บทที่ 78 บุรุษที่อับอายจนกลายเป็นโทสะ

คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย

“ให้เจ้า” ไป๋เจี่ยนจู๋หยิบขวดหยกใบหนึ่งออกมาโยนให้อย่างรังเกียจ ผู้บำเพ็ญเซียนสตรีไม่ได้รับขวดหยกที่ร่วงลงในพุ่มไม้เบื้องหน้า

นางหยิบขวดหยกขึ้น มองไป๋เจี่ยนจู๋อย่างไม่ได้รับความเป็นธรรม “สหายเซียน…”

ถึงแม้ท่าทางของนางจะทำให้คนสงสาร ทว่าน้ำเสียงกลับระคายหูทำลายความสุนทรีอย่างร้ายแรง ทว่าไป๋เจี่ยนจู๋ยิ่งรังเกียจสตรีเช่นนี้ เนื่องจากปกติสตรีที่ปฏิบัติต่อเขาเช่นนี้เพื่อจะได้รับความรู้สึกดีๆ จากเขามีมากมายเกินไป มากจนเขาเห็นอยู่ทั่วไป

ไป๋เจี่ยนจู๋ไม่สนใจสตรีที่ทำให้ผู้อื่นรังเกียจเช่นนี้ เหินร่างแทรกซอนเข้าไปในป่าทึบ พริบตาก็หายไปไม่เหลือร่องรอย ส่วนผู้บำเพ็ญเซียนสตรีคนนั้นเทยาเม็ดหนึ่งออกมาจากขวดหยก พอมองดูถึงกับเป็นยากลีบดอกไม้ขั้นสอง

นางกินยาเม็ดนี้ลงไปด้วยความดีใจเกินคาด ใบหน้าแดงก่ำเอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบต่ำ “เป็นคนดีจริงๆ เพียงแต่ไม่รู้ว่าเป็นศิษย์สำนักใด ไม่เช่นนั้นกลับไปจะขอร้องให้อาจารย์ไปขอแต่งงาน”

ถึงแม้ไป๋เจี่ยนจู๋จะไล่ตามจินเฟยเหยาไปแล้ว ทว่ากลับไม่คลายความตื่นตัวง่ายๆ ถึงตัวจะจากไปแล้วการรับรู้กลับยังแอบดูความเคลื่อนไหวทางด้านนี้อยู่เงียบๆ หลังจากได้ยินผู้บำเพ็ญเซียนสตรีคนนี้ใบหน้าแดงก่ำเอ่ยคำพูดเหล่านี้ออกมา เขาก็รีบเก็บการรับรู้ออกจากตรงนี้ แล้วตั้งใจมุ่งไปข้างหน้าค้นหาจินเฟยเฟยที่หลบหนีไป

หลังจากผู้บำเพ็ญเซียนสตรีคนนั้นเอ่ยคำพูดเหล่านี้แล้ว หลับตานั่งเข้าฌานดูดซับฤทธิ์ยาอยู่ที่เดิม ผ่านไปครู่หนึ่งจึงปลดปล่อยการรับรู้ออกมาตรวจสอบรอบด้าน เมื่อมั่นใจว่าไป๋เจี่ยนจู๋จากไปแล้วจึงลืมตาแล้วเอ่ยยิ้มๆ “ถึงจะเป็นคนดี แต่น่าเสียดายที่โง่เขลาเกินไป”

นางพลิกตัวจากพุ่มไม้ที่ทับไว้ใต้ร่าง ค้นเสื้อผ้าที่ห่อรวมกันไว้อย่างลวกๆ ออกมา สวมเสื้อผ้า สะพายกระเป่าเก็บของใหม่อีกครั้ง เกล้าผมตามสบาย ถ้าไม่เห็นใบหน้า ไป๋เจี่ยนจู๋ต้องจำคนผู้นี้ได้แน่ว่าเป็นจินเฟยเหยา?

เห็นบนใบหน้าของนางมีพลังวิญญาณลอยออกมาชั้นหนึ่ง ใบหน้าที่บอบบางงดงามพลันเปลี่ยนไปกลายเป็นใบหน้าของสตรีแปลกหน้า หางตามีรอยย่นนิดๆ ริมฝีปากหนา ดวงตาดอกท้อยั่วยวนคน เปลี่ยนเป็นสตรียั่วสวาทที่เติบโตเต็มที่แล้วคนหนึ่งโดยสมบูรณ์

“เป็นคนที่หลอกง่ายจริงๆ โชคดีที่ได้ตำราเวทซ่อนฆ่าเล่มนี้ของซานเชียนจื่อ หากไม่มีเวทแปลงโฉมคงต้องตายอยู่ที่นี่” คนผู้นี้คือจินเฟยเหยา คิดไม่ถึงว่านางจะขวัญกล้าถึงขั้นนี้ ใช้เวทแปลงโฉมเปลี่ยนใบหน้า และทุบตีตนเองหลายหมัด ทั้งยังลงมือกับลำคอของตนเองอย่างอำมหิตเพียงเพื่อทำให้เสียงแหบ

โชคดีที่นางใช้แรงปานกลาง ไม่เช่นนั้นฟาดฝ่ามือนี้ลงไปทำกระดูกคอของตนเองแตก คงตายอย่างไม่เป็นธรรมจริงๆ

นึกถึงว่ายังหลอกเอายากลีบดอกไม้เม็ดหนึ่งจากมือของไป๋เจี่ยนจู๋ได้ นางก็เบิกบานจนอยากหัวเราะ นางฉวยโอกาสที่ไป๋เจี่ยนจู๋ยังไม่พบเห็น แอบหนีออกจากป่าเงียบๆ หยิบยันต์ที่เหมือนสมบัติล้ำค่าออกมาจากกระเป๋าเก็บของตบลงบนร่าง ร่างทั้งร่างก็หายไปท่ามกลางพื้นที่รกร้างแม้แต่ปราณวิญญาณก็หายไปอย่างเกลี้ยงเกลา

นางใช้เงินไปมหาศาลและใช้เวลาหลายปี จึงทำยันต์ซ่อนกายออกมาได้อย่างยากลำบาก รวมทั้งหมดมีเพียงสี่ใบ ถึงแม้ยันต์ซ่อนกายจะไม่สามารถซ่อนตัวจากผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานได้สมบูรณ์ ทว่าก็ต้องอยู่ในสถานที่เฉพาะ มีขนาดเล็ก สภาพการณ์ไม่ซับซ้อนจึงสามารถพบเห็นการบิดเบี้ยวของห้วงอากาศ

ตอนนี้อยู่ในดินแดนลั่วเซียนที่สถานการณ์ซับซ้อน รอบด้านมีทั้งลมและต้นไม้ ใครจะสังเกตเห็นการบิดเบี้ยวนิดๆ ของห้วงอากาศ

จินเฟยเหยาเชื่อว่าต่อให้ไป๋เจี่ยนจู๋ยืนอยู่ห่างออกไปร้อยจั้งก็เป็นไปไม่ได้ที่จะพบเห็นตนเอง นางสุ่มหาทิศทางหนึ่งแปะยันต์เดินทางที่ขา ทั้งยังเพิ่มพลังวิญญาณให้ตนเอง เริ่มออกเดินส่ายอาดๆ แล้ววิ่งออกไป

เห็นในพุ่มไม้บนพื้นที่รกร้างราวกับถูกลมพัด จินเฟยเหยาวิ่งไปราวกับเหินบิน ยันต์ซ่อนกายคงอยู่ได้เพียงหนึ่งชั่วยาม นางมียันต์ซ่อนกายรวมทั้งหมดเพียงสี่ใบ ภายใต้สภาพการณ์ที่ไม่มีของวิเศษบินได้นางต้องหนีไปถึงสถานที่ปลอดภัย

จินเฟยเหยายิ่งคิดก็ยิ่งสำนึกเสียใจ รู้แต่แรกน่าจะตัดใจซื้ออาวุธเวทบินได้สักชิ้นก่อนสร้างฐาน ตอนแรกคิดว่าหลังสร้างฐาน มีเวลาว่างมาก ถึงตอนนั้นค่อยหาวัสดุหลอมเองสักชิ้น ตอนนี้จึงรู้ว่าไม่ได้เตรียมของวิเศษไว้ล่วงหน้าจุดจบคือต้องช่วงชิงเวลาบนขอบเหวแห่งความตาย

เพิ่งวิ่งออกมาได้ไม่ไกลพลันได้ยินเสียงดังสนั่น หลังจากผงคลีที่ฟุ้งตลบในป่าผ่านพ้นไปปรากฏพื้นที่ว่างขนาดยักษ์แห่งหนึ่ง ต้นไม้จำนวนนับไม่ถ้วนถูกคนตัดในพริบตากินบริเวณพื้นที่ครึ่งหนึ่งของป่าเต็มๆ พอแสงสีเขียววาบผ่านก็บ่งบอกจินเฟยเหยาอย่างชัดเจนว่าไป๋เจี่ยนจู๋ต้องเป็นผู้ลงมือแน่ เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าเขาจะแข็งแกร่งอย่างยิ่งทำให้คนอดสงสัยไม่ได้ว่าเจ้าหมอนี่เป็นผู้บำเพ็ญเซียนขั้นหลอมรวมปลอมตัวมา

ท่าทางไป๋เจี่ยนจู๋จะรู้ว่าถูกหลอกแล้ว จินเฟยเหยาไหนเลยจะกล้าอยู่ที่นี่อีก กรอกเทพลังวิญญาณลงในเท้าไม่หยุดหลบหนีไปด้วยฝีเท้ารวดเร็วราวกับเหินบิน

ส่วนไป๋เจี่ยนจู๋กำลังยืนอยู่เบื้องหน้าคนหกคน รอบด้านของเขาเป็นต้นไม้ที่เพิ่งล้มลงสดๆ ร้อนๆ มองไม่เห็นขอบเขต คนทั้งหกเบื้องหน้าเขากำลังหดตัวเป็นกลุ่มก้อน มองผู้บำเพ็ญเซียนที่เพิ่งมีพลังบำเพ็ญเพียรขั้นสร้างฐานช่วงต้นอย่างหวาดผวา

คือคนผู้นี้ ขณะที่สอบถามได้ความจากพวกเขาว่า ทั่วทั้งป่านี้มีเพียงคนของพวกเขาสำนักเดียว อีกทั้งในหมู่พวกเขาก็ไม่มีศิษย์น้องสตรี สีหน้าก็เปลี่ยนแปลง พลันถือไผ่เขียวเล็กๆ ในมือขึ้นหวดไปรอบด้าน พลังวิญญาณอันแข็งแกร่งก็พุ่งออกมาอย่างบ้าคลั่งฟันต้นไม้ในรัศมีหลายหลี่ล้มลงในพริบตา อีกทั้งอาวุธเวทของเขาเป็นเพียงไผ่เขียวที่ดูเหมือนเพิ่งหักลงมาทำให้ผู้บำเพ็ญเซียนหกคนที่มาจากแดนไกลเพื่อเข้าดินแดนลึกลับลั่วเซียนโดยเฉพาะหวาดกลัวจนทนไม่ไหวจริงๆ

คนทั้งหกมองเขาอย่างหวาดกลัวไม่รู้ว่าคนผู้นี้ก้าวต่อไปจะสังหารพวกเขาเพื่อคลายโทสะหรือไม่ อีกฝ่ายเพิ่งขั้นสร้างฐานช่วงต้นชัดๆ แม้แต่ในพวกเขาหกคนก็มีคนที่มีพลังการบำเพ็ญเพียรสูงกว่าเขาสี่คน คิดไม่ถึงว่ายามนี้ริมฝีปากจะสั่นสะท้าน เอ่ยคำพูดที่คาดไม่ถึงออกมา “ผู้อาวุโส ละเว้นชีวิตด้วย พวกเราไม่ได้ทำอะไรเลย” เพียงแค่ทอดถอนใจว่าพลังการบำเพ็ญเพียรสูง ความสามารถต่ำ รุ่นเดียวกันกลับเรียกหาเป็นผู้อาวุโส

“สตรีที่น่าตาย คิดไม่ถึงว่าจะกล้าหลอกข้าซึ่งหน้า” ไป๋เจี่ยนจู๋เดือดดาลจนคุมโทสะไม่อยู่ คิดไม่ถึงว่าเขาจะถูกนางหลอก ทั้งยังโง่เง่าให้ยากลีบดอกไม้สองเม็ดแก่นางเพื่อรักษาบาดแผล ไผ่เขียวในมือถูกเขาบีบจนดังกึกๆ เขาโทสะพวยพุ่งบินทะยานขึ้นกลางอากาศ หลังจากนำหมื่นลูกข่างออกมาหยุดอยู่เหนือป่าปลดปล่อยการรับรู้ออกไปรอบด้านราวกับระลอกคลื่น

ครั้งนี้เขาตัดสินใจแล้ว ไม่ว่าสัตว์ปิศาจหรือมนุษย์ แม้แต่มดก็ต้องใช้การรับรู้ตรวจดูอย่างละเอียด ต่อให้ตายฝังอยู่ในดินก็ต้องหาตัวจินเฟยเหยาให้ได้

ส่วนผู้บำเพ็ญเซียนหกคนมองไป๋เจี่ยนจู๋กลางอากาศอย่างหวาดกลัวจนตัวสั่น การรับรู้กวาดมองบนร่างของตนเองรอบแล้วรอบเล่าอย่างต่อเนื่อง แต่กลับไม่ได้ทำอะไรพวกเขาต่อจึงอดสงสัยไม่ได้ นี่หมายความว่าอะไรหรือว่าทุกคนต้องรอแบบนี้?

ไม่ได้รอคอยนานมากนัก ไป๋เจี่ยนจู๋ใช้การรับรู้กวาดมองทั่วทั้งป่าอย่างละเอียดสิบกว่ารอบ นอกจากหกคนนี้ก็ไม่พบคนที่มีพลังวิญญาณคนอื่นๆ อีก เกรงว่าจินเฟยเหยาปลอมตัวเป็นบุรุษซ่อนอยู่ในหกคนนี้ เขาตรวจสอบคนทั้งหกโดยละเอียดอย่างไม่ยินยอมพร้อมใจ สุดท้ายหลังจากมั่นใจว่าคนทั้งหกเป็นบุรุษจริงไม่ใช่จินเฟยเหยาปลอมตัวมา เขาก็หมุนกายจากไปโดยไม่เอ่ยอะไรสักคำและไม่ทิ้งแม้แต่คำอธิบายไว้ให้คนทั้งหก

คนทั้งหกก็ไม่กล้าทวงถามคำอธิบายจากเขา เพียงหวังว่าผู้อาวุโสท่านนี้จะจากไปโดยเร็วอย่าอยู่ที่นี่ทรมานพวกเขาต่อไปเลย เห็นไป๋เจี่ยนจู๋จากไปโดยไม่เอ่ยทักทายก็ยินดีอย่างยิ่งทันที คนทั้งหกจึงแอบหนีไปเพื่อความปลอดภัย

จินเฟยเหยาหนีไปโดยไม่มีป้ายลึกลับไป๋เจี่ยนจู๋จึงหานางไม่พบ แต่อย่างน้อยก็รู้ว่านางเป็นคนของสำนักเฉวียนเซียน ผู้บำเพ็ญเพียรขั้นสร้างฐานของสำนักเฉวียนเซียนมีมากมายปานนั้นคิดจะหาตัวนางออกมาไม่ใช่เรื่องยาก ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงว่าไป๋เจี่ยนจู๋มีการไปมาหาสู่กับผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานจำนวนไม่น้อยในสำนักเฉวียนเซียน เกาะทองคำของสำนักเฉวียนเซียนเขาก็สามารถเข้าออกได้ตามสบาย

“ดูสิว่าเจ้าจะหนีไปที่ใดได้ ถ้าข้าไปทลายรังของเจ้าที่สำนักเฉวียนเซียน” ตลอดร่างของไป๋เจี่ยนจู๋แผ่กลิ่นอายเย็นเยียบ เอ่ยอย่างเคียดแค้น

ถึงจะบอกว่าจะไปจับนางที่สำนักเฉวียนเซียน ทว่าอาศัยความสัมพันธ์ของสำนักเฉวียนเซียนกับหอชิงซวี คิดจะสังหารผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานคนหนึ่งให้ตายในสำนักเฉวียนเซียนก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ถ้ามีเหตุผลรองรับยังพอไหว อาศัยตำแหน่งของตนเองในหอชิงซวี ขอเพียงอาจารย์ออกหน้าให้ สั่งให้ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานเล็กๆ คนหนึ่งตายก็สามารถทำได้

เพียงแต่สิ่งที่ไป๋เจี่ยนจู๋ปวดศีรษะคือเขาบอกเหตุผลออกมาไม่ได้จริงๆ ถ้าเรื่องนี้แพร่ออกไปตนเองคงไม่มีหน้าอยู่ในสำนักชิงซวี ไม่ถูกสิ อาจจะไม่มีหน้าอยู่ในโลกหนานซานแล้ว ถ้าไม่มีเหตุผลอันชอบธรรม ตลอดมาอาจารย์ไม่อนุญาตให้ศิษย์ในหอทำผิดกฎเรื่องปล้นฆ่าสังหารหมู่ ย่อมต้องไม่ช่วยขอคนให้ตนเองแน่

คิดไปคิดมา ไป๋เจี่ยนจู๋รู้สึกว่าทางที่ดีกำจัดจินเฟยเหยาในดินแดนลึกลับลั่วเซียนเป็นเรื่องที่สามารถทำได้ ผู้บำเพ็ญเซียนในดินแดนลึกลับลั่วเซียนมีมากมาย จินเฟยเหยาไม่สามารถซ่อนตัวได้ตลอดเวลาต้องถูกผู้บำเพ็ญเซียนพบเห็นแน่ หลังจากคาดเดาเช่นนี้ไป๋เจี่ยนจู๋จึงเริ่มตรวจสอบแบบปูพรม ขอเพียงสถานที่ใดมีผู้บำเพ็ญเซียนเขาจะเข้าไปสอบถามข่าวคราวของจินเฟยเหยา ช่างยึดมั่นและพยายามจริงๆ

ส่วนจินเฟยเหยาไม่ได้คิดมากขนาดนั้น ใช้ยันต์ซ่อนกายสามใบหนีมาสามชั่วยาม วิ่งมาได้ไกลมากแล้ว หลังจากเชื่อว่าเป็นไปไม่ได้ที่ไป๋เจี่ยนจู๋จะสุ่มเลือกทิศทางตามหาตนเองพบได้ นางใช้เพียงเวทแปลงโฉมเปลี่ยนแปลงใบหน้า แล้วใช้ร่างจริงเร่งรุดเดินทาง

เมื่อใช้เวทแปลงโฉมมากๆ เข้า จินเฟยเหยาจึงพบว่าสิ้นเปลืองพลังวิญญาณมหาศาล เกรงว่าถ้าต่อสู้ขึ้นมาสุดท้ายจะสิ้นชีวิตเพราะขาดแคลนพลังวิญญาณ เช่นนั้นคงขาดทุนย่อยยับ นางจึงเก็บเวทแปลงโฉมตอนไม่จำเป็นก็ไม่ใช้

ตอนจำเป็นที่นางเอ่ยถึงคือ ตอนฉวยโอกาสขโมยของผู้อื่น

จินเฟยเหยาไม่มีป้ายลึกลับ เรื่องที่ต้องทำก่อนอื่นคือเอาป้ายลึกลับมา ทว่าผู้บำเพ็ญเซียนในดินแดนลึกลับลั่วเซียน ล้วนอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม คิดจะลงมือกับคนที่อยู่โดดเดี่ยวไม่ง่ายนัก อย่างไรเสียยังมีเวลา นางไม่รีบหาป้ายลึกลับทว่าเริ่มเก็บหญ้าวิญญาณและฆ่าสัตว์ปิศาจที่พบระหว่างทาง

รอจนผ่านไปยี่สิบวัน เหลือเพียงหกเจ็ดวันดินแดนลึกลับลั่วเซียนก็จะเปิดออก ตอนส่งตัวทุกคนออกไป ชั่วขณะบรรดาผู้บำเพ็ญเซียนที่สงบนิ่งก็เริ่มก่อความไม่สงบ เรื่องปล้นชิงฆ่าฟันจากที่มีเป็นบางครั้งบางคราวกลับมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น สุดท้ายกลายเป็นทุกคนพร้อมใจกันกระทำการปล้นชิง

แน่นอนว่า ทุกคนรักษากฎข้อหนึ่งอย่างเงียบๆ นั่นคือไม่ปล้นชิงคนของหอชิงซวี คนเหล่านั้นมีกฎสำนักไม่กระทำเรื่องฆ่าคนปล้นของ ดังนั้นเพียงระวังป้องกันก็พอ ถ้ากล้าปล้นชิงสิ่งของของพวกวิปริตที่มีคุณสมบัติสูงส่งในสำนักชิงซวีเหล่านั้นก็คือล่วงเกินผู้ที่แข็งแกร่งอย่างร้ายแรง เบื่อหน่ายในการมีชีวิตสืบไป