บทที่ 77 ฉูฉู่ผู้น่าสงสาร

คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย

“เจ้าว่าข้าคิดเล็กคิดน้อย?” ไป๋เจี่ยนจู๋มองจินเฟยเหยา ตั้งแต่เขาถือกำเนิดมาจนถึงตอนนี้นี่เป็นครั้งแรกที่ได้ยินคนด่าทอเขาเช่นนี้ เมื่อก่อนก็เคยมีผู้บำเพ็ญเซียนคนอื่นๆ ด่าทอเขา แต่ก็แค่ด่าเขาว่ายุ่งไม่เข้าเรื่อง หาที่ตายอะไรแบบนั้น ไม่เคยได้ยินคนด่าทอว่าเขาใจแคบ

จินเฟยเหยาตัดสินใจแสดงท่วงท่ากดดันเขา เชิดหน้าเท้าเอวเอ่ยเหมือนตนเองมีเหตุผลเต็มที่ “แน่นอน ตอนข้าเห็นเจ้า เจ้าแตกต่างอะไรกับคนที่ตายไปแล้ว ข้าเพียงแค่หยิบสิ่งของเล็กน้อยติดมือมา นี่เป็นเรื่องปกติมิใช่หรือ? ต่อให้เจ้าคิดจะเอาสิ่งของคืน จำเป็นต้องออกคำสั่งล่าสังหารข้าด้วยหรือ? ทั้งยังจับตายไม่จับเป็น มีแต่เจ้าที่ใจแคบขนาดนี้ ว่าไปแล้ว ด้านในมีแค่ยาสร้างฐานสองเม็ดที่พอมีราคาอยู่บ้าง ถ้าเป็นคนอื่นข้ายังอยากจะแจ้งบอก แต่เจ้าทำถึงขนาดนี้ไม่ได้”

“เพราะเหตุใด?”

“เพราะเหตุใด? คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะถามเช่นนี้ออกมา หรือเจ้าไม่รู้ว่าชื่อเสียงของเจ้าในเมืองลั่วเซียนดีงามเพียงใด ผู้บำเพ็ญเซียนสตรีเห็นเจ้าเป็นคนในฝัน ผู้บำเพ็ญเซียนบุรุษล้วนบอกว่าเจ้าเป็นวิญญูชนอันเที่ยงธรรม เป็นบุรุษที่สมบูรณ์แบบ ด้วยชื่อเสียงอันดีงามของเจ้า ตอนนี้กลับจะสังหารคนระบายโทสะเพื่อยาสร้างฐานสองเม็ดที่ถูกคนหยิบไปโดยไม่ตั้งใจ ใจร้ายเกินไปแล้ว” จินเฟยเหยามองเขาด้วยสีหน้าไม่อยากจะเชื่อ ราวกับสิ่งที่เขาถามเป็นเรื่องแปลกประหลาด

ได้ยินคำพูดของนาง ไป๋เจี่ยนจู๋ก็รู้สึกคับแค้นใจ สูดลมหายใจลึกๆ แล้วเอ่ย “ข้าไม่ได้ทำเพื่อยาสร้างฐาน”

“เช่นนั้นเจ้าทำเพื่ออะไรจึงต้องเข่นฆ่าข้าจนถึงที่สุด?” จินเฟยเหยาพยายามถ่วงเวลา แอบขับเคลื่อนเวทหนีไฟนรกเงียบๆ บนร่างนางมีบาดแผล ไม่อยากจะต่อสู้กับไป๋เจี่ยนจู๋อย่างยิ่ง

ไป๋เจี่ยนจู๋ขมวดคิ้วนิดๆ ยายนี่จะเสแสร้งไปถึงเมื่อใด หรือว่าต้องให้ข้าพูดจากปากเองว่าเพราะนางลูบคลำก้นข้าทั้งยังหัวเราะเยาะข้าดังนั้นข้าจึงต้องฆ่าเจ้า? เขาไม่เข้าใจจริงๆ ว่าเหตุใดในโลกนี้จึงมีสตรีที่ไร้ยางอายเช่นนี้ ต้องให้เขาพูดออกมาด้วยหรือ?

เขาอยากจะฉุดดึงจินเฟยเหยามา แล้วตะโกนเสียงดังใส่หูนางว่า เจ้าหยามเกียรติบุรุษ ดังนั้นจึงต้องใช้ชีวิตเจ้ามาล้างอาย แต่สติก็เตือนเขาอยู่ตลอดเวลาว่าอย่าทำเรื่องเช่นนี้เด็ดขาด ความบริสุทธิ์ที่ทำมาชั่วชีวิตจะหมดไป เขาได้แต่สะกดกลั้นโทสะเต็มท้อง เค้นประโยคหนึ่งลอดไรฟันออกมา “เจ้าจำไม่ได้จริงๆ?”

“เจ้าอย่ารีบร้อน ขอข้าคิดดูก่อน” เห็นใบหน้าของเขาดุร้ายขึ้นอย่างกะทันหัน จินเฟยเหยากลืนน้ำลาย รีบโบกมือเอ่ยตอบอย่างตึงเครียด

“ข้านึกออกแล้ว” จินเฟยเหยาพลันปรบมือ เอ่ยอย่างตื่นเต้น “สหายเซียนไป๋ ต้องเป็นเพราะข้าใช้ก้อนหินเล็กๆ ขว้างเจ้าแน่ เจ้าไม่ต้องมีโทสะถึงปานนั้น เอาแบบนี้ ข้าจะให้เจ้าขว้างหินก้อนเล็กๆ สองที จากนั้นคืนสิ่งของให้เจ้า เพียงแต่ข้าไม่มียาสร้างฐาน ข้าจะคืนเป็นศิลาวิญญาณให้เจ้านะ อย่างไรเสียเจ้าก็สร้างฐานแล้ว ไม่จำเป็นต้องใช้ยาสร้างฐาน เปลี่ยนเป็นศิลาวิญญาณจะสะดวกกว่า เจ้าเห็นว่าข้อเสนอของข้าเป็นอย่างไรบ้าง?”

เพิ่งสิ้นเสียงนาง ก็เห็นไผ่เขียวในมือของไป๋เจี่ยนจู๋หวดมายังนางทันที ปราณวิญญาณสีเขียวอันแหลมคมฟาดฟันมา จินเฟยเหยารีบรวมพลังวิญญาณไว้ตรงเท้าหลบไปด้านข้าง หลีกเลี่ยงการโจมตีที่ไผ่เขียวหวดออกมา

ทว่ารอจนจินเฟยเหยาเอียงศีรษะไปมองก็หวาดกลัวแทบตาย สถานที่ซึ่งแสงสีขาวปาดผ่านพื้นดินถูกฟันเป็นสองส่วน ร่องลึกหลายจั้งสายหนึ่งปรากฏขึ้นเบื้องหน้านาง นางตกตะลึง การโจมตีนี้แหลมคมเกินไปไม่มีกระบวนท่าอันงดงาม ไม่ต้องใช้เวลาเตรียมตัวนานแค่ฟาดเบาๆ ทีเดียว กลับมีความแข็งแกร่งเหนือกว่าผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานช่วงต้นคนหนึ่งพึงมีอย่างลิบลับ

ไป๋เจี่ยนจู๋เดือดดาลจนถึงขีดสุด กลับคืนสู่ท่าทางเย็นชาในอดีต หลังจากโจมตีเบาๆ ขู่ขวัญจินเฟยเหยา เขาก็เอ่ยอย่างเย็นชา “ตอนนี้น่าจะนึกออกแล้วสินะ”

“เอ๋ เจ้าเป็นใคร?” จินเฟยเหยาพลันชี้ไปด้านหลังไป๋เจี่ยนจู๋ ร้องตะโกนด้วยสีหน้าหวาดกลัว

ไป๋เจี่ยนจู๋ตกตะลึงอดหันไปมองด้านหลังไม่ได้ กลับพบว่าด้านหลังไม่มีใครสักคน ด้านหลังได้ยินเสียงวัตถุแหวกอากาศมา เขาใช้ไผ่เขียวในมือหวดไปด้านหลังโดยไม่มองดูเลยสักนิด แสงสีเขียวอันอหังการบินออกไปอีกครั้ง

“คิดไม่ถึงว่าจะใช้อาวุธลับลอบโจมตีข้า รนหาที่ตาย” ไป๋เจี่ยนจู๋หมุนตัวมาเอ่ยอย่างดูแคลน กลับพบว่าตลอดร่างจินเฟยเหยากลายเป็นเปลวเพลิงสีฟ้า ป้ายลึกลับชิ้นหนึ่งตกอยู่บนพื้น ที่แท้นางใช้ป้ายลึกลับที่นำมาจากไป๋เจี่ยนจู๋ขว้างมาเป็นอาวุธลับ

ในดวงตาของไป๋เจี่ยนจู๋ปรากฏไอสังหารหวดไผ่เขียวในมืออีกครั้ง จินเฟยเหยาบินขึ้นไปกลางอากาศ กลายร่างเป็นแสงสีฟ้าลากเป็นทางยาวหลบหนีไปไกลสิบ

ไป๋เจี่ยนจู๋ใช้มือดูดป้ายลึกลับบนพื้นขึ้นมา แล้วเหยียบบนหมื่นลูกข่างไล่ตามไป แสงสองสายหนึ่งเขียวหนึ่งฟ้าไล่กวดกันกลางอากาศอย่างรวดเร็ว เร็วจนทำให้คนปากอ้าตาค้าง

จินเฟยเหยาสามารถควบคุมทิศทางของเวทหนีไฟนรกได้แล้ว ที่สำคัญคือสามารถควบคุมไฟนรกไม่ให้เผาเสื้อผ้าของตนเองจนเกลี้ยงอีก หันไปมองดูด้านหลังพบว่าไป๋เจี่ยนจู่ยังไล่กวดมาไม่ยอมเลิกรา อดด่าทอไม่ได้ “ทำอะไรน่ะ ยังไล่ตามมาอีก เจ้าวิญญาณอาฆาตที่ไม่ไปผุดไปเกิดเอ๊ย”

นี่นับว่านางโชคดี หมื่นลูกข่างของไป๋เจี่ยนจู่ไม่ใช่ของวิเศษที่ใช้สำหรับบินโดยเฉพาะ ดังนั้นระยะห่างระหว่างคนทั้งสองจึงไกลกันมาก ถ้าย่นระยะห่างเข้ามาใกล้ได้อาศัยไผ่เขียวที่ผ่าฟ้าทลายพิภพของไป๋เจี่ยนจู๋หวดเบาๆ แค่ทีเดียวก็สามารถสังหารนางที่อยู่กลางอากาศได้อย่างง่ายดาย

จินเฟยเหยาหนีพลางครุ่นคิดอย่างไม่เข้าใจ ตามเหตุผลแล้วตนเองน่าจะถือว่าเป็นบุคคลที่ร้ายกาจกว่าผู้บำเพ็ญเซียนที่อยู่ในขั้นเดียวกัน เหตุใดจึงถูกคนไล่ตามไปมาทั้งวันเมื่อใดจึงจะถึงตาตนเองแสดงอานุภาพไปไล่ตามผู้อื่นบ้าง

ในเวลาแบบนี้นางยังคิดเพ้อเจ้อได้ ไป๋เจี่ยนจู๋ที่ด้านหลังหมดความอดทนเพราะเวลาผ่านไปนานยังย่นระยะทางเข้ามาใกล้ไม่ได้ เห็นเขานำเสื้อคลุมสีเทาไม่สะดุดตาออกมาคลุมบนร่างลมหมุนก็พุ่งทะยานทันที คนหายวับไปจากที่เดิมปรากฏตัวขึ้นห่างออกไปหลายร้อยจั้ง

เขาไล่ตามพลางเคลื่อนไหวในพริบตาเช่นนี้ คิดไม่ถึงว่าจะค่อยๆ ย่นระยะห่างระหว่างคนทั้งสองเข้ามา จินเฟยเหยาเห็นเขาค่อยๆ เข้ามาใกล้นานแล้ว ทว่าจนหนทาง อาการบาดเจ็บของนางยังไม่หายดี ไม่สามารถใช้เวทหนีไฟนรกอย่างสุดกำลังได้ ความเร็วในตอนนี้ถึงขีดจำกัดสูงสุดของร่างกายนางแล้ว

จินเฟยเหยาเงยหน้าค้นหาไปรอบด้านคิดจะหาสถานที่แห่งหนึ่งสลัดหลุด พลันพบว่าเบื้องหน้ามีป่าผืนหนึ่ง อีกทั้งใช้การรับรู้ตรวจสอบดูพบว่าด้านในมีผู้บำเพ็ญเซียนหลายคน ในใจคิดแผนการได้ทันที นางรีบเร่งความเร็วบินไปยังป่าลึกผืนนั้น จากนั้นนางพุ่งหัวปักเข้าไปเนื่องจากไม่ได้ลดความเร็วจึงเห็นต้นไม้แถบหนึ่งถูกชนล้มเกิดผงคลีตลบ

ผืนป่ากว้างขวางอย่างยิ่ง ผู้บำเพ็ญเซียนที่ค้นหาหญ้าวิญญาณหรือสัตว์ปิศาจในนั้นล้วนได้ยินเสียงดังสนั่นนี้ ทั้งหมดอดหยุดเคลื่อนไหวไม่ได้ เพื่อความปลอดภัยล้วนไปรวมพลตรงสถานที่ซึ่งนัดหมายกันไว้

ในไม่ช้าไป๋เจี่ยนจู๋ก็บินตามมาถึงเหนือป่าผืนนี้ เขาบินพุ่งลงไปยังสถานที่ซึ่งฝุ่นตลบมากที่สุดโดยไม่ลังเลสักนิด เขายืนอยู่บนพื้นดินที่มีพุ่มไม้แน่นขนัด ปลอดปล่อยการรับรู้กวาดดูป่าทึบผืนนี้ แล้วพบผู้บำเพ็ญเซียนคนหนึ่งในต้นไม้เบื้องหน้าอย่างง่ายดาย

“ฮึ ความสามารถน้อยนิด” ไป๋เจี่ยนจู๋หัวเราะอย่างเย็นชา ยกไผ่เขียวในมือขึ้นเดินไปหาผู้บำเพ็ญเซียนซึ่งอยู่ที่เดิมตลอดคนนั้น

“ช่วยด้วย ศิษย์พี่ พวกเจ้าอยู่ที่ไหน ช่วยด้วย”

เขาเพิ่งเดินไปไม่กี่ก้าว ได้ยินเสียงแหบดังมาจากในป่าคล้ายเสียงสตรีนิดๆ ทว่ากลับเหมือนถูกคนบีบคอไว้ อีกทั้งน้ำเสียงยังดังมาจากทิศทางที่ตนเองเดินไปพอดี ไป๋เจี่ยนจู๋เดินเข้าไปอย่างสงสัย ครู่หนึ่งก็เห็นสตรีผู้หนึ่งกลางกองหญ้า

นั่นเป็นสตรีที่เส้นผมยุ่งเหยิงสวมใส่เอี๊ยมสั้น บนร่างมีรอยฟกช้ำดำเขียว ท่าทางเพิ่งถูกคนทุบตีมา พอดีนอนอยู่ในพงหญ้า เห็นมีคนมานางก็ดิ้นรนลุกขึ้น เผยให้เห็นใบหน้าไม่คุ้นตาทว่ายังถือว่าบอบบางงดงาม

“ศิษย์พี่…อา เจ้าเป็นใคร?” สตรีผู้นี้นึกว่าเป็นศิษย์พี่ของตนเอง ตะโกนเรียกแล้วจึงพบว่าไม่ใช่ กลับเป็นผู้บำเพ็ญเซียนที่ไม่รู้จักคนหนึ่ง ดังนั้นสีหน้าจึงซีดขาวมองเขาด้วยสีหน้าหวาดกลัว

ไปเจี่ยนจู๋เห็นว่าไม่ใช่จินเฟยเหยาจึงเอ่ยอย่างชืดชา “สหายเซียนไม่ต้องกลัว ข้ากำลังตามหาคนผู้หนึ่ง พอดีผ่านมาที่นี่ ไม่ได้มีเจตนาร้าย”

ได้ยินไป๋เจี่ยนจู๋พูดแบบนี้ สตรีผู้นี้พลันตื่นเต้นเอ่ยถามอย่างกังวลใจ “ขอถามสหายเซียน คนที่เจ้าไล่ตามใช่สตรีหน้าตาดุร้ายหรือไม่ บนร่างยังมีเปลวเพลิงสีฟ้าแปลกประหลาด”

“เป็นสตรีผู้นี้จริง สหายเซียนเคยพบเห็น?”

ผู้บำเพ็ญเซียนสตรีคนนี้ใช้มือจิกหญ้าอย่างโกรธเคือง เอ่ยกับไป๋เจี่ยนจู๋อย่างเสียใจ “ข้ากำลังหาหญ้าวิญญาณกับบรรดาศิษย์พี่อยู่ในป่าลึกแห่งนี้ ผู้ใดจะรู้ว่าเมื่อครู่มีเสียงดังเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ข้าเกรงว่าจะมีอันตราย คิดจะไปหาบรรดาศิษย์พี่ของข้า ผู้ใดจะรู้ ผู้บำเพ็ญเซียนสตรีคนหนึ่งจะออกมาจากในป่า นางมีใบหน้าดุร้ายไม่อธิบายอะไรก็ลงมือทุบตีข้า ข้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของนาง หลังจากนางทำร้ายข้าบาดเจ็บก็แย่งชิงกระเป๋าเก็บของของข้าไป ทั้งยังไร้ยางอายแย่งชิงเสื้อผ้าข้าไปด้วย”

“แย่งชิงเสื้อผ้าของเจ้า? หรือคิดจะผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าปลอมตัว หนีรอดจากเงื้อมมือข้า?” ไป๋เจี่ยนจู๋ขมวดคิ้ว เป็นสตรีที่เจ้าเล่ห์จริงๆ

ส่วนผู้บำเพ็ญเซียนสตรีคนนี้เห็นไป๋เจี่ยนจู๋มีสีหน้าเย็นชาและขมวดคิ้ว ก็ใช้มือปิดหน้าอกเอ่ยอย่างขลาดกลัว “สหายเซียนท่านนี้ สิ่งของบนตัวข้าทั้งหมดถูกแย่งชิงไป ไม่มีสิ่งมีค่าใดๆ จริงๆ”

เห็นตนเองทำให้นางตกใจกลัว ไปเจี่ยนจู๋จึงเอ่ย “สหายเซียนไม่ต้องกลัว ข้าไม่มีเจตนาร้าย คนที่แย่งชิงสิ่งของของเจ้าหลบหนีไปทางใด ข้าจะไปตามนางกลับมาเดี๋ยวนี้”

“นางหนีไปทางนั้น” ดวงตาของผู้บำเพ็ญเซียนสตรีมีน้ำตาคลอ เอ่ยพลางชี้ไปยังทิศทางหนึ่ง

ผู้บำเพ็ญเซียนสตรีที่บอบบางงดงามทนความลำบากไม่ไหวเช่นนี้ ไป๋เจี่ยนจู๋พบเห็นมามาก ไม่มีความรู้สึกดีๆ ต่อผู้บำเพ็ญเซียนสตรีที่ไม่รู้ว่าบำเพ็ญเพียรแล้วมีประโยชน์อะไรเหล่านี้ ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงว่าชอบร้องไห้เป็นประจำ ดังนั้นจึงไม่เอ่ยอะไร คิดจะรีบไล่ตามจินเฟยเหยาไป

“ช้าก่อน” เขาเพิ่งก้าวเท้าออกไปก็ถูกผู้บำเพ็ญเซียนที่ร่ำไห้คนนี้เรียกให้หยุด

เขาหยุดแล้วมองผู้บำเพ็ญเซียนสตรี เห็นนางหลบวูบเอ่ยอย่างขัดเขิน “สหายเซียน บรรดาศิษย์พี่ของข้าอยู่แถวนี้ แต่ก่อนที่พวกเขาจะมา ท่านมอบยารักษาบาดแผลให้ข้าหนึ่งเม็ดได้หรือไม่ ข้าถูกนางมารผู้นั้นทุบตีจนภายในบอบช้ำ ตรงหน้าอกรู้สึกอัดอัดและเจ็บปวดยิ่ง ทว่าตอนนี้ในตัวข้าไม่มีอะไรสักอย่าง ถ้าสัตว์ปิศาจปรากฏตัวขึ้นตอนนี้ข้าต้องตายแน่”

เห็นไป๋เจี่ยนจู๋ไม่แสดงท่าทีอะไร นางก็ทำท่าทางน่ารักเอ่ยอย่างน่าสงสาร “ถ้าในตัวสหายเซียนไม่มียา ช่วยพาข้าไปหาศิษย์พี่ได้หรือไม่ พวกเขาพกพายาติดตัว ขอบคุณสหายเซียน พวกศิษย์พี่ของข้าจะต้องขอบคุณท่านอย่างมากแน่”