ตอนที่ 87 ฟ้องร้อง

ปฏิญญาค่าแค้น

หลังฮานชิวเยว่ได้พบหน้าค่าตาบุตรชายเป็นที่เรียบร้อย ความเศร้าโศกก็ถูกสลัดทิ้งไปอย่างรวดเร็ว ท่าทีเคร่งขรึมเข้ามาแทนที่ เตรียมร่างแผนการสู้รบขึ้นใหม่อีกครั้ง แนวโน้มสถานการณ์ในปัจจุบันไม่ดีสำหรับนางเป็นอย่างมาก นางจึงต้องสงบปากสงบคำ เก็บตัวเงียบ เพื่อรอคอยโอกาสอันเหมาะสม 

 

 

ดังนั้น เมื่อฮานชิ่วเยว่เข้าพบผู้เป็นสามี อันดับแรกที่นางทำคือการแสดงออกอย่างสำนึกตนได้ “ใครๆ ต่างก็พูดว่าการเป็นแม่คนมิใช่เรื่องง่าย ตอนนี้ข้าเพิ่งได้เข้าใจอย่างลึกซึ้ง น้องจะไม่พร่ำบ่นโอดครวญแต่อย่างใด ที่ทำให้หมิงอวินต้องเผชิญเรื่องเข้าใจผิด เป็นน้องเองที่ทำได้ไม่ดีพอ น้องควรละทิ้งความเห็นแก่ตัวทั้งหมด และปฏิบัติด้วยความซื่อสัตย์จริงใจ เพื่อท่านพี่ เพื่อตระกลูหลี่ ต่อให้น้องต้องกล้ำกลืนแบกรับความไม่เป็นธรรมก็มิเป็นไรเจ้าค่ะ…” 

 

 

หลี่จิ้งเสียนรับฟังนางพร่ำพรรณนาเสียเนิ่นนาน ด้วยเห็นนางแสดงออกอย่างจริงใจ จึงเกิดความรู้สึกเห็นใจ “เจ้าคิดได้เยี่ยงนี้ก็ดี อย่าได้คิดว่าการที่เจ้าต่อกรกับหมิงอวินแล้วตนเองจะได้รับประโยชน์ใดๆ อนาคตหน้าที่การงานของหมิงอวินใหญ่หลวง หากเจ้ายังพอฉลาดอยู่บ้าง ก็ควรเอาใจใส่เขาเข้าไว้ ประจบประแจงเขา และทำให้หมิงเจ๋อกับเขารักใคร่ปรองดองกัน เพื่อภายภาคหน้าจะได้มีผู้ช่วยเหลือเกื้อกูล ครอบครัวจะได้ประสบความสำเร็จราบรื่น ด้วยเหตุและผลเช่นนี้เจ้าเองก็น่าจะเข้าใจ” 

 

 

ฮานชิวเยว่แสดงออกน้อมรับคำอบรมอย่างซาบซึ้งจริงใจอีกครั้ง ก่อนจะหันไปรินน้ำชาแล้วบีบนวดขาให้แก่ผู้เป็นสามีด้วยตนเอง และบอกเล่าอารมณ์ความคิดถึงระหว่างการจากลาอีกยกใหญ่ สีหน้าของหลี่จิ้งเสียนจึงได้ค่อยๆ อ่อนลง “ทางด้านหมิงเจ๋อ เจ้าก็อย่าได้ตำหนิว่ากล่าวอะไรเขามากนัก เป็นเขาเองที่โชคร้าย ยังดีที่เขายังคงหนุ่มแน่นเยาว์วัย จึงยังพอมีโอกาส ถึงครั้งนี้สอบตก ไว้ครั้งหน้าค่อยสอบใหม่ก็ย่อมได้ ส่วนเรื่องงานแต่งของหมิงอวิน…ในเมื่อรับปากไว้แล้ว ก็ควรจัดให้เขาเสียหน่อย เรื่องนี้ เจ้าช่วยจัดการด้วยแล้วกัน เจ้าปรึกษาหารือกับหลินหลันดูว่าจะจัดออกมาอย่างไรดี” 

 

 

ยังมีหน้ามาพูดราวกันว่าให้ความยุติธรรมทั้งสองฝ่ายอย่างเท่าเทียม เห็นอยู่ทนโท่ว่าต่างกันราวฟ้ากับเหว เอียงเอนเสียยิ่งกว่าอะไรดี ฮานชิวเยว่นึกตำหนิอยู่ในใจทว่ากลับกล่าวออกไปด้วยใบหน้าอันแสดงให้เห็นถึงความอ่อนโยน “ท่านพี่วางใจได้เจ้าค่ะ! น้องจะจัดการตามความต้องการของพวกเขาอย่างแน่นอน มั่นใจได้ว่าพวกเขาจะต้องพึงพอใจเจ้าค่ะ” 

 

 

หลี่จิ้งเสียนพยักหน้าอย่างพึงพอใจ เมื่อดื่มน้ำชาหมดถ้วยก็ออกไปยังห้องหนังสือซึ่งอยู่ด้านนอก ทิ้งฮานชิวเยว่ไปหน้าตาเฉย 

 

 

ฮานชิวเยว่เรียกแม่เหยาซึ่งเป็นผู้ช่วยคนสำคัญในเงามืดให้มาเข้าพบ 

 

 

“ช่วงนี้ที่ข้าไม่อยู่ในจวน ผู้ใดคอยปรนนิบัตินายท่านหรือ” 

 

 

แม่เหยาลังเลใจที่จะบอกกล่าวอยู่เล็กน้อย “เป็นหว่านอวี้คอยปรนนิบัติอยู่ตลอดเจ้าค่ะ” 

 

 

ฮานชิวเยว่กัดฟันแน่นด้วยความโกรธ “นังสาวใช้สารเลว…” ถือโอกาสตอนนางไม่อยู่ ริอาจปีนขึ้นเตียงของท่านพี่ อยากจะลองดีกับนางสินะ 

 

 

แม่เหยากล่าวอย่างเป็นจริงเป็นจัง “ฮูหยินเจ้าคะ ความรู้สึกนึกคิดของนายท่านที่มีต่อหว่านอวี้มิใช่เพิ่งเกิดขึ้นวันสองวันนี้นะหรอกเจ้าค่ะ บ่าวเห็นว่านายท่านชอบพอหว่านอี้จริงๆ เจ้าค่ะ หากจะรอให้นายท่านเอ่ยปากขึ้นมาด้วยตนเอง แล้วฮูหยินจะอนุญาตหรือ และหากกำจัดหว่านอวี้ เกรงก็แต่ว่านายท่านคงได้อาละวาดใส่ฮูหยินอีก เหตุใดฮูหยินถึงไม่ใช้โอกาสที่มีค่อยๆ กอบกุมหัวใจของนายท่านล่ะเจ้าค่ะ เมื่อรักษาความสุขของนายท่านไว้ได้ ก็จะรู้สึกซาบซึ้งตราตรึงใจต่อฮูหยิน และนายท่านก็จะไม่ออกนอกลู่นอกทางยังไงล่ะเจ้าคะ” 

 

 

ฮานชิวเยว่ตกอยู่ในภวังค์แห่งความเงียบงันเนิ่นนาน ก่อนจะกล่าวอย่างอ่อนใจ “เกรงว่าจะเป็นการชักน้ำเข้าลึก ชักศึกเข้าบ้านเสียมากกว่า นังสารเลวหว่านอวี้มันร่านเสียยิ่งกว่าอะไรดี” 

 

 

แม่เหยากล่าวด้วยรอยยิ้ม “หว่านอวี้นางต่อให้เก่งกาจเพียงใดก็เป็นได้แค่นางบำเรอผู้หนึ่ง หากนางว่านอนสอนง่าย ก็ปล่อยให้นางคอยปรนนิบัติพัดวีบนเตียงให้นายท่านไป หากไม่ล่ะก็ หาเหตุผลอะไรสักเรื่องมาเฉดหัวนางออกไปก็มิใช่เรื่องยากแต่อย่างใดหนิเจ้าคะ” 

 

 

ฮานชิวเยว่กล่าวด้วยอารมณ์เคียดแค้น “ข้าลำบากมาแล้วครึ่งชีวิต ไม่ง่ายเลยกว่าจะมีวันนี้ ไม่ว่าผู้ใดหน้าไหนก็ตามต้องการขวางทางของข้า ผู้นั่นก็เตรียมตัวตายได้เลย” 

 

 

แม่เหยาเอ่ยภายใต้ทีท่าสงบเสงี่ยม “ด้วยกลอุบายของฮูหยิน ใครหน้าไหนจะสามารถพ้นเนื้อมือของฮูหยินไปได้ล่ะเจ้าคะ” 

 

 

อะไรจะดีไปกว่าการประจบสอพลอคงหามีไม่ ด้วยการเยินยอของแม่เหยา ส่งผลให้ฮานชิวเยว่มีความมั่นใจและมุ่งมันมากยิ่งขึ้น “ไว้ข้าจะพูดคุยกับท่านพี่ดู เจ้าอย่าได้หลุดปากเอ่ยอะไรออกไปเสียก่อนเชียวล่ะ” 

 

 

แม่เหยาพยักหน้ารับทราบ 

 

 

“ท่านป้า…ท่านป้า…” เสียงตะโกนเรียกของหมิงจูจากด้านนอกดังสวนเข้ามา 

 

 

“คุณหนู ให้ข้าน้อยเข้าไปบอกกล่าวให้ทราบสักประเดี๋ยวก่อนนะเจ้าคะ” ชุนซิ่งกล่าว 

 

 

“ข้าจะเข้าพบท่านป้า ยังต้องบอกกล่าวอะไรก่อนอีกหรือ ไสหัวไปเดี๋ยวนี้” วันนี้หมิงจูเก็บงำความโกรธเกรี้ยวไว้เต็มทรวง จนแทบจะระเบิดออกมาให้ได้ เมื่อได้ยินว่าผู้เป็นป้ากลับมาจากบ้านชานเมืองแล้ว จึงวิ่งแจ้นมาฟ้องเรื่องราวที่เกิดขึ้น 

 

 

ฮานชิวเยว่ขมวดคิ้วอย่างไม่สบอารมณ์ โบกมือปัดๆ ใส่แม่เหยา “เจ้าออกไปก่อน” 

 

 

หมิงจูตรงปรี่เข้ามา โดยมีชุนซิ่งตามหลังมาติดๆ ภายใต้สีหน้าตื่นตระหนก หมิงจูไม่แม้แต่จะสังเกตเห็นผู้เป็นแม่แท้ๆ ด้วยซ้ำว่ากำลังมีสีหน้าไม่พึงพอใจ ซบหน้าลงไปแล้วร้องไห้ออกมา “ท่านป้า ท่านต้องช่วยจัดการให้ข้านะ ข้าโตมาขนาดนี้ยังไม่เคยได้รับความไม่ยุติธรรมเช่นนี้มาก่อน ข้า…ข้าไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้ว…” 

 

 

เวลานี้ตัวฮานชิวเยว่เองซึ่งหงุดหงิดรำคาญใจเป็นทุนเดิม พอเห็นหมิงจูร้องไห้คร่ำครวญอีก จึงกล่าวดุภายใต้สีหน้าเย็นชา “บอกเจ้ากี่ครั้งกี่หนแล้ว ช่วยสงบปากสงบคำหน่อย เจ้าเป็นหญิงสาวซึ่งมีศักดิ์เป็นลูกพี่ลูกน้อง มิใช่คุณหนูแต่อย่างใด มัวทำตัวหยิ่งผยองเช่นนี้ ไม่รู้จักเคารพยำเกรงผู้อื่น ข้าจะส่งเจ้ากลับไปหาแม่ของเจ้าทันที” 

 

 

หมิงจูเริ่มสับสนการถูกตำหนิด่าทอ ก็ท่านเป็นแม่แท้ๆ ของข้ามิใช่หรอกหรือ แล้วท่านยังคิดจะส่งข้าไปแห่งหนใดอีก 

 

 

“ชุนซิ่ง เจ้าออกไปก่อน” หลังฮานชิวเยว่ไล่ชุนซิ่งออกไปเป็นที่เรียบร้อย ถึงได้เอ่ยถาม “เกิดเรื่องอันใดขึ้นอีก” 

 

 

หมิงจูนำเรื่องราวที่หลินหลันสาดเสียเทเสียใส่นางวันนี้ฟ้องผู้เป็นแม่ด้วยความเคียดแค้น แล้วยังยื่นข้อมือออกไปใช้ผู้เป็นแม่ดูรอยช้ำที่ปรากฏ 

 

 

“ท่านแม่ นางชังน่ารังเกลียดและเลวทรามต่ำช้าเกินไปแล้วจริงๆ ท่านจะต้องเล่นงานนาง จัดการนางให้สิ้นซากนะเจ้าคะ” หมิงจูขบฟันด้วยความเคียดแค้น อยากจะเอาคืนหลินหลันเสียตอนนี้ด้วยซ้ำ อยากจะตบปากหลินหลันสักสองสามฉาดใหญ่ๆ ให้รู้ซึ้งถึงความเจ็บปวด 

 

 

แผงอกของฮานชิวเยว่กระเพื่อมขึ้นลงตามจังหวะหายใจแรง คำพูดที่ไม่อาจเอื้อนเอ่ยออกมาได้เนิ่นนาน ความรู้สึกเช่นนี้ราวกับชีวิตที่กำลังเผชิญปัญหามากมายพร้อมใจกันประดังงาเข้ามา ตัวตนของหมิงจูถือเป็นความลับขั้นเด็ดขาดในจวนหลี่ นอกจากนางกับผู้เป็นสามีและหมิงเจ๋อ ก็มีเพียงแม่เจียงอีกผู้หนึ่งเท่านั้นที่รู้เรื่องราว หมิงจูกับหมิงเจ๋อเป็นพี่น้องที่รักใคร่กลมเกลียวกัน ทว่าในสายตาผู้อื่นที่มองมากลับเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ฮานชิวเยว่เพิ่งตระหนักขึ้นมาได้ว่าปัญหานี้มีความสำคัญร้ายแรง และไม่ว่าการที่หลินหลันพูดออกมาเช่นนี้มีจุดประสงค์อะไร หากคำพูดเหล่านี้แพร่งพายในจวนหลี่ อย่าว่าแต่หมิงจูกับหมิงเจ๋อจะไม่มีหน้าไปพบปะผู้ใดเลย นางกับผู้เป็นสามีก็คงจะได้อกแตกตายไปข้าง 

 

 

ฮานชิวเยว่ทำใจให้เย็นลง แล้วกล่าวด้วยท่าทีเคร่งขรึม “ข้าบอกเจ้าแล้วว่าอย่าไปหาเรื่องหลินหลัน เจ้าก็คอยแซ่หาเรื่องอยู่ได้ ตนเองไม่มีความสามารถพอที่จะเล่นงาน อย่าว่าแต่จะไปสะสางนางเลย คำพูดเช่นนี้แม้เอ่ยถามก็ไม่ต้องตาม เอ่ยถึงก็ไม่ต้องเอ่ยถึง ข้าขอเตือนเจ้าอีกครั้ง คราวหน้าคราวหลังอยู่ให้ห่างจากนางไว้หน่อย อีกเรื่อง ไปหาพี่ชายของเจ้าให้มันน้อยๆ หน่อย อย่าให้ใครต่อใครเอาไปพูดคุยกันเรื่อยเปื่อยได้” 

 

 

“ท่านแม่ ท่านไม่ช่วยข้าจัดการ แล้วยังตำหนิข้าอีก…” หมิงจูเฝ้ารอคอยใจจดจ่อที่จะวิ่งแจ้นมาฟ้องร้อง กลับได้คำสั่งสอนมาหนึ่งชุดเสียนี่ ดังนั้นความน้อยเนื้อต่ำใจจึงก่อตัวเป็นความเศร้าเสียใจและโกรธแค้น นางตะโกนออกไปทั้งน้ำตา “ในเมื่อพวกท่านไม่รักข้า แล้วเหตุใดต้องให้กำเนิดข้าออกมาด้วย ทำให้ข้าต้องแบกรับตราบาปนี้ ข้า…ข้าจะตายๆ ไปให้สิ้นเรื่อง” นางวิ่งหน้าตั้งออกไปขณะเอ่ย 

 

 

นั่นทำให้ฮานชิวเยว่ตื่นตกใจแทบแย่ เจ้าเด็กคนนี้นิสัยวู่วามเอาแต่ใจ นิดๆ หน่อยๆ ก็เป็นเรื่อง ฮานชิวเยว่จนปัญญา จึงเรียกให้ชุนซิ่งช่วยประครองเพื่อตามนางไป ปลอบประโลมอยู่พักใหญ่ บวกกับใช้พลังมหาศาลเพื่ออธิบายอย่างละเอียด หมิงจูถึงได้ใจเย็นลง 

 

 

“ตอนนี้แม่รู้สึกมืดแปดด้าน แต่ละก้าวมันยากลำบากยิ่งนัก หากเจ้าต่าสว่าง ก็ช่วยทำตัวเป็นลูกน้องของพี่ชายเจ้าให้ดีๆ อย่าได้ก่อความวุ่นวายเพิ่มให้แม่อีก การเล่นงานสาวบ้านนอกนั้นเป็นเรื่องที่ไม่ช้าก็เร็ว แม่ยังไม่รีบร้อนเลย แล้วเจ้าจะรีบร้อนไปใย” ฮานชิวเยว่ล้วงผ้าเช็ดหน้าออกมาช่วยเช็ดน้ำตาให้แก่บุตรสาว 

 

 

หมิงจูเอนกายพิงบนเรือนร่างผู้เป็นแม่พลางสะอึกสะอื้น “ข้าเกลียดพี่รองและหลินหลันนังสาวชาวบ้านผู้นี้ ก่อนหน้าพวกเขากลับมา ข้ามีความสุขดีเสียยิ่งกะไร พอพวกเขากลับมา อะไรๆ ก็เปลี่ยนไปหมด” 

 

 

ฮานชิวเยว่ก็เจ็บปวดอยู่ในใจเช่นกัน มันไม่ง่ายเลยกว่าจะขับไล่เยี่ยซินเหว่ยออกไปได้ แต่กลับยังคงหลงเหลือแก่นรากตัวปัญหาไว้อีกหนึ่งเสียได้ และดันเป็นคู่ต่อสู้ที่ไม่ธรรมดาเอาซะเลย ฮานชิวเยว่ลูบคลำผมสลวยของบุตรสาว พลางกล่าวอย่างเหนื่อยใจ “เจ้าเด็กโง่ อดทนหน่อยแล้วกัน! ยังไงก็ต้องค่อยๆ ดีขึ้น” 

 

 

หลังจากหลินหลันกับหมิงอวินรับประทานมื้อค่ำเรียบร้อย ทั้งสองก็พากันไปเดินเล่นที่สวนหลังบ้านเพื่อความผ่อนคลาย 

 

 

หยินหลิ่วและคนอื่นๆ ไม่ตามไปรบกวนทั้งสองอย่างรู้งาน หลังจากวางน้ำชาอาหารว่างและผลไม้วางลงบนโต๊ะหินอ่อนเป็นที่เรียบร้อย ก็แอบไปอยู่ในที่ที่ไกลออกไป 

 

 

ตอนนี้เองหลินหลันจึงได้นำเรื่องราวการลงโทษเฉี่ยวโหรวบอกเล่าให้เขาฟัง 

 

 

“ข้าให้ท่านลุงช่วยนำตัวนางไปหลบซ่อนไว้ก่อน เผื่อว่าจะพอมีประโยชน์อะไรอยู่บ้าง ส่วนทางเจิ้งต้าเกอก็ได้ลงบันทึกไว้เรียบร้อยแล้ว…” 

 

 

หลี่หมิงอวินหยุดชะงักแล้วหันไปมองหลินหลัน อาจเป็นไปได้ว่าอาหารที่กุ้ยซ่าวทำเป็นที่ถูกปาก ใบหน้าของนางจึงกลมมนและมีน้ำมีนวลขึ้นมาก ดวงตาคู่กลมโตก็ดูมีชีวิตชีวามากขึ้นเรื่อย ๆ ราวกับดวงดาวบนท้องฟ้า ราวกับหยาดน้ำค้างบนใบบัว ว่องไวปราญเปรื่องยิ่งนัก 

 

 

“พูดเรื่องเป็นงานเป็นการกับเจ้าอยู่นะ! เจ้าเหม่อลอบอะไรอ่ะ…” หลินหลันถลึงตาใส่เขา 

 

 

หลี่หมิงอวินเผยรอยยิ้มเล็กน้อย “เจ้าทำได้ดีมาก ละเอียดรอบครอบกว่าที่ข้าคิดไว้เสียอีก” 

 

 

“แน่นอน ข้ามุ่งมั่นขนาดนั้นเชียวนะ! พบเจอคู่หูเช่นข้า ถือว่าเจ้าโชคดีแล้ว” หลินหลันอดเยินยอตัวเองไม่ได้ พอได้รับคำเยินยอไปหน่อยก็ถึงกับได้ใจ 

 

 

มองดูนางภูมิอกภูมิใจอย่างออกหน้าออกตา หลี่หมิงอวินอดเอ่ยกระซิบหยอกเย้ามิได้ “อย่าได้คิดที่จะต่อรองรางวัลตอบแทนขึ้นมาอีกเชียว!” 

 

 

หลินหลันกรอกตา ทันใดนั้นก็เกิดความคิดประหลาดขึ้นมา “ใช่แล้ว ข้าควรจะทำหนังสือบันทึกคุณความดีและความสำเร็จ โดยนำเรื่องราวที่ข้าทำจดบันทึกลงไป ระยะเวลาสามปียาวนานจะตายไป เกิดภายภาคหน้าหลงลืมไปล่ะขาดทุนแย่” 

 

 

หลี่หมิงอวินยิ่งพูดไม่ออกบอกไม่ถูกเข้าไปใหญ่ “เจ้านี่ช่างไม่กลัววุ่นวายเลยหรือไร” 

 

 

หลินหลันเบิกตากลมโต “ได้เงินทั้งทีแล้วยังจะกลัววุ่นวายทำไมกัน เจ้าเกิดมาบนกองเงินกองทอง ไม่เคยเผชิญชีวิตยากลำบาก ไม่รู้หรอกว่าเงินมันเป็นสิ่งสำคัญมากเพียงใด ข้าเคยรับปากท่านอาจารย์และศิษย์พี่ไว้ว่า ในอนาคตจะเปิดร้านยาที่ใหญ่ที่สุดในปักกิ่งให้ได้!” 

 

 

“เอาเลย งั้นเจ้าก็จดบันทึกไว้เถิด!” หลี่หมิงอวินกล่าวปนรอยยิ้มแห่งความสุข 

 

 

หลินหลันมุ่ยปาก ก็แค่ล้อเล่นเท่านั้นเอง ใครจะไปจดบันทึกกันจริงๆ ล่ะ! 

 

 

“จริงสิ ท่านพ่อเจ้าเรียกให้เจ้าไปหาวันนี้มีเรื่องอะไรหรือ” หลินหลันเอ่ยถาม 

 

 

หลี่หมิงอวินกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เรียบสงบ “ก็แค่ถามถึงเรื่องการสอบอะไรพวกนั้น หัวข้อคำถามเป็นอย่างไร แล้วข้าตอบมันอย่างไรทำนองนี้ล่ะ…อ่อ ยังมีเรื่องเรื่อง เป็นเรื่องเกี่ยวกับงานเลี้ยงฉลอง” 

 

 

“ยังคงยึดตามแผนการเดิมหรือ” 

 

 

หลี่หมิงอวินพยักหน้า 

 

 

หลินหลันแอบนึกถึงคำชี้นำซึ่งเป็นนัยยะแอบแฝงจากท่านพระยาจิ้ง จึงกล่าว “ข้าคิดว่า งานเลี้ยงฉลองนี้อย่าจัดใหญ่โตเอิกเริกจะดีกว่า แค่คนในครอบครัว แล้วเรียนเชิญเพื่อสนิทที่เจ้าต้องการมาสักนิดๆ หน่อยให้มาร่วมรับประทานอาหารกันก็เป็นอันพอแล้ว” 

 

 

หลี่หมิงอวินขมวดคิ้วเล็กน้อย 

 

 

“เรียบง่ายสิถึงเป็นการดี! เจ้าลองคิดดู หากการประกาศผลสอบครั้งนี้ เจ้าเป็นที่หนึ่ง จะมีผู้คนมากมายเพียงได้อยากเชื่อมสัมพันธ์กับเจ้า การที่พวกเราจัดเลี้ยงฉลองในช่วงจังหวะนี้ มิเป็นหารเปิดโอกาสให้พวกเขาได้เชื่อมสัมพันธ์กับเจ้าหรอกหรือ ถึงตอนนั้นดวงตาหลายคู่ต่างจับจ้องกันแต่เจ้า เจ้าใส่ใจคนนี้ ละเลยคนนั้น มันคงไม่ดีเท่าไหร่หรอกใช่ไหม แล้วใยต้องหาความวุ่นวายใส่ตัวด้วยเล่า ในเวลาเช่นนี้ มิสู้ทำจิตใจให้สงบ เตรียมตัวเตรียมใจสำหรับเข้าร่วมการสอบเตี้ยนซื่อ [1] มิดีกว่าหรือ” หลินหลันกล่าวโน้มน้าว 

 

 

หลี่หมิงอวินก้มหน้าไม่พูดไม่จา เดินไปมาอย่างเงียบสงบ ที่หลินหลันพูดก็มีเหตุผล กลับเป็นเขาที่ตั้งหน้าตั้งแต่มุ่งมั่นแต่จะต่อสู้จนลืมเรื่องในราชสำนักไปเสียสนิท การสอบจิ้นซื่อ [2] เป็นหนทางไปสู่ตำแหน่งแม่ทัพและอัครมหาเสนาบดี อันมีชื่อเสียงและตำแหน่งสำคัญ ซึ่งนำพามาซึ่งผู้คนมากมายต้องการเข้าหาสานสัมพันธ์ ณ ปัจจุบันนี้องค์รัชทายาทกับองค์ชายสี่ก่อศึกช่วงชิงกันอย่างลับๆ เขาเองก็ไม่อยากทำให้ทั้งสองฝ่ายขุ่นเคืองใจ เช่นนั้นอย่าเอิกเกริกเกินไปจะดีเสียกว่า 

 

 

 

 

 

 

 

 

—— 

 

 

[1] เตี้ยนซื่อ (殿试) การสอบหน้าพระที่นั่ง ซึ่งเป็นสนามสุดท้าย คนที่สอบได้คะแนนสูงสุดจึงเรียกว่า “จอหงวน” 

 

 

[2] จิ้นซื่อ (士之) แปลตามตัวอักษรว่า “บัณฑิตขั้นสูง’ คือผู้ที่สอบผ่านการสอบระดับราชสำนัก หรือระดับราชวัง ที่จัดขึ้นทุก ๆ 3 ปี หากบัณฑิตคนใดสอบได้เป็นจิ้นซื่อ ก็เท่ากับมีโอกาสได้เป็นขุนนางในราชสำนักค่อนข้างแน่นอนแล้ว