแล้วเตรียมไปนอนบนเก้าอี้โซฟาตัวยาวตามเคย หลินหลันรีบเอ่ยปากขึ้น “เจ้านอนหลับบนเตียงดีกว่านะ! บนเตียงนอนหลับสบายกว่าหน่อย”
หลี่หมิงอวินกอดผ้าห่มภายใต้อาการตกตะลึง “แล้วเจ้าล่ะ”
หลินหลันไม่ทันได้สังเกตเห็นว่าใบหน้าของหลี่หมิงอวินกำลังแดงระเรื่อขึ้นมาเสียแล้ว นางจุดใบชาหอมพลางเอ่ยออกมา “ข้าจะไปห้องยา เจ้านอนหลับเถอะ!”
“อ่อ…” หลี่หมิงอวินนำผ้าห่มวางลง ถอดชุดคลุมออกแล้วขึ้นไปเอนกายนอนลงบนเตียง เตียงนอนปูด้วยเสื้อหวาย ให้ความเย็นสบาย และยังมีฟูกที่นอนนุ่มๆ อยู่ด้านล่างเสื่อหวาย ช่างสบายเสียยิ่งนัก บนปลอกหมอนยังคงหลงเหลือกลิ่นหอมอ่อนๆ นี่คือกลิ่นหอมของนางใช่หรือไม่
หลินหลันเข้ามาช่วยนำผ้ามุ้งปล่อยลงแทนเขา เห็นว่าสีหน้าของหมิงอวินแดงระเรื่อเล็กน้อย จึงเอ่ยถาม “ร้อนเกินไปแล้วหรือไม่ ต้องการให้เรียกตงจึมาช่วยโบกพัดให้เจ้าไหม”
หลี่หมิงอวินมองนางอย่างผ่อนคลาย “เหตุใดจะต้องเรียกตงจึเท่านั้น เรียกสาวใช้มาพัดให้บ้างมิได้หรือ”
เอ่อะ! ประเด็นนี้หลินหลันยังไม่เคยเก็บมาพิจารณาเลยสักครั้ง อาจเป็นไปได้ว่าจิตใต้สำนึกของนางไม่ต้องการเปิดโอกาสให้ใครปีนขึ้นมาเตียงนี่
หลินหลันยิ้มเสแสร้ง ก่อนจะเอ่ยถามอย่างสาวงามผู้อ่อนโยน “เรียนถามหลี่กงจื่อ ถูกใจสาวใช้ผู้ใดล่ะเจ้าคะ ต้องการให้เรียกป๋ายฮุ่ยมาหรือไม่”
หลี่หมิงอวินถูกรอยยิ้มอันแสนอ่อนโยนทว่าแฝงเอาไว้ซึ่งความแข็งกร้าวของนาง เล่นงานเสียจนขนลุกชัน จึงรีบกล่าวขึ้นทันควัน “ช่างเถอะ ข้าชอบให้ตงจึมาคอยปรนนิบัติมากกว่า”
หลินหลันกะพริบดวงตาคู่กลมโตปริบปริบ และกล่าวด้วยใจจริง “ชอบให้ตงจึมาคอยให้การปรนนิบัติจริงๆ หรือ”
หลี่หมิงอวินพยักหน้าจริงจัง “จริงๆ ”
หลินหลันยิ้มระริกระรี้ “งั้นข้าไปเรียกตงจึมาให้”
ฮานชิวเยว่ได้รับจดหมาย ใจความว่าหมิงเจ๋อถูกคนแบกออกมาจากสนามสอบ รู้สึกใจหายไปชั่วขณะ ร้องไห้โศกเศร้าตลอดการเดินทางกลับมา จนมาถึงจวนหลี่ เสียงแหบจนแทบไม่หลงเหลือเสียงอีกแล้ว ไม่สนใจที่จะเข้าไปพบผู้เป็นสามีอันดับแรก โดยมุ่งตรงไปยังเรือนเว่ยอวี่
หมิงเจ๋อได้กินโจ๊กเข้าไปหลายชาม ทำให้ค่อยๆ กลับมามีชีวิตชีวา
ติงหลั้วเหยียนซึ่งอยู่เป็นเพื่อนเขาแต่ก็ไม่รู้ว่าควรจะชวนคุยอะไรดี จะให้ถามว่าการสอบเขาเป็นอย่างไรบ้างก็เกรงว่าจะเป็นการซ้ำเติมเขาไปเปล่าๆ ได้แต่ปลอบใจเขา ทำให้ตอนนี้เขาไม่ต้องคิดอะไรอื่นทั้งนั้น และดูแลรักษากายใจเข้าไว้
หมิงเจ๋อซาบซึ้งใจเล็กน้อย รู้สึกว่าหลั้วเหยียนเป็นห่วงเขาอยู่ไม่น้อยเช่นกัน
“หลั้วเหยียน อันที่จริงสามด่านแรก ความรู้ทั่วไป ความรู้ผสมผสานและทฤษฏี ข้าน่าจะทำข้อสอบได้ไม่เลวทีเดียว เพียงแต่ด่านสุดท้าย ด้วยร่างกายไร้เรี่ยวแรง สติก็เริ่มไม่ครบสมบูรณ์ อาจไม่เป็นที่น่าพอใจนัก หากครั้งนี้สอบตกจริงๆ ครั้งหน้าข้าจะสอบอีก และต้องสอบผ่านอย่างแน่นอน” หมิงเจ๋อกลับหันมาเป็นฝ่ายปลอบใจหลั้วเหยียน
หลั้วเหยียนกล่าวอย่างนุ่มนวล “ไม่สำคัญว่าผู้อื่นจะมองอย่างไร ตนเองคิดอย่างไรนั่นถึงเป็นสิ่งที่สำคัญมากที่สุด ถึงอย่างไรข้าก็สนับสนุนเจ้า”
หมิงเจ๋อกอบกุมมือของหลั้วเหยียนด้วยความซาบซึ้งใจ มอบสัมผัสแห่งความอบอุ่นและให้คำมั่นสัญญา “หลั้วเหยียน ข้าจะไม่ทำให้เจ้าผิดหวัง”
ติงหลั้วเหยียนขัดขืนเล็กน้อยอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะนึกขึ้นมาได้ว่าเวลานี้เขาต้องการคนปลอบใจ จึงปล่อยให้เขากอบกุมไว้เช่นนี้
“หมิงเจ๋อ…หมิงเจ๋อ…ลูกชายที่น่าสงสารของข้า…” ฮานชิวเยว่เสียงแหบเสียงแห้ง ร้องไห้มาตลอดทั้งทาง
หมิงเจ๋อซึ่งเพิ่งจะอารมณ์ดีขึ้นมา พอได้ยินเสียงร้องไห้ระงมก็รู้สึกความหม่นหมองครอบงำอีกครั้ง ท่านแม่ การแสดงออกของท่าน หากไม่รู้คงได้คิดว่าข้าตายไปแล้วน่ะ…หมิงเจ๋อทุบกำปั้นลงบนเตียงด้วยความหดหู่ใจ
ชุนซิ่งคอยเตือนไม่เว้นว่าง “ฮูหยินช้าหน่อยเจ้าค่ะ เดินระวังด้วยเจ้าค่ะ…”
“หมิงเจ๋ออ่าหมิงเจ๋อ อย่าได้หวาดกลัวไป แม่มาแล้ว แม่กลับมาแล้ว…” ฮานชิวเยว่แทบจะถะล่ำเข้าไปดั่งสายลม เดินสาวท้าวยาวปรี่เข้าไปอย่างรวดเร็ว
ติงหลั้วเหยียนลุกขึ้นยืนให้การต้อนรับ ฮานชิวเยว่เห็นนาง ดวงตาคู่หนึ่งเอ่อล้นไปด้วยหยาดน้ำตาฉายความขุ่นเคืองออกมาให้เห็น ติงหลั้วเหยียนหวั่นใจโดยไม่รู้ตัว
ฮานชิวเยว่สบถฮึด้วยเสียงหนักแน่น ก่อนที่สายตาจะมองไปที่ใบหน้าหมิงเจ๋อซึ่งกำลังอยู่บนเตียง ไม่เจอกันเพียงไม่กี่สิบวัน หมิงเจ๋อถึงขั้นผอมแห้งเปลี่ยนเป็นสภาพเช่นนี้ มันชั่งน่าทุกข์ใจจนแทบขาดใจ นางก้าวไปเบื้องหน้า โอบกอดหมิงเจ๋อแล้วปล่องโฮออกมา “หมิงเจ๋ออ่า…เหตุใดเจ้าถึงได้ผอมแห้งเช่นนี้เสียแล้ว นี่เจ้าจะทำให้แม่ใจสลายหรือไร…”
หมิงเจ๋อลูบแผ่นหลังของผู้เป็นแม่ “ท่านแม่ นี่ลูกมิใช่ว่าก็สบายดีหรอกหรือ”
ฮานชิวเยว่ร้องห่มร้องไห้พลางปาดคราบน้ำตา “นี่ยังเรียกว่าสบายดีได้อีกหรือ ล้วนเป็นแม่เองที่ไม่ดี ในช่วงเวลาสำคัญของเจ้าทว่ากลับไม่สามารถอยู่เคียงข้างเจ้าได้ ไม่สามารถตระเตรียมข้าวของที่จำเป็นสำหรับการสอบให้แก่เจ้าด้วยมือของแม่เอง เลยทำให้เจ้าทำผิดพลาดครั้งใหญ่หลวงเช่นนี้…ล้วนเป็นท่านพ่อของเจ้าผู้นี้ที่เลอะเลือนบ้าบอ บุตรชายทั้งสองล้วนเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของเขาแท้ๆ แล้วเหตุใดจักต้องปฏิบัติอย่างไม่เท่าเทียมกันด้วย…”
“ท่านแม่ ท่านก็อย่าพูดเช่นนี้เลย หากท่านพ่อได้ยินเข้าก็เป็นอันได้เรื่องอีก” หมิงเจ๋อกล่าวโน้มน้าว
ฮานชิวเยว่บ่นอีกเล็กน้อย แต่กลับไม่กล้าพูดเสียงดังแต่อย่างใด ได้แต่พึมพำให้บุตรชายของนางรับฟัง
หลังจากร้องห่มร้องไห้ไปหนึ่งยก ฮานชิวเยว่เช็ดน้ำตาแล้วปั้นสีหน้า หันมาตำหนิหลั้วเหยียน “นับแต่เจ้าเข้ามาในครอบครัวนี้ แม่สามีอย่างข้าผู้นี้ปฏิบัติต่อเจ้าอย่างไร ในใจของเจ้าน่าจะรู้ดีที่สุด เจ้ากับหมิงเจ๋อทะเลาะเบาะแว้งกัน มีครั้งไหนหรือที่ข้าไม่คอยช่วยเหลือเจ้าโดยไม่ถามหาเหตุผลใดๆ ข้าจะพูดกับเจ้าไว้อีกครั้ง สามีก็คือท้องฟ้าของสตรีอย่างพวกเรา ตราบใดที่ท้องฟ้านี้สดใสได้ สตรีอย่างพวกเราถึงสามารถมีคืนวันที่สุขสบาย การสอบของหมิงเจ๋อเรื่องสำคัญใหญ่หลวงเช่นนี้ และข้ายังฝากฝังเจ้าไว้ว่าจักต้องดูแลหมิงเจ๋อเป็นอย่างดี เชื่อใจเจ้าเสียขนาดนี้ ทว่าเจ้าทำอะไรลงไปงั้นหรือ ถึงได้ทำให้หมิงเจ๋อถึงกับหน้ามืดเป็นลมในสนามสอบ เจ้าลองไปสืบเสาะดูแล้วกันว่ามีสักกี่คนที่หิวจนหน้ามืดเป็นลมไป ตัดอนาคตของหมิงเจ๋อมิว่า หากผู้อื่นรับรู้เรื่องนี้เข้า ตระกูลหลี่ของพวกเราจะเอาหน้าไปไหวที่ไหนได้อีก…”
ติงหลั้วเหยียนคุกเข่าลงกับพื้นด้วยความตื่นตระหนกและยำเกรง ปล่อยให้น้ำตาไหลรินท่ามกลางความเงียบงัน ไม่เอื้อนเอ่ยคำโต้เถียงใดๆ เลยแม้แต่น้อย หมิงเจ๋อพ่ายแพ้อย่างราบคราบ หมิงอวินสมหวังดั่งปรารถนา เกรงว่าในใจของผู้เป็นแม่สามีจะยิ่งจงเกลียดจงชังหมิงอวินเข้าไปใหญ่ หากให้แม่สามีรับรู้เข้าว่าข้าวของที่จำเป็นในการนำเข้าสอบนั่นก็เป็นนางเองที่ตระเตรียมให้ หรืออาจจะพาลคิดไปอีกว่าเป็นฝีมือของนาง ที่จงใจทำร้ายหมิงเจ๋อให้เป็นเช่นนี้ ติงหลั้วเหยียนยิ่งคิดก็ยิ่งหวาดกลัว ตอนนั้นเป็นเพราะความหวังดี กลับคาดไม่ถึงว่าผลลัพธ์ทั้งสองจะออกมาแตกต่างกัน
หมิงเจ๋อเห็นหลั้วเหยียนถูกตำหนิ น้ำตาไหลรินนองใบหน้า อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเจ็บปวดหัวใจ จึงเอ่ยปากแก้ต่างให้นาง “ท่านแม่…ท่านอย่าโทษหลั้วเหยียนเลย นางได้ถามท่านแม่ของนางแล้ว ตอนนั้นพี่ชายของนางสอบก็ตระเตรียมไว้เช่นนี้เหมือนกัน เพียงแต่คาดไม่ถึงว่าการตรวจสอบปีนี้จะเคร่งครัดเป็นพิเศษ เรื่องนี้ถือโทษนางมิได้จริงๆ นะขอรับ”
ฮานชิวเยว่โมโหยิ่งนัก นี่มิใช่เรื่องทะเลาะเบาะแว้งเล็กๆ น้อยๆ ของคู่สามีภรรยาแต่อย่างใด ทว่าเป็นเรื่องใหญ่โตอันเกี่ยวข้องกับหน้าที่การงานในภายภาคหน้าของหมิงเจ๋อ จะให้ปล่อยเลยตามเลยไปได้ง่ายๆ ได้อย่างไรกัน
“เจ้ามิต้องแก้ต่างเพื่อนาง หากเป็นเรื่องเล็กน้อย แม่ก็คงว่ากล่าวนางไม่ลงคอหรอก” ฮานชิวเยว่กล่าวด้วยเสียงเย็นชา ดวงตาที่คอยทิ่มแทงดั่งมีดจับต้องไปที่ติงหลั้วหยียน ความไม่พอใจทั้งหมดที่เกิดขึ้นต่อนางก่อนหน้านี้กำลังปะทุขึ้นในเวลานี้
“เป็นเพราะนางไม่ใส่ใจ เพียงแค่นางใส่ใจสักนิดหน่อย อย่างน้อยๆ เจ้าก็คงไม่เผชิญเรื่องแย่ๆ ถึงเพียงนี้ หลั้วเหยียน ที่ข้าว่ากล่าวเจ้าเช่นนี้ เจ้ายอมรับหรือไม่”
ติงหลั้วเหยียนไม่ริอาจโต้แย้ง การโต้แย้งก็เท่ากับรนหาเรื่องใส่ตัว นางจึงได้แต่พยักหน้าทั้งน้ำตา “คำสั่งสอนของท่านแม่ถูกต้องเจ้าค่ะ ลูกมิกล้าโต้แย้งใดๆ เจ้าค่ะ”
“ท่านแม่ ท่านหยุดพูดได้แล้วขอรับ ข้ากลักกลุ้มมากพอแล้ว” หมิงเจ๋อกล่าวขอร้อง
ฮานชิวเยว่ตวักสายตามองเขา “เรื่องที่ชวนให้กลัดกลุ้มยังอยู่ข้างจากนี้ต่างหากล่ะ! ข้าได้ยินมาว่าการสอบครั้งนี้หมิงอวินได้ไม่เลวเลยทีเดียว หลังจากนี้ในสายตาท่านพ่อของเจ้าก็คงมีแต่หมิงอวินเท่านั้น พวกเราสองแม่ลูกคงไม่ได้ใช้ชีวิตอย่างสุขสบายอีกแล้ว”
หมิงเจ๋อกล่าวด้วยความหงุดหงิด “มิใช่ว่าไม่มีโอกาสอีกแล้วมิใช่หรือ ครั้งนี้สอบไม่ผ่านไว้ครั้งหน้าข้าค่อยสอบอีกก็ย่อมได้ หรือท่านพ่อจะไม่นับข้าเป็นบุตรชายด้วยเหตุผลที่ข้าสอบไม่ผ่านงั้นหรือ” หมิงเจ๋อพลิกตัวคว่ำอยู่บนเตียงเดียวด้วยอารมณ์โมโห หยิบผ้าห่มคลุมศรีษะเอาไว้ ไม่ใยดีผู้เป็นแม่ของเขาอีก
ฮานชิวเยว่อดโมโหมมิได้ กล่าวด้วยความโกรธเคือง “เจ้าก็เป็นซะแบบนี้”
ในเมื่อทำอะไรบุตรชายไม่ได้ ฮานชิวเยว่จึงหันไปหาเรื่องติงหลั้วเยียนอีกครั้ง “เจ้าคุกเข่าอยู่ในนี้แหละ แล้วคิดทบทวนให้ดี ข้าจะไปพบเหล่าเหยียเสียก่อน ไว้กลับมาค่อยว่ากัน”
ฮานชิวเยว่เดินฟึดฟัดด้วยความโกรธลงไป เหยียบบันไดจนเสียงดังตึงตัง
หมิงเจ๋อเห็นว่าผู้เป็นแม่ได้ไปแล้ว จึงรีบพลิกตัวลงจากเตียงไปประครองหลั้วเหยียน “รีบลุกขึ้นเถิด! บนพื้นมันแข็งกระด้าง”
ติงหลั้วเหยียนดื้อรั้นไม่ยอมลุก “ข้าทำผิดไปแล้ว เป็นธรรมที่จะได้รับการลงโทษ”
หมิงเจ๋อไม่รู้จะทำอย่างไรดี จึงได้แต่พูดความจริงออกมาโดยดี “อันที่จริงเรื่องนี้โทษเจ้าไม่ได้จริงๆ ข้าเห็นอาหารแห้งพวกนั้นที่เจ้าเตรียมให้ มันกินไม่ลงจริงๆ ก็เลยให้ทางห้องครัวทำของชอบไว้ให้ เป็นข้าเองที่ไม่ได้ไตร่ตรองให้รอบครอบ เลยถูกขุนนางคุมสอบยึดเอาไว้เกินครึ่ง”
ติงหลั้วเหยียนตื่นตกใจ ทุบกำปั้นลงไปที่เขาด้วยความโกรธ “เหตุใดเจ้าถึงเป็นเยี่ยงนี้ ทำให้ข้ารู้สึกผิดอยู่ได้…”
หมิงเจ๋ออ้อนวอนขอความเห็นใจ “ล้วนเป็นข้าทีผิดเอง อีกประเดี๋ยวท่านแม่มาถามอีก ข้าก็จะบอกความจริงกับนาง จะไม่ให้นางทำให้เจ้ารู้สึกแย่อีกเด็ดขาด”
หลี่หมิงอวินหลับไปพักหนึ่งอย่างเต็มอิ่ม รู้สึกได้ถึงความมีชีวิตชีวาล้นเหลือ ทางด้านตงจึไม่รู้ว่าฟุบหลับไปบนขอบเตียงตั้งแต่เมื่อไหร่กัน
“ตงจึ ตื่น ตื่นได้แล้ว…” หลี่หมิงอวินลุกขึ้นและเอ่ยเรียกตงจึ
ตงจึลืมตาขึ้นอย่างงัวเงียและขยี้ตาเบาๆ “เอ้อร์เส้าเหยีย ตื่นล่ะขอรับ!”
“รีบไปดูสิว่ากี่โมงกี่ยามแล้ว” หลี่หมิงอวินสวมใสเสื้อผ้าและรองเท้า
ตงจึวิ่งไปดูนาฬิกาไขลาน แล้วเอ่ยขึ้น “เอ้อร์เส้าเหยีย บ่ายสามแล้วขอรับ”
เอ่อะ! หลับไปนานขนาดนี้เชียว
ตงจึไปเรียกป๋ายฮุ่ยและคนอื่นๆ ให้เข้ามาให้การปรนนิบัติรับใช้
หลี่หมิงอวินไม่เห็นหลินหลัน จึงเอ่ยปากถาม “เอ้อร์เส้าหน่ายนายล่ะ”
ป๋ายฮุ่ยกล่าว “เอ้อร์เส้าหน่ายนายยังวุ่นอยู่ที่ห้องยาเจ้าค่ะ!”
หลี่หมิงอวินขมวดคิ้ว นางบอกว่าจะไปห้องยา อะไรจะยุ่งอยู่ตลอดจนถึงเวลานี้เลยหรือ
หลินหลันมองดูเออเจียวที่เพิ่งเคี่ยวเสร็จด้วยรอยยิ้มเบิกบาน ฮ่าฮ่า ในที่สุดการทดลองก็สำเร็จเสียที นางยึดหลักการเคี่ยวตามวิธีสมัยใหม่ ทดลองไปหลายครั้งทีเดียว เอามาเทียบกับเต๋อเหรินถางดูแล้ว ไม่ได้แตกต่างกันเท่าไหร่นัก หลินหลันคิดว่า หากได้ไปที่เขตตงเออ ในมณฑลซานตงเพื่อหาแก่นแท้สำคัญในการทำเออเจียวก็จะสามารถรังสรรเออเจียวที่มีคุณภาพดีเยี่ยมขึ้นได้อย่างแน่นอน
ทันทีที่หลี่หมิงอวินเข้าไปถึงห้องยากลิ่นแรงเป็นพิเศษก็เตะเข้าปลายจมูก อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว “เจ้ากำลังทำอะไรอยู่น่ะ! ถึงได้กลิ่นไม่ชวนสูดดมเสียขนาดนี้”
หลินหลันถือเออเจียวที่ทำขึ้นมาใหม่และเออเจียวที่ซื้อมาจากเต๋อเหรินพลางเอ่ยถามขึ้นอย่างภาคภูมิใจ “หมิงอวิน เจ้าดูนี่สิ เออเจียวสองชิ้นนี้ชิ้นใดสีสว่างเงาและโปร่งใสยิ่งกว่า”
หลี่หมิงอวินหยิบมาเทียบเคียงกันอยู่ชั่วครู่แล้วจึงเอ่ยขึ้น “เรื่องพวกนี้ข้าก็ไม่ค่อยเข้าใจนัก มองดูแล้วก็ไม่ต่างกันเท่าไหร่”
“งั้นก็ถูกต้องแล้ว นี่คือชิ้นที่ซื้อมาจากเต๋อเหรินถาง เออเจียวแห่งเต๋อเหรินถางขึ้นชื่ออย่างมาก เจ้าคงรู้เช่นกินสินะ! ส่วนนี่ข้าเพิ่งทำมันออกมา” หลินหลันพรรณนาแนะนำ
หลี่หมิงอวินถึงกับตะลึง “ไอเจ้านี่เจ้าก็ทำได้ด้วยหรือ” เออเจียวของเต๋อเหรินถางถูกรับเป็นเครื่องราชบรรณาการ คาดไม่ถึงว่าหลินหลันจะมีความมุมานะสามารถทำเออเจียวออกมาได้อย่างไม่ต่างกันกันมากนัก
“ที่เยี่ยมยิ่งกว่ายังรออยู่หลังจากนี้ต่างหาก! หากมีเวลาข้าเตรียมจะไปซานตงสักหน่อย”
“ไปซานตงทำไมหรือ” หลี่หมิงอวินกล่าวด้วยความสงสัย
“ก็ไปหาช่องทางที่จะได้ร่ำรวยขึ้นมายังไงล่ะ” หลินหลันแสร้งยิ้มอย่างมีลับลมคมใน
หลี่หมิงอวินหยิบเออเจียวขึ้นมาแล้วเขกลงไปที่ศีรษะของนาง กล่าวด้วยรอยยิ้มเอ็นดู “เจ้านี่ช่างเป็นผู้ที่โลภมากเสียจริงเลยนะ”