บทที่ 79 ทะเลเพลิงทะเลไผ่

คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย

นี่เป็นทะเลสาบซิ่ง[1]ในดินแดนลึกลับลั่วเซียน เพราะข้างทะเลสาบมีต้นซิ่งมากมาย ดึงดูดวานรหลังเงินตัวอวบอ้วนที่ชอบกินผลไม้จำนวนมาก พวกมันจับกลุ่มกินผลซิ่งอยู่บนต้นไม้ กระหายก็ไปดื่มน้ำในทะเลสาบซิ่งที่อยู่ท่ามกลางต้นซิ่ง ส่วนในทะเลสาบมีสัตว์น้ำขุ่นขั้นสี่อยู่ตัวหนึ่งกินวานรหลังเงินเป็นอาหาร

ยามนี้ สัตว์น้ำขุ่นสูงสี่ห้าจั้งตัวนั้น พาดร่างท่อนที่เหมือนวานรริมทะเลสาบ หางปลาขนาดยักษ์ห้อยอยู่ในทะเลสาบซิ่ง มีบาดแผลอยู่ทั่วร่าง หมดลมหายใจไปนานแล้ว

ส่วนริมทะเลสาบซิ่ง มีผู้บำเพ็ญเซียนสองคนกำลังต่อสู้พัวพันเพื่อแย่งชิงซากสัตว์น้ำขุ่น นอกจากสัตว์น้ำขุ่นที่มีราคาแพงตัวนี้ ยังมีกระเป๋าเก็บของและของวิเศษของผู้บำเพ็ญเซียนซึ่งเสียชีวิตแล้วที่ได้มา สถานที่แห่งนี้มีสภาพยุ่งเหยิง มีผู้บำเพ็ญเซียนสามคนล้มลงเลือดไหลนองเป็นตายไม่ทราบแน่ชัด อย่างไรก็สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปแล้ว

การต่อสู้ยังไม่สิ้นสุดดังนั้นคนทั้งสามจึงนอนอยู่ตรงนั้น รอคอยให้ฝ่ายชนะในท้ายที่สุดมาจัดการสิ่งของที่เหลืออยู่บนร่าง

ตรงสถานที่ซึ่งคนทั้งสองไม่ได้สังเกต จินเฟยเหยากำลังหลบอยู่ในพุ่มไม้จับจ้องคนเหล่านี้เงียบๆ การต่อสู้อย่างอุตลุตของคนสิบกว่าคน เห็นเงากระบี่ประกายดาบจำนวนนับไม่ถ้วน มีเสียงของวิเศษระเบิดไปทั่วทุกแห่ง ทั้งภูเขาถูกเวทมนตร์ทำลาย บางครั้งยังเผาต้นซิ่ง

เห็นสัตว์น้ำขุ่นและคนทั้งสามบนพื้น จินเฟยเหยาก็ชั่งน้ำหนักผลได้ผลเสียว่าจะไปแย่งชิงตานสัตว์ปิศาจในร่างสัตว์น้ำขุ่นดีหรือหยิบกระเป๋าเก็บของของคนทั้งสามไปจะสะดวกกว่า หลังจากครุ่นคิดอย่างละเอียด นางตัดสินใจหยิบแค่กระเป๋าเก็บของ การค้นร่างศพอาศัยความว่องไวของตนเอ ใช้เวลาแค่ไม่กี่อึดใจก็ทำเสร็จ ทว่าตานสัตว์ปิศาจของสัตว์น้ำขุ่นอยู่ในร่างกายตอนไปนำมาต้องมีความเคลื่อนไหวใหญ่โตแน่ ไม่ต้องเอ่ยถึงว่าบนร่างของสัตว์น้ำขุ่นยังมีผู้บำเพ็ญเซียนสองคนยืนต่อสู้กันอยู่

คิดถึงตรงนี้จินเฟยเหยาจึงตัดสินใจ หลังสังเกตการณ์รอบด้านแล้วพบว่าไม่มีใครสนใจนางก็พุ่งออกไปอย่างต่อเนื่อง พริบตาก็มาถึงข้างกายผู้บำเพ็ญเซียนคนหนึ่งใช้มือดึงกระเป๋าเก็บของบนเอวลงมาแล้วนางก็พุ่งไปหาผู้บำเพ็ญเซียนที่นอนอยู่บนพื้นอีกคนโดยไม่หยุดชะงัก

คนทั้งสองกำลังนอนหันหน้าเข้าหากัน กระเป๋าเก็บของแขวนไว้บนเอวอย่างเห็นได้ชัด ดังนั้นจึงถูกนางใช้มือดึงลงไปอย่างง่ายดาย รวมทั้งหมดใช้เวลาไปประมาณสิบอึดใจเท่านั้น รอจนคนอื่นๆ พบเห็นนาง นางก็พุ่งไปถึงเบื้องหน้าคนที่สามแล้ว

คนผู้นี้กำลังนอนคว่ำหน้าอยู่ มองไม่เห็นว่ากระเป๋าเก็บของอยู่ตรงไหน จินเฟยเหยาใช้มือค้น คิดไม่ถึงว่าคนผู้นี้จะลืมตาขึ้นมองนางอย่างตกใจ ที่แท้แกล้งตาย นางยกมือขึ้นชกหน้าเขาหนึ่งครั้งโดยไม่ลังเลสักนิดทำให้ผู้นี้สลบไปทันที แล้วค่อยใช้มือดึงเข็มขัด กระเป๋าเก็บของจึงร่วงลงมา นางหยิบกระเป๋าเก็บของขึ้นแล้ววิ่งหนีเข้าป่าซิ่งไปโดยไม่หันหลัง หนีไปอย่างลอยนวล

นางลงมืออย่างรวดเร็วภายในสิบสองอึดใจก็ปล้นชิงเสร็จสิ้น พุ่งเข้าไปในป่า ส่วนผู้บำเพ็ญเซียนเหล่านั้นต่างยุ่งจนไม่ว่างมาลงมือกับนางที่ยึดสิ่งของไปอย่างกะทันหัน ได้แต่เบิกตามองดูนางหอบกระเป๋าเก็บของวิ่งหนีไป คนทั้งหมดล้วนแอบด่าทอว่า “หน้าไม่อาย ฉวยโอกาสตอนที่ผู้อื่นตกอยู่ในอันตราย”

จินเฟยเหยาปล้นกระเป๋าเก็บของแล้วก็รีบวิ่งไปข้างหน้าโดยไม่หยุดพัก ตลอดทางนางอาศัยวิธีนี้หยิบฉวยกระเป๋าเก็บของของผู้บำเพ็ญเซียนที่เสียชีวิตเป็นจำนวนไม่น้อย มีสองครั้งยังยั่วยุผู้บำเพ็ญเซียนสองคน พวกเขาไม่โจมตีกันเองทว่ากลับร่วมมือกันล่าสังหารนางแทน

หลังจากที่หลายคนถูกจินเฟยเหยาใช้ฟองแสงนรกคลุมแล้วเผาตายก็ไม่มีใครไล่ตามนางอีก ส่งตนเองไปตายเพื่อกระเป๋าเก็บของผู้อื่น ไม่มีใครทำเรื่องโง่เขลาเช่นนี้

ตลอดทางจินเฟยเหยามุ่งไปทางตะวันตกเนื่องจากมีพวกผู้บำเพ็ญเซียนต่อสู้พัวพันกันมาก นางฉกฉวยผลประโยชน์ได้ไม่น้อย เก็บเกี่ยวได้ผลดีอย่างยิ่ง

ครู่หนึ่ง ข้างทะเลสาบซิ่งก็มีแขกไม่ได้รับเชิญมาอีกคน ไป๋เจี่ยนจู๋เหยียบหมื่นลูกข่างปรากฏตัวขึ้นกลางอากาศมองผู้บำเพ็ญเซียนที่กำลังต่อสู้พัวพันกันอยู่ด้านล่าง ผสมพลังวิญญาณลงในน้ำเสียงเอ่ยถามผู้บำเพ็ญเซียนเหล่านั้น “ไป๋เจี่ยนจู๋แห่งหอชิงซวีขอสอบถามทุกท่านถึงคนผู้หนึ่ง เป็นสตรีที่กระทำเรื่องลักเล็กขโมยน้อย ขอถามทุกท่านว่าเคยพบเห็นหรือไม่?”

น้ำเสียงของเขาดังสะท้อนไปทั่วทั้งทะเลสาบซิ่ง มีผู้บำเพ็ญเซียนสองคนหลังจากใช้เวทมนตร์ปะทะกันแล้วถูกดีดกระเด็นออกมาพอดี จึงหยุดมือเอ่ยตอบคนที่อยู่กลางอากาศว่า “สหายเซียนไป๋ เมื่อครู่นี้ มีสตรีผู้หนึ่งวิ่งมาลับๆ ล่อๆ หลังจากปล้นชิงกระเป๋าเก็บของไปหลายใบก็วิ่งหนีไปทางด้านนั้น”

“ขอบคุณ แต่ละท่านแบ่งสัตว์น้ำขุ่นอย่างยุติธรรมจะดีกว่า ต่อสู้จนกลายเป็นเช่นนี้ก็ไร้ความหมาย” ไป๋เจี่ยนจู๋ทิ้งคำพูดนี้ไว้แล้วรีบไล่ตามไปยังทิศทางที่คนผู้นี้ชี้บอก

คนทั้งสองได้ยินคำพูดของไป๋เจี่ยนจู๋ก็ลังเลเล็กน้อย แล้วหยิบของวิเศษขึ้นสู้กันต่อ สู้จนถึงขั้นนี้ ตายไปแล้วสามคน ถ้าหยุดกลางคันคนทั้งสามมิตายเปล่าหรือ

ยี่สิบกว่าวันนี้ไป๋เจี่ยนจู๋ไม่ว่างเลยค้นหาที่อยู่ของจินเฟยเหยาไปทั่ว ทั้งยังทำความดีผดุงคุณธรรมอย่างกล้าหาญ ช่วยเหลือผู้ถูกรังแกจำนวนไม่น้อย ทว่ายี่สิบกว่าวันที่ผ่านมากลับไม่มีข่าวคราวใดๆ เลย เขาไม่ท้อถอยยังยืนหยัดค้นหาจินเฟยเหยาอย่างแน่วแน่ดังเดิม

จนกระทั่งหลายวันนี้เขาจึงได้ข่าว มีสถานที่หลายแห่งปรากฏสตรีที่ฉวยโอกาสขโมยของผู้อื่น ถึงแม้แต่ละครั้งรูปโฉมของสตรีที่สอบถามได้ความมาจะไม่เหมือนกัน มีสาวน้อย มีสตรีแต่งงานแล้ว บ้างบริสุทธิ์สะอาด บ้างยั่วยวนกวนสวาท ทว่าเขาไม่ต้องคิดก็รู้จินเฟยเหยาต้องเป็นคนลงมือแน่

จินเฟยเหยาเองก็คาดเดาได้ว่าไป๋เจี่ยนจู๋ผู้ยึดมั่นยังกำลังตามหาตนเองอยู่แน่ ขอเพียงแย่งชิงสิ่งของได้หลังจากวิ่งไปได้ไม่ไกลก็จะเปลี่ยนทิศทาง อย่างน้อยมีสองทิศทางให้นางหนี ทั้งสองคนเจ้าไล่ตามข้าซ่อนตัวพัวพันกันราวกับแมวไล่จับหนู

ยิ่งใกล้วันสุดท้าย จินเฟยเหยายิ่งรู้สึกว่าด้านหลังของตนเองดูเหมือนจะรู้สึกได้ถึงอันตรายที่สลัดไม่หลุด ที่จริงนางไม่ได้ขโมยของมาสองวันแล้ว พบคนสองกลุ่มกำลังต่อสู้กันอยู่พอดี คงไม่ง่ายและไม่บังเอิญขนาดนั้น พบเห็นก่อนก้าวหนึ่งก็ต้องรอคอยอาจจะถูกคนพบเห็นได้ง่าย ถ้ามาช้าไปก้าวหนึ่งผู้อื่นก็เริ่มเก็บสถานที่ ถ้าไปขโมยอาจจะถูกคนพบเห็นได้ง่ายเช่นเดียวกัน

นางได้ป้ายเข้าออกดินแดนลึกลับลั่วเซียนมาสี่ชิ้นตั้งนานแล้ว เช่นนี้ไม่ว่าจะต่อสู้อย่างไรพอถึงเวลาตนเองก็สามารถออกจากดินแดนลึกลับลั่วเซียนได้

สุดท้ายบนไหล่เขาที่มีทุ่งดอกไม้ป่าเปิดโล่งแห่งหนึ่ง จินเฟยเหยาก็ถูกไป๋เจี่ยนจู๋ปิดทางหนีได้ในที่สุด

ครั้งนี้ไป๋เจี่ยนจู๋หาตัวจินเฟยเหยาพบ หยิบไผ่เขียวขึ้นมาหวดทีหนึ่งโดยไม่เอ่ยอะไร ไผ่สีเขียวปลอดปล่อยแสงสีเขียวสายแล้วสายเล่าราวกับคมมีดขนาดยักษ์ตัดทุกสิ่งทุกอย่างบนไหล่เขา เขาไม่กล้าและไม่ยอมให้จินเฟยเหยาเอ่ยวาจา ผู้ใดจะรู้ว่ายายนี่จะฉวยโอกาสใช้กระบวนท่าชั่วร้ายอะไรอีก วิธีที่ดีที่สุดคือสังหารนางให้ตายก่อน โลกนี้จะได้มีคนชั่วลดลง

ส่วนจินเฟยเหยากลิ้งตัวอยู่ระหว่างคมมีดและกระโดดหลบเหมือนตัวหมัด เห็นนางหลบอย่างลื่นไหลไป๋เจี่ยนจู๋ก็สั่นไผ่เขียว ใบไผ่บนไผ่เขียวทยอยกันร่วงหล่น ใบไผ่ที่เห็นได้ชัดว่ามีเพียงเจ็ดแปดใบพอสั่นเช่นนี้กลับร่วงลงมามากกว่าร้อยใบ

ใบไผ่กองเล็กนี้ แสงสีเขียวกระพริบวาบ พุ่งเข้าใส่จินเฟยเหยาดุจลูกธนูอันแหลมคม ไม่ว่านางจะหนีอย่างไร หลบอย่างไร ใบไผ่เหล่านี้ก็ไล่ตามหลังนางมาเหมือนวิญญาณอาฆาตที่ไม่ไปผุดไปเกิด  สลัดอย่างไรก็สลัดไม่หลุด

“ไสหัวไป ข้าไม่แสดงอานุภาพก็เห็นข้าเป็นแมวป่วยหรือ”

จินเฟยเหยาถูกไล่ตามจนหงุดหงิด หลายวันนี้ถูกไล่ตามจนความคับข้องใจระเบิดออกมาคำรามลั่น ไฟนรกสีฟ้าพลันปรากฏขึ้น เพราะได้รับผลกระทบจากโทสะของนางจึงพวยพุ่งขึ้นสูงสิบกว่าจั้ง ไฟนรกพุ่งทะยานอย่างรุนแรงปลดปล่อยพลังกดดันมหาศาลออกมา

น้ำแข็งนรกสูงสองสามจั้งยืดขยายออกไปจากพื้นที่รอบกายนาง สกัดกั้นแสงสีเขียวของไป๋เจี่ยนจู๋ที่โจมตีมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งสองฝ่ายปะทะกันเสียงดังสนั่น ห้วงอากาศรอบด้านเกิดการกระเพื่อมไม่หยุด เศษน้ำแข็งกระเด็นไปทั่ว

ส่วนไฟนรกที่ลุกไหม้อย่างรุนแรง พ่นฟองแสงนรกจำนวนนับไม่ถ้วนออกมาลอยไปทั่วทั้งไหล่เขา ฟองแสงนรกหมุนไม่กี่รอบก็แบ่งออกมาส่วนหนึ่งพุ่งเข้าใส่ใบไผ่เขียว เมื่อครู่ใบไผ่ไล่ตามจินเฟยเหยาไปทั่ว ตอนนี้ฟองแสงนรกก็ไล่ตามใบไผ่ไปทั่วเช่นกัน

หลังจากไฟนรกพ่นฟองแสงนรกออกมา ไฟนรกทั้งหมดหดก็กลับไปในตัวจินเฟยเหยา จินเฟยเหยาซึ่งกลายเป็นมนุษย์เพลิงกระโดดขึ้นกลางอากาศต่อยไป๋เจี่ยนจู๋ที่เหยียบหมื่นลูกข่างยืนอยู่กลางอากาศหนึ่งหมัด

ไฟนรกที่หยาบหนาราวกับโอ่งน้ำเหมือนมีอานุภาพบดขยี้ไม้ไผ่[2] คำรามอย่างเดือดดาลพลางพุ่งเข้าใส่ไป๋เจี่ยนจู๋ ท่วงท่าน่าตกตะลึง กลิ่นอายของการเข่นฆ่าพุ่งเข้ามาปะทะหน้า

ม่านตาของไป๋เจี่ยนจู๋พลันหดวูบ หมื่นลูกข่างใต้เท้าเปล่งแสงสีเขียวเจิดจ้า มังกรแสงสีเขียวตัวหนึ่งบินออกมาจากหมื่นลูกข่างอ้าปากกว้างพุ่งเข้าหาไฟนรกที่บินมา มังกรแสงสีเขียวมีขนาดใหญ่กว่าไฟนรกสองเท่า ทั้งสองฝ่ายผสมปราณวิญญาณแห่งฟ้าดินทำให้นกและสัตว์จำนวนนับไม่ถ้วนแตกตื่นหนีตาย มีเสียงมังกรคำรามดังมาจากท้องนภา สุดท้ายปะทะกันอย่างรุนแรง

พริบตา ฟ้าดินเปลี่ยนสี แสงสดใสหมื่นจั้งสาดพุ่งออกไปรอบทิศ คลื่นกระแทกแผ่กระจายออก ดอกไม้และต้นไม้ภายในรัศมีร้อยหลี่ทั้งหมดถูกทำลายทันที ภายใต้การคุ้มครองของไฟนรกจินเฟยเหยาไม่บาดเจ็บเลยสักนิด ไป๋เจี่ยนจู๋ที่เหยียบบนหมื่นลูกข่างตลอดร่างมีแสงสีเขียวล่องลอยก็ต้านทานคลื่นกระแทกที่มีพลังแข็งแกร่งนี้ได้

สู้กันรอบหนึ่ง ทั้งสองคนต่างใช้พลังวิญญาณไปมากกว่าครึ่ง เห็นมังกรเขียวในหมื่นลูกข่างไม่อาจกำราบไฟนรกของจินเฟยเหยาได้ แค่สู้เสมอกัน ไป๋เจี่ยนจู๋ก็พึมพำร่ายคาถา โยนไผ่เขียวในมือลงปักในพื้นดิน

“หมื่นป่าไผ่”

เห็นบนพื้นดินมีเนินดินขนาดใหญ่สิบกว่าเนินผุดขึ้นมาอย่างกะทันหัน จากนั้นไผ่เขียวขนาดหยาบเท่าโอ่งน้ำสิบกว่าต้นก็ทะลุเนินดินออกมา เติบโตถึงสิบกว่าจั้งอย่างรวดเร็วพุ่งทะลุชั้นเมฆ จากนั้นไผ่ยักษ์เหล่านี้ก็ส่ายไปมาโจมตีใส่ตำแหน่งที่จินเฟยเหยายืนอยู่ราวกับพายุฝนกระหน่ำ การโจมตีแต่ละครั้งบนพื้นดินจะปรากฏรอยไผ่ลึกสายหนึ่ง

การโจมตีของไผ่ยักษ์เหล่านั้นหนาแน่นดุจสายฝน ความเร็วก็รวดเร็ว ลำไผ่ขนาดยักษ์เห็นเพียงเงาตกค้าง ไผ่ยักษ์แถวนี้ดุจคลื่นทะเลสีเขียวกระหน่ำมาระลอกแล้วระลอกเล่า ส่วนไฟนรกสีฟ้าที่จินเฟยเหยาพกพาถูกคลื่นทะเลสีเขียวนี้กลืนกินจนสิ้น มองไม่เห็นสีฟ้าใดๆ ในทะเลสีเขียว

ถึงแม้จะมองไม่เห็นร่างทว่าการรับรู้ของไป๋เจี่ยนจู๋กลับบ่งบอกเขาอย่างชัดเจนว่าจินเฟยเหยายังมีชีวิตอยู่ในทะเลสีเขียว เพียงแต่การรับรู้และพลังวิญญาณอ่อนจางลง ยืนหยัดอยู่ได้ไม่นาน  เพียงแต่ในช่วงเวลาที่สำคัญนี้ไม่อาจให้หมื่นป่าไผ่หยุดลง เขากัดฟันถ่ายเทพลังวิญญาณลงไปใช้พลังวิญญาณมหาศาลรักษาหมื่นป่าไผ่เอาไว้

การรับรู้ของจินเฟยเหยาในทะเลสีเขียวยิ่งมายิ่งเล็กลง พลังวิญญาณยิ่งมายิ่งอ่อนจาง ในขณะที่ในใจไป๋เจี่ยนจู๋รู้สึกยินดีไฟนรกก็พุ่งออกมาจากทะเลสีเขียว จินเฟยเหยาร้องคำรามและปรากฏกายขึ้นกลางไฟนรก นางมีโทสะแล้วทั้งยังเดือดดาลอย่างยิ่ง อัดพลังวิญญาณทั่วร่างลงในไฟนรกแล้วเผาทำลายไผ่ยักษ์กว่าครึ่งในคราวเดียว

ภายใต้เสียงร้องคำรามของนางไฟนรกโจมตีกลับ ทะเลไฟนรกสีฟ้าและทะเลไผ่สีเขียวผสมเข้าด้วยกัน พยายามกลืนกินอีกฝ่าย

ส่วนจินเฟยเหยากลับปรากฏตัวขึ้นเบื้องหน้าไป๋เจี่ยนจู๋อย่างกะทันหัน ยกหมัดต่อยไปอย่างแรง