“งานเลี้ยงฉลองจะอลังการยิ่งใหญ่หรือไม่ สำหรับพวกเราแล้วมันมิได้สำคัญแต่อย่างใด ที่สำคัญคือ ความรู้ความสามารถของเจ้าได้รับการยอมรับจากฮ่องเต้ นั่นถึงจะลืมตาอ้าปากได้อย่างท่องแท้ ดียิ่งกว่าจัดเลี้ยงฉลองหลายร้อยโต๊ะเสียอีก” หลินหลันเอ่ยหว่านล้อมไปเรื่อย
“เจ้าก็พูดกับท่านพ่อเจ้าว่า ครั้งนี้พี่ใหญ่ของเจ้าสอบได้ไม่ดีอย่างที่หวัง หากจัดงานเลี้ยงฉลองใหญ่โต จะเป็นการทำร้ายจิตใจของพี่ใหญ่ อีกอย่าง เจ้าเองก็ต้องการสงบจิตสงบใจเพื่อเตรียมตัวสอบเตี้ยนชื่อ [1] เช่นกัน เมื่อท่านพ่อเจ้าได้ฟัง ก็จะคิดว่าเจ้าเห็นความสำคัญในมิตรภาพระหว่างพี่น้อง อีกทั้งด้วยเหตุผลนี้เขาก็สามารถชี้แจ้งต่อภายนอกได้เช่นกัน ซึ่งต่างฝ่ายต่างก็ไม่ต้องลำบากใจ…”
หลี่หมิงอวินหันกลับมากะทันหัน ขณะที่หลินหลันกำลังจดจ่ออยู่กับการพูดจึงไม่ทันได้ชะงักฝีก้าว ทำให้ปลายจมูกของนางชนเข้าไปที่แผงอกกำยำของเขา ด้วยแรงปะทะจึงถอยหลังจนตัวเอนไป หลี่หมิงอวินยื่นมือประคองเอวคอดของนางเอาไว้อย่างรวดเร็ว
หลินหลันป้องจมูก บ่นพึมพำด้วยความเจ็บปวด “เหตุใดจู่ๆ ถึงหันกลับมาเช่นนี้เล่า”
มือของหลี่หมิงอวินโอบรั้งนางเอาไว้โดยไม่รู้ว่าควรจะชักมือเก็บหรือโอบรั้งนางต่อไปเช่นเดิม กลิ่นหอมบนหมอนที่ได้กลิ่นเมื่อครั้งนอนกลางวัน เสมือนว่าได้ตราตรึงอยู่ในลมหายใจของเขาไม่เลือนหายเฉกเช่นกลิ่นนี้ เขากล่าวด้วยอาการเคอะเขินเล็กน้อย “ข้าฟังสิ่งที่เจ้าพูดอย่างมีเหตุมีผล…”
หลินหลันลูบจมูกพลางกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์นัก “มีเหตุมีผลก็ไม่ต้องทำท่าทางตื่นตกใจอะไรขนาดนี้สักหน่อย! จมูกข้าถูกเจ้าชนจนเบี้ยวแล้ว หากภายภาคหน้าขายไม่ออกล่ะก็เจ้าต้องรับผิดชอบด้วย!”
หลี่หมิงอวินพึมพำ “รับผิดชอบก็รับผิดชอบ ก็แค่เพิ่มมาหนึ่งปากท้องเท่านั้นเองหนิ!”
หลินหลันจ้องเขม็งใส่เขา “เจ้าว่าอย่างไรนะ”
หลี่หมิงอวินกล่าวทันควัน “เปล่า ไม่มีอะไร…ไหนขอข้าดูหน่อยว่าจมูกเจ้าโดนชนหักหรือไม่”
หลินหลันรีบปัดมือของเขาออกอย่างรวดเร็ว “ไม่ต้อง”
หยินหลิ่วและคนอื่นๆ ที่แอบอยู่ในตำแหน่งซึ่งไกลออกไปมองเห็นคุณชายรองกำลังโอบเอวของนายหญิงสะใภ้รองและกระซิบกระซาบกันอยู่! ทุกคนพร้อมใจกันปิดปากแอบหัวเราะไปโดยปริยาย
ในคืนเดียวกัน หลี่หมิงอวินไปยังห้องหนังสือด้านนอก นำความคิดการจัดงานเลี้ยงฉลองอย่างเรียบง่ายพูดคุยกับผู้เป็นพ่อ
หลี่จิ้งเสียนรู้สึกถึงความลำบากใจ เขาป่าวประกาศออกไปแล้วแท้ๆ พอมาตอนนี้กลับพูดว่าไม่จัดขึ้นมาอีก แล้วเขาจะอธิบายอย่างไรล่ะ!
หลี่หมิงอวินกล่าว “ด้วยเรื่องไม่คาดคิดของพี่ใหญ่ครั้งนี้ คงมีผลกระทบต่อคะแนนสอบไม่น้อยเลยทีเดียว แม้ว่าพี่ใหญ่มิได้เอื้อนเอ่ยออกมา แต่ภายในใจคงหงุดหงิดและกล่าวโทษตนเองอย่างมากแน่นอน หากท่านพ่อจัดงานเลี้ยงฉลองให้ข้าเสียใหญ่โตในช่วงเวลาเช่นนี้ เกรงว่าพี่ใหญ่คงรู้สึกแย่ ท่านแม่เองก็ด้วย จากเดิมที่ควรเป็นเรื่องน่ายินดีปรีดา ท้ายสุดจะพาลให้ทุกคนไม่มีความสุขไปกันหมด เช่นนั้นก็ไม่คุ้มค่าหรอกนะขอรับ ลูกคิดว่า ความกลมเกลียวเป็นสิ่งสำคัญที่สุด อีกอย่าง หากลูกโชคดีสามารถได้วุฒิจิ้นซี่อ [2] ก็ยังต้องเตรียมความพร้อมสำหรับการสอบเตี้ยนซื่อ ณ ตอนนี้ฮ่องเต้พระองค์ทรงชื่นชมบุคคลที่มีความสามารถแน่วแน่และเอาจริงเอาจังเป็นอย่างที่สุด เฉกเช่นเดียวกับท่านพ่อที่มุมานะจนได้วุฒิบัณฑิตจิ้นชื่อปั้งเหยี่ยน [3] จากนั้นก็ทำงานอย่างขยันขันแข็ง สั่งสมคุณงามความดี ทำคุณประโยชน์ให้แก่ประชาชน จนได้รับชื่อเสียงเรืองนาม ถึงได้รับความสำคัญและการให้ความสนใจจากฮ่องเต้ ท่านพ่อเป็นแบบอย่างของลูกมาโดยตลอด ลูกรับรู้และเข้าใจท่านพ่อเป็นอย่างดี แต่ทว่าการจะรับประกันได้ว่าคนนอกจะไม่อิจฉาริษยาตาร้อนนั้นเป็นเรื่องยาก เดี๋ยวพอถึงตอนนั้นจะพาลเกิดข่าวลือเสียหายออกมากอีก…ลูกจึงคิดทบทวนดู เอาเป็นว่าจัดให้เรียบง่ายเข้าไว้จะดีกว่าขอรับ”
ด้วยลูกไม้ประจบสอพลอนี้ทำให้หลี่จิ้งเสียนคลายความกังวลใจไปได้ แต่ละประโยคที่ได้ฟัง เขาอดคิดไม่ได้เลยว่า สรุปแล้วบุตรชายที่ซินเหว่ยให้กำเนิดเป็นผู้ที่โดดเด่นฉลาดหลักแหลม ส่วนนางฮาน… หลี่จิ้งเสียนส่ายหน้าอย่างเอือมระอา
ในค่ำคืนเดียวกัน หลี่จิ้งเสียนพูดคุยกับฮานชิวเยว่อย่างเรียบง่ายไม่กี่ประโยค “เรื่องการแต่งงานของหมิงอวินจัดไปอย่างเรียบง่ายแล้วกัน” หลังจากนั้นก็แสร้งทำเป็นไม่หือไม่อือ
ฮานชิวเยว่รู้สึกดีอกดีใจเป็นอันดับแรก หรือว่าหมิงอวินจะกระทำการใดเป็นอันให้ท่านพ่อของเขาโกรธเกรี้ยวเข้าแล้วหรือ นางรีบเขย่าตัวผู้เป็นสามีที่แสร้งหลับเป็นตาย “ท่านพี่ มิใช่ว่าจะจัดให้สมน้ำสมเนื้อหรือเจ้าคะ แล้วเหตุใดจึงเปลี่ยนใจเสียแล้ว”
กระดูกหลี่จิ้งเสียนแทบจะหลุดออกจากกันเมื่อถูกนางเขย่า เขาส่งเสียงขึ้นอย่างเหนื่อยหน่าย “นี่เป็นความประสงค์ของหมิงอวิน”
ฮานชิวเยว่ตกตะลึง มิใช่ความประสงค์ของท่านพี่หรอกหรือ
“จะได้อย่างไรเจ้าคะ จะไม่เป็นการไม่ยุติธรรมต่อเด็กทั้งสองเกินไปหรือ” ฮานชิวเยว่กล่าวอย่างเสแสร้ง
หลี่จิ้งเสียนกรอกตาด้วยความรำคาญ “ต่อหน้าข้าเจ้าช่วยเลิกเสแสร้งทีเถอะ ข้าขอเพียงพวกเจ้าสมานฉันท์อยู่กันอย่างสงบสุขไว้ก็พอ” เขาพลิกตัวหันหนีขณะเอ่ย โดยไม่ใยดีฮานชิวเยว่อีก
ฮานชิวเยว่จ้องมองแผ่นหลังของเขาพลางสาปแช่งอย่างเงียบๆ ก่อนจะเขยิบกายเข้าไปแนบอิง ขณะเดียวกันมือของนางก็ยื่นเข้าไปใต้ชายร่มผ้าของผู้เป็นสามี ลูบคลำเขาส่วนที่ไหวต่อการสัมผัส
ระยะนี้หลี่จิ้งเสียนแอบมีสัมพันธ์สวาทกับบ้านเล็ก สัมผัสอันน่าเบื่อของภรรยาแก่จึงไม่อาจปลุกเร้าความสนใจได้อีกต่อไป เขาจับมือนางออกด้วยความรำคาญเกินทน “เลิกกวนได้แล้ว พรุ่งนี้ยังต้องไปราชสำนักแต่เช้า!”
ฮานชิวเยว่รู้สึกผิดหวังเป็นอย่างมาก เมื่อนึกขึ้นมาว่าตอนที่นางไม่อยู่ ผู้เป็นสามีคงจะมีความสุขสำราญเกินอยู่กับหว่านอวี้ผู้นั้น จึงได้ตายด้านใส่นางราวกับไม้กระดานแข็งทื่อ ความโกรธเกรี้ยวปะทุขึ้นในใจอีกครั้ง นางได้แต่จำใจนอนลงไปพร้อมกับความโกรธ
นึกถึงเสน่ห์ของตนซึ่งถดถอยลงไปพร้อมกับความแก่ตัวที่มีมากขึ้นทุกวัน (เสน่ห์ที่ว่านี้นางเพียงแค่เปรียบเปรยกับตนเองเท่านั้น หากเทียบกับผู้อื่น แม่มดชราผู้นี้คงไม่ถึงขั้นใช้คำว่าเสน่ห์นี่ได้ด้วยซ้ำ) ความรักใครโปรดปรานก็ค่อยๆ จางหายไป หลี่หมิงอวินดันโผล่ขึ้นมาคั่นระหว่างกลางอีก มันช่างเป็นหายนะครั้งสำคัญเสียจริง ขืนเป็นเช่นนี้ต่อไป ในบ้านหลังนี้คงไม่หลงเหลือที่ยืนสำหรับนางอีก ลองไตร่ตรองคำพูดของแม่เหยาให้ละเอียด ยิ่งคิดก็ยิ่งมีเหตุมีผล ยกระดับหว่านอวี้ให้อยู่ในสถานะอี๋เหนียง [4] แต่อย่างไรก็ตาม จะให้สารกรมธรรม์ [5] แก่นางไปมิได้ ตราบใดที่ยังมีกระดาษใบนี้อยู่ในมือ จะได้เห็นดีกันว่านางจะกล้าไม่เชื่อฟังคำพูดของนางหรือไม่
เมื่อฮานชิวเยว่ตกลงปลงใจเช่นนี้ จึงจุดประเด็นขึ้นมาอีกครั้ง นางกอดแขนของผู้เป็นสามีเอาไว้เพลงเอ่ยกระซิบด้วยเสียงอ่อนโยนข้างใบหูของเขา “ท่านพี่เจ้าคะ น้องอยากรับนางบำเรอให้ท่านพี่เจ้าค่ะ”
ทางด้านหลี่จิ้งเสียนลืมตาขึ้นทันทีทันใดก่อนจะถึงขั้นแคะหู นี่ตนเองไม่ได้ฟังผิดไปหรอกใช่ไหม
“เจ้าว่าอะไรนะ” หลี่จิ้งเสียนหันมาถาม
ฮานชิวเยว่รำพึงรำพันอยู่ภายในใจด้วยความขุ่นเคือง “พอเอ่ยว่าจะรับนางบำเรอ จากเดิมที่แสร้งไม่หือไม่อือ ก็มีชีวิตชีวาขึ้นมาเชียว”
ฮานชิวเยว่ยิ้มอย่างอ่อนโยน “น้องได้ยินว่าหว่านอวี้สาวใช้ผู้นั้นเป็นที่โปรดปรานของท่านพี่ยิ่งนัก”
หลี่จิ้งเสียนผุดลุกขึ้นนั่ง สีหน้าเปลี่ยนไปจากเดิมเล็กน้อย “หญิงชราผู้ไหนคาบสารไปบอกกล่าวอีกหรือ”
ฮานชิวเยว่แอบยิ้มเยาะ ดูเจ้ารอนรนเสียจริงนะ คงกลัวว่าข้าจะกำจัดนางล่ะสิท่า
“ท่านพี่ ท่านตื่นตระหนกอะไรกันเล่า น้องมีความคิดเรื่องนี้อยู่เนิ่นนานแล้ว เพียงแต่ที่ผ่านมามิมีผู้ใดเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ ในตอนนี้ท่านพี่มีคนที่ถูกใจ เช่นนั้นจะมีอะไรดีไปกว่านี้ล่ะเจ้าค่ะ หลังจากนี้จะได้มีน้องสาวไว้คอยปรนนิบัติทานพี่อีกแรง แล้วเหตุใดน้องจะไม่ยินยอมล่ะเจ้าคะ” ฮานชิวเยว่เอ่ยด้วยน้ำเสียงละเมียดละไม ขณะเดียวกันเรือนร่างของนางก็ค่อยๆ แนบอิงเข้าหา
หลี่จิ้งเสียนกระตุกยิ้มมุมปาก ไม่แน่ใจว่าคำพูดครั้งนี้จากปากฮานชิวเยว่เป็นคำพูดที่ออกมาจากใจหรือคำโกหกกันแน่ ก่อนหน้านี้เขามีคนที่ต้องตาต้องใจสองถึงสามคน ทว่าทำได้แค่มอง มิเคยได้สัมผัส พวกนางก็ถูกนางฮานขับไล่ออกไปเสียแล้ว สหายร่วมงานถึงขั้นเคยส่งนางสนมมาให้ แต่นางฮานก็ไม่อนุญาต เขาจึงไม่กล้าตอบรับแต่อย่างใด แม้จะยอมทนทุกข์ทรมานมาหลายปี แต่ทั้งหมดก็เพื่อชื่อเสียงศีลธรรมอันดีงาม หลี่จิ้งเสียนกล้ำกลืนฝืนยิ้ม “เจ้าพูดจริงหรือ”
ฮานชิวเยว่แสดงเจตจำนงทันที “จริงสิเจ้าคะ ข้าสั่งให้คนเลือกวันแล้ว หลังจากเลือกวันได้แล้วก็จะแต่งตั้งให้นางเป็นอี๋เหนี่ยง! ข้าเห็นว่าหว่านอวี้สาวใช้ผู้นี้ก็มิเลวนะเจ้าคะ รูปร่างอวบอั๋น เป็นผู้มีชะตาให้กำเนิดบุตรชายผู้หนึ่ง ซึ่งไม่แน่ว่า จะสามารถให้กำเนิดบุตรชายจ้ำม่ำให้ท่านได้อีกคน”
หลี่จิ้งเสียนรู้สึกจักเดียมหัวใจแปลกๆ ไปกับคำพูดของนาง พอได้นึกถึงรูปเรือนร่างอวบอั๋นสมบูรณ์ของหว่านอวี้ มือทั้งสองข้างก็ดันไม่รักดีขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว
ในเมื่อนางฮานรู้งานเสียขนาดนี้ แน่นอนว่าเขาก็ต้องทุ่มเทอย่างสุดความสามารถด้วยเช่นกัน
ข่าวคราวเกี่ยวกับหว่านอวี้จะถูกแต่งตั้งเป็นอนุภรรยาแพร่ไปทั่วทั้งจวนหลี่อย่างรวดเร็ว โดยกำหนดวันในหนึ่งเดือนหลังจากนี้
เมื่อหลินหลันได้ยินข่าวคราวก็รู้สึกตื่นตกใจเป็นอย่างยิ่ง ท่านพ่อหลี่ผู้ไร้ยางอายไม่ต้องการรักษาภาพลักษณ์บุรุษผู้แสนดีแล้วหรือ หรือว่าเขามีใจนอกลู่นอกทางมาโดยตลอดเพียงแต่ไม่ได้แสดงออกมาเช่นนั้นหรือ แล้วเหตุใดแม่มดชราถึงสรรหาคนมาเป็นคู่ต่อสู้ให้ตนเองเช่นนี้ล่ะ หว่านอวี้ผู้นั้นมีดีอย่างไรหรือ ถึงสามารถทำให้ท่านพ่อหลี่ผู้ไร้ยางอายยอมจำนนท์ได้ คงเก่งกาจไม่เบาเชียวสินะ! แต่จะเป็นในด้านใดนั้น คงไม่ต้องพูดอะไรให้มากความแล้วล่ะ
หลินหลันเรียกหมิงอวินที่กำลังจดจ่ออยู่กับการอ่านตำราบนเก้าอี้นวมตัวยาว “นี่! หมิงอวิน เจ้ากำลังจะมีแม่เลี้ยงเพิ่มอีกคนแล้ว เหตุใดถึงไม่สะทกสะท้านบ้างเลย”
หลี่หมิงอวินกล่าวอย่างสบายอกสบายใจ “มิใช่ข้ารับนางบำเรอเสียหน่อย เจ้าจะตื่นเต้นขนาดนี้ไปทำไมกัน”
หลินหลันวางสะดึงปักลวดลายในมือลง สองวันมานี้นางช่างน่าสงสารยิ่งนัก ด้วยไม่ทันระวังจึงทำให้พัดพับที่ซื้อมาจากเมืองซูโจวอันนั้นเปื้อนหมึกเข้าจนได้ ผู้เป็นเจ้าของยืนยันหัวเด็ดตีนขาดว่านางจะต้องนำไปปักให้เขาแล้วค่อยนำมาคืน นางเอ่ยว่าตนเองไม่สามารถปักถักร้อยได้ จนผู้เป็นเจ้าของเอ่ยว่าปักลายหนึ่งจะให้ห้าสิบเหลี่ยงเงิน ห้าสิบเหลี่ยงเชียวนะ อย่าว่าแต่พัดพับหนึ่งอันด้าม ต่อให้นำเขาทั้งคนปักลงไปก็คุ้มค่า ด้วยแนวโน้มของผลกำไรอย่างเห็นๆ นางจึงหน้ามืดตามัวตกปากรับคำไป เอ่ยว่าลวดลายให้นางเป็นคนกำหนด หลังจากนั้นนางให้ป๋ายฮุ่ยช่วยเลือกจนได้ลวดลายดอกกล้วยไม้ซึ่งเป็นลายที่ง่ายที่สุด โดยคิดว่าด้วยความสามารถและความฉลาดหลากแหลมของนาง จะสามารถรังสรรค์มันออกมาได้อย่างคล่องแคล่ว พอได้ลงมือทำถึงได้รู้ว่าบางสิ่งบางอย่างในโลกใบนี้อยู่เหนือการควบคุมของนางโดยสิ้นเชิง นางสามารถใช้เข็มเงินเป็นอาวุธลับ แต่ไม่สามารถควบคุมเข็มเงินขนาดเล็กเพื่อปักดอกไม้ลงไปบนผ้าได้ ทั้งๆ ที่ป๋ายฮุ่ยสอนนางแล้วครั้งแล้วครั้งเล่า สอนจนแทบจะร้องไห้ใส่แล้วก็ว่าได้
“ข้าดูตื่นเต้นมากงั้นหรือ ใช่ ข้าตื่นเต้นมาก ข้าตื่นเต้นที่จะได้เห็นลูกไม้นี้ของแม่มดชราว่าจะร่วงหรือรุ่ง เป็นการเพิ่มผู้ช่วย หรือเป็นการหาเรื่องใส่ตนเอง ข้ากำลังครุ่นคิดอย่างตื่นเต้น เป็นเพราะแม่มดชรากำลังค่อยๆ สูญเสียการเป็นที่โปรดปรานของท่านพ่อเจ้าแล้ว ด้วยความจนปัญญาจึงใช้วิธเช่นนี้ในการเอาใจท่านพ่อของเจ้า ข้ากำลังตื่นเต้นว่า จะให้แม่เลี้ยงหว่านอวี้ให้กำเนิดน้องชายแก่เจ้าสักคน ในบ้านนี้จะได้ครื้นเครงยิ่งขึ้นไงล่ะ…” หลินหลันเอ่ยอย่างถึงพริกถึงขิง
หลี่หมิงอวินชายตามองหลินหลันภายใต้สีหน้าเรียบเฉย พลางเอ่ยขึ้น “เช่นนั้นเจ้าก็รอดูการแสดงสนุกๆ ได้เลย!”
“เอ๋? ประโยคนี้ของเจ้าฟังดูแปลกหูชอบกล! หรือเจ้ารู้เบื้องลึกเบื้องหลังอะไรมางั้นหรือ” หลินหลันเผยท่าทีประหลาดใจยกใหญ่ หยิบอุปกรณ์เย็บปักถักร้อยแล้วหย่อนตัวนั่งลงบนเก้าอี้นวมตัวยาว เตรียมรับฟังเขาเอ่ยอย่างละเอียด
หลี่หมิงอวินเขยิบเพื่อแบ่งพื้นที่นั่งให้ แล้วอ่านตำราต่อไป “ข้ารู้เบื้องลึกเบื้องหลังอะไรที่ไหนกัน”
หลินหลันกรอกตาอย่างไม่สบอารมณ์ “นี่เจ้าทำให้อยากแล้วจากไปงั้นหรือ เจ้าไม่รู้แล้วจะพูดอย่างมีลับลมคมในเช่นนั้นทำไมกัน”
หลี่หมิงอวินวางหนังสือลง และกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เป็นเจ้าที่คิดลึกเกินไปเองต่างหาก”
หลินหลันโยนสะดึงตามด้วยตระกร้าเข็มและด้าย แล้วกรอกตาใส่เขา เตรียมจะเดินหนีไป
ทว่าหลี่หมิงอวินกลับหยิบสะดึงขึ้นมาแล้วลุกขึ้น
“นี่! เจ้ารับปากแล้วนี่ว่าตราบใดที่ยังปักไม่เสร็จจะไม่ขอดูน่ะ” หลินหลันโวยวาย ต้องการเข้าไปแย่งกลับคืนมา นางแอบสั่งการให้อวี้หลงช่วยปักให้นางแล้ว หากถูกเขาเห็นเข้า จะเท่ากับไม่อาจสวมรอยได้แล้วหรอกหรือ
หลี่หมิงอวินชูสะดึงขึ้นสูงแล้วมองดู ก่อนจะขมวดคิ้วพลางเอ่ยถาม “เจ้ากลมๆ สีขาวนี้คืออะไรหรือ”
หลินหลันชะโงกหน้าไปมอง และกล่าวด้วยสีหน้าหมดคำพูด “สายตาอะไรของเจ้า ถึงได้เรียกกลมๆ สีขาว นั่นมันคือดอกกล้วยไม้ต่างหาก”
หลี่หมิงอวินพลิกสะดึงไปมาขณะมองดู “ไม่เหมือนอ่ะ! ดูไม่ออกเลยจริงๆ …”
หลินหลันหัวเสีย วางตะกร้าเข็มและด้ายลงบนเก้าอี้นวมตัวยาว “เงินนั่นน่ะ ข้าไม่เอาแล้วก็ได้”
หลี่หมิงอวินรู้สึกว่าตนเองทำลายความมุ่งมั่นอันแรงกล้าของใครบางคนเข้าจังๆ เสียแล้ว จึงแสร้งทำทีเอ่ยเชิงให้แก้ไขเพิ่มเติม “อืม…มองดูเช่นนี้ค่อยดูเหมือนรูปลักษณ์ของดอกกล้วยไม้ขึ้นมาหน่อย หากปักกลีบดอกไม้ลงตรงนี้อีกสักนิดก็จะเหมือนขึ้นเยอะ อืม…สำหรับผู้เริ่มเรียนรู้ สามารถปักออกมาได้เช่นนี้ ถือว่าควรค่าแก่การตอบแทน ให้เพิ่มอีกยี่สิบเหลี่ยงเงิน…”
ยังไม่ทันพูดจบ สะดึงในมือก็ถูกคนแย่งไปเสียแล้ว ใครบางคนที่กำลังหน้าหงิกงอ เขยิบไปนั่งในระยะที่ห่างออกไป แล้วก้มหน้าก้มตาฝ่าฟันมันต่อไป
——
[1] เตี้ยนซื่อ (殿试) การสอบราชสำนัก เป็นการสอบระดับสูงสุด มีการจัดสอบทุก ๆ 3 ปี ณ พระราชวังหลวง ซึ่งโดยมากฮ่องเต้ จะเป็นผู้ดูแลและคุมการสอบด้วยพระองค์เอง
[2] คือผู้ที่สอบผ่านโดยมีความรู้ความสามารถและคุณสมบัติเหมาะสมสำหรับการเข้ารับราชการ
[3] คือบัณฑิตจิ้นชื่อ ที่สอบได้อันดับที่สอง หรือเป็นรองแค่บัณฑิตจอหงวน เท่านั้น
[4] อี๋เหนียง (姨娘) ตำแหน่งหรือคำเรียกอนุภรรยา
[5] หนังสือสัญญาขายตัวเป็นทาส