บทที่ 76 สิ่งของที่ขโมยไปดีหรือไม่?

คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย

สยงเทียนคุนนอนอยู่บนพื้นหญ้าอย่างลำบากสองวัน สองวันที่รักษาบาดแผลขาที่ถูกชกหักก็ประสาน ทว่าบาดแผลอื่นๆ ต้องใช้เวลาหน่อยจึงหายดีทั้งหมด ยามนี้เขากำลังเข้าฌาน ทันใดนั้น เขาก็ลืมตาขึ้นมองเบื้องหน้า มีแสงสีเขียวสายหนึ่งกำลังมาอย่างรวดเร็ว

แสงสีเขียวร่อนลงเบื้องหน้าเขา บุรุษชุดขาวผู้หนึ่งเดินลงมาจากไผ่เขียวหยุดลงเบื้องหน้าเขา บุรุษผู้นั้นมองไปรอบด้าน แล้วกวาดตามองบนร่างของสยงเทียนคุน เอ่ยอย่างชืดชา “สหายเซียนท่านนี้ ข้ากำลังตามหาคน ขอถามหน่อยเจ้าเห็นสตรีผู้หนึ่งผ่านมาที่นี่หรือไม่?”

ไป๋เจี่ยนจู๋อาศัยกลิ่นอายบนป้ายลึกลับที่ตนเองทิ้งไว้หาตำแหน่งของจินเฟยเหยาพบ ทว่าเพราะกลิ่นอายบัดเดี๋ยวมีบัดเดี๋ยวไม่มีจึงหาไม่พบ ตอนผ่านสถานที่นี้เขาสังเกตเห็นว่าที่นี่ก็มีกลิ่นอายของป้ายลึกลับจึงคิดสอบถามคนผู้นี้ดู

สยงเทียนคุนมองคนผู้นี้อย่างตื่นตัว จากเสื้อผ้าบนร่างสามารถมองออกว่าเป็นคนของหอชิงซวีซึ่งเป็นหนึ่งในตำหนักลั่วเซียน ทว่าก็ไม่อาจขจัดความคิดที่ว่าผู้อื่นปลอมตัวเป็นคนของหอชิงซวีให้ผู้บำเพ็ญเซียนคนอื่นๆ คลายความระวังป้องกันแล้วฆ่าคนชิงทรัพย์ หอชิงซวีมีชื่อเสียงดีงามตลอดมาและน่าจะดีที่สุด ถ้าคนของหอชิงซวีทำเรื่องเอาเปรียบผู้อื่นในยามลำบาก เช่นนั้นทั่วทั้งโลกหนานซานคงไม่มีใครดีสักคน เป็นไปได้ว่าอีกฝ่ายเป็นคนของหอชิงซวี ดังนั้นสยงเทียนคุนจึงเอ่ยตอบ “ไม่ทราบว่าคนที่สหายเซียนตามหามีลักษณะอย่างไร”

ไป๋เจี่ยนจู่ครุ่นคิด จากนั้นตอบอย่างหนักแน่น “ไร้ยางอาย ละโมบ ทั้งยังไม่มีศักดิ์ศรี”

สยงเทียนคุนมองเขาอย่างหมดวาจา ได้แต่ส่ายศีรษะ “สหายเซียน สิ่งที่เจ้าเอ่ยมาคือคุณสมบัติภายใน จะมองออกจากภายนอกได้อย่างไร แต่ดูจากที่เจ้าพูดมาน่าจะไม่ใช่ชนชั้นที่ดีอะไร สตรีเช่นนี้ข้าไม่เคยพบมาก่อน”

“อ้อ” ไป๋เจี่ยนจู๋มองสยงเทียนคุนอย่างไม่เชื่อถือ บนร่างคนผู้นี้มีบาดแผล แม้แต่คนตาบอดยังดูออกว่าผ่านการต่อสู้อันดุเดือดมา หรือว่าจะพบกับสตรีไร้ยางอายผู้นั้น

“สหายเซียน อภัยที่ข้าเอ่ยตามตรง ก่อนหน้านี้เจ้าเคยต่อสู้กับคนผู้นี้ที่นี่สินะ คนผู้นี้เป็นสตรีใช่หรือไม่? ไม่ขอปิดบัง ที่นี่มีกลิ่นอายผนึกส่วนหนึ่งของข้าหลงเหลืออยู่ ของสิ่งนั้นพอดีอยู่บนตัวคนที่ข้ากำลังตามหา”

สยงเทียนคุนยังส่ายศีรษะ ตอนตนเองและจินเฟยเหยามาที่นี่ สถานที่แห่งนี้ไม่มีคนอื่น ถ้าบอกว่าเป็นสตรี ก็มีเพียงเฟยเหยาผู้เดียว ทว่าเฟยเหยาใจดีและน่ารักขนาดนี้อย่างไรคงไม่ใช่สตรีชั่วร้ายที่เขาบรรยาย ท่าทางก่อนหน้านี้คงมีคนเคยอยู่ที่นี่

เขาครุ่นคิด เอ่ยอย่างมั่นใจ “ข้าเคยต่อสู้กับคนอื่นที่นี่จริง แต่ข้ามั่นใจว่าคนผู้นั้นไม่ใช่คนที่เจ้าเอ่ยถึง ถ้าที่นี่มีกลิ่นอายที่เจ้าว่าจริง เป็นไปได้ว่าก่อนที่พวกเรามานางคงเคยอยู่ที่นี่”

ไป๋เจี่ยนจู๋ขมวดคิ้ว มองสยงเทียนคุนที่มีสีหน้าสงบนิ่งดูไม่เหมือนกำลังพูดโกหก จึงได้แต่ถามว่า “คนที่ต่อสู้กับสหายเซียนไปทิศทางใด”

“นางหนีไปทางนั้น” สยงเทียนคุนชี้คนละทางกับที่จินเฟยเหยาเดินไป ไม่ว่าเนื่องจากสาเหตุใด เขาก็ไม่อยากให้คนผู้นี้พบจินเฟยเหยา

“ขอบคุณ” ไป๋เจี่ยนจู๋กล่าวขอบคุณ เหยียบบนหมื่นลูกข่างแล้วบินไปทางด้านนั้น

มิใช่ว่าเขาโง่เขลา ผู้อื่นชี้เส้นทางมั่วซั่วเขาก็ไป เพียงแต่ไม่รู้สึกถึงกลิ่นอายป้ายลึกลับชั่วคราว อยู่ว่างๆ จึงลองไปทางด้านนี้ดู ไม่แน่ว่าอาจจะพบตัวก็เป็นได้

สยงเทียนคุนเห็นไป๋เจี่ยนจู๋จากไป พลังกดดันบนร่างก็ได้รับการปลดปล่อย ในที่สุดก็โล่งอกเสียที เขาในยามนี้แค้นที่ตนเองอ่อนแอเกินไป บุรุษของหอชิงซวีผู้นี้มีพลังการบำเพ็ญเพียรขั้นเดียวกันคิดไม่ถึงว่าจะใช้พลังกดดันบีบคั้นจนเขาลมปราณติดขัด พลังการบำเพ็ญเพียรขั้นเดียวกันทว่ามีสิทธิอะไรที่ความแข็งแกร่งกลับแตกต่างกันมากขนาดนี้ ทำให้สยงเทียนคุนรู้สึกได้ถึงวิกฤติใหญ่

“ข้าอ่อนแอเกินไปจริงๆ” สยงเทียนคุนเอ่ยกับตนเอง

เขาไม่คิดจะไปตามหาบรรดาศิษย์พี่ หญ้าวิญญาณในดินแดนลึกลับลั่วเซียนมีมากมาย ในเมื่อมาแล้วก็เก็บกลับไปสักหน่อย หญ้าวิญญาณเหล่านี้ข้างนอกหาซื้อยากและมีประโยชน์อย่างยิ่งในการหลอมยาหลังสร้างฐาน จะมาเสียเที่ยวไม่ได้ นึกถึงแผนที่ซึ่งทำสัญลักษณ์สถานที่ซึ่งมีหญ้าวิญญาณเจริญเติบโตอยู่จำนวนไม่น้อยที่ทางสำนักมอบให้ เขาหาสถานที่ที่ใกล้ที่สุดแห่งหนึ่ง คิดจะไปรักษาบาดแผลใกล้ๆ บริเวณนั้นก่อนจากนั้นค่อยเตรียมชิงเด็ดหญ้าวิญญาณ

จินเฟยเหยาไม่รู้ว่าไป๋เจี่ยนจู๋กำลังตามหานาง นางหาถ้ำซ่อนตัวอย่างปลอดโปร่งตั้งอกตั้งใจรักษาบาดแผล กระบี่ดอกจวี๋สังหารของวิเศษของสยงเทียนคุนเป็นของดีจริงๆ ตรงท้องที่ถูกแทงเป็นแผลนางต้องใช้เวลาหลายวันจึงปิดปากแผลได้สนิท ฉากหน้าดูเหมือนไม่เป็นไรที่จริงขยับตัวนิดเดียวก็เจ็บอย่างยิ่ง

“เจ้าหมอนี่ ไม่มีเรื่องก็ก่อเรื่อง ไปเก็บหญ้าวิญญาณกันสองคนดีจะตาย ข้าไม่มีแผนที่ตอนนี้อยู่ที่ไหนก็ยังไม่รู้ แล้วยังจะเก็บอะไรอีก” จินเฟยเหยาเดินพึมพำออกมาจากถ้ำที่ซ่อนตัว คิดจะเดินเช่นนี้ไปตลอดทาง พบเห็นสิ่งใดก็เก็บสิ่งนั้น ไม่อาจกลับไปมือเปล่าได้ อย่างน้อยที่สุดก็ต้องหาของที่ระลึกว่าตนเองเคยมาที่นี่

นางเพิ่งเดินออกมาจากในป่า เก็บผลไม้ป่าไม่ทราบชื่อหลายผลกิน ก็เห็นบนท้องนภามีเงาสีเขียวสายหนึ่งบินผ่าน นางรู้ดีว่ามีผู้บำเพ็ญเซียนจำนวนมากเข้ามาในดินแดนลึกลับ ไม่ทราบแน่ชัดว่ามากเพียงใด ทว่าเพิ่งเริ่มได้ไม่กี่วัน ก็ไม่มีใครรอไม่ไหวชิงฆ่าคนปล้นของก่อน ดังนั้นต่อให้มองเห็นผู้บำเพ็ญเซียนรอบด้าน ขอเพียงไม่มีความคิดจะช่วงชิงสิ่งของของผู้อื่น ปกติจะไม่ต่อสู้กัน

จินเฟยเหยายังคิดว่าผู้บำเพ็ญเซียนคนนี้อาจจะเป็นผู้บำเพ็ญเซียนอิสระ คนที่มีสำนักล้วนต้องเคลื่อนไหวเป็นกลุ่ม อยู่คนเดียวเช่นนี้ปกติเป็นผู้บำเพ็ญเซียนอิสระที่อยู่โดดเดี่ยวหรือผู้บำเพ็ญเซียนที่ไม่รวมกลุ่ม ทันใดนั้น นางก็เห็นแสงสีเขียวสายนี้ย้อนกลับมาอีกทั้งยังดูเหมือนจะพุ่งมาหานาง

หรือว่าคนผู้นี้ยากจนจนบ้าไปแล้ว เพิ่งไม่กี่วันก็คิดจะมาปล้นชิง ในขณะที่จินเฟยเหยางุนงง คนผู้นี้ก็หยุดอยู่กลางอากาศเบื้องหน้า มองจินเฟยเหยาบนพื้นอย่างสงบนิ่ง

จินเฟยเหยาเห็นเครื่องแต่งกายและลักษณะของคนผู้นี้ชัดเจนหัวใจก็กระเด้งมาถึงคอหอย เหตุใดจึงเป็นไป๋เจี่ยนจู๋อีกแล้ว เหตุใดคนผู้นี้จึงเหมือนวิญญาณแค้นที่ไม่สลายหายไป ตามข้ามาทำไม

จินเฟยเหยาไม่คิดจะยั่วโทสะเขา จึงพยักหน้าให้เขา ประสานมือคารวะแสดงความเป็นมิตร จากนั้นก็หมุนตัวอย่างว่องไวเดินเข้าไปในป่าใหม่อีกครั้ง นางยังคิดว่าความเคลื่อนไหวของตนเองรัดกุมไม่น่าจะถูกเขามองออก

“ยาสร้างฐานสองเม็ดของข้าอร่อยหรือไม่? คิดไม่ถึงว่าเจ้าเพิ่งบรรลุขั้นสร้างฐานก็ถือป้ายลึกลับของข้าเข้ามาในดินแดนลึกลับลั่วเซียน มีความกล้าไม่เบาจริงๆ”

ไป๋เจี่ยนจู๋ที่อยู่กลางอากาศพลันเอ่ยวาจา เนื้อหาทำให้จินเฟยเหยาหวาดกลัวจนอยากจะหลบหนี

จินเฟยเหยาสูดลมหายใจลึกๆ สงบสติอารมณ์ ค่อยๆ หมุนตัวมาช้าๆ เอ่ยด้วยสีหน้าประหลาดใจ “ไม่ทราบว่าสหายเซียนท่านนี้พูดเรื่องอะไร เหตุใดข้าจึงฟังไม่เข้าใจ เจ้าจำคนผิดหรือไม่”

ไป๋เจี่ยนจู๋มองจินเฟยเหยาเสแสร้ง ก็หัวเราะอย่างเย็นชา “เจ้าไม่ต้องเสแสร้งแล้ว เจ้านั่นแหละ หลายปีก่อนใช้ก้อนหินขว้างทำร้ายข้าบาดเจ็บในภูเขามังกรดำจากนั้นก็แย่งชิงสิ่งของของข้าไป ในกระเป๋าเก็บของที่เจ้าเอาไปมีป้ายคำสั่งของหอชิงซวี เจ้าคงไม่ลืมนะ”

ข้าไม่เชื่อว่าเจ้าจะลืมลง ตอนที่เจ้านั่งบนก้อนหินค้นกระเป๋าเก็บของของข้าอย่างยินดี พอเห็นป้ายคำสั่งของหอชิงซวีก็ทำให้เจ้าหวาดกลัวจนรีบหนีไป ไม่เช่นนั้นข้าฟื้นขึ้นมาคงจะฆ่าเจ้าให้ตายคาที่ จะยอมให้เจ้ามีชีวิตมาจนบรรลุขั้นสร้างฐานหรือ เห็นจินเฟยเหยาหลบเลี่ยงไป๋เจี่ยนจู๋พลันอารมณ์ดี ในใจรู้สึกยินดี ในที่สุดก็สามารถล้างอายที่ฝังอยู่ในใจมาหลายปีได้

“หอชิงซวี? ว้าว ที่เจ้าพูดถึงคือหอชิงซวีที่เป็นหนึ่งในตำหนักลั่วเซียน คิดไม่ถึงว่าข้าจะได้พบกับคนของหอชิงซวี เป็นเกียรติของข้าจริงๆ สหายเซียน พลังการบำเพ็ญเพียรของเจ้ากับข้าแตกต่างกันลิบลับ ข้าจะใช้ก้อนหินขว้างเจ้าบาดเจ็บและแย่งชิงสิ่งของของเจ้าไปได้อย่างไร ถึงเจ้าจะมอบความกล้าให้ข้า ข้าก็ไม่มีความสามารถเช่นนั้นหรอก” จินเฟยเหยาสองตาเปล่งประกาย มองไป๋เจี่ยนจู๋ด้วยสีหน้านับถือ เหมือนบรรดาสาวน้อยที่เป็นผู้รับใช้ที่หลงรักเขาในลานประลองเป็นตายไม่มีผิด

ไป๋เจี่ยนจู๋มองท่าทางของนาง รู้สึกว่ามีโทสะขุมหนึ่งพลุ่งขึ้นมาในใจ ร่อนวูบลงบนพื้นดิน เอ่ยบริภาษนางอย่างเดือดดาล “เจ้าไม่ต้องเสแสร้งแล้ว ตอนนั้นข้าได้รับบาดเจ็บหนัก เจ้าก็ฉวยโอกาสที่คนตกที่นั่งลำบากใช้ก้อนหินขว้างข้าสองครั้ง อีกทั้งป้ายลึกลับของข้าก็อยู่ในกระเป๋าเก็บของของเจ้า เจ้านึกว่าข้าหาเจ้าพบได้อย่างไรล่ะ ก็อาศัยสัญลักษณ์ที่ข้าทำไว้บนป้ายลึกลับตอนเบื่อๆ นี่แหละ”

“อะไรนะ!” จินเฟยเหยาสีหน้าเปลี่ยนคิดไม่ถึงว่าจะเป็นป้ายลึกลับ รู้แต่แรกข้าน่าจะโยนเจ้าสิ่งนี้ทิ้งไปนานแล้ว ไม่เช่นนั้นพอออกจากการกักตนก็คงไม่ถูกพามาที่นี่หรอก ทั้งยังส่งมาหารับความตายจากผู้อื่นถึงที่

“ในที่สุดเจ้าก็ยอมรับ ครั้งนี้ข้าจะดูสิว่าเจ้าจะพูดตลบตะแลงอย่างไร ไม่เคยเห็นสตรีที่ละโมบและไร้ยางอายอย่างเจ้ามาก่อน เหตุใดโลกหนานซานจึงมีเศษสวะอย่างเจ้าได้ เป็นความอับอายของผู้บำเพ็ญเซียนจริงๆ คนอย่างเจ้าสมควรถูกกำจัด” เห็นสีหน้าของจินเฟยเหยาเปลี่ยนแปลง ทั้งยังค้นหาป้ายลึกลับชิ้นนั้นในกระเป๋าเก็บของ ในใจไป๋เจี่ยนจู๋ปลอดโปร่งยิ่ง ด่าทอจินเฟยเหยายกใหญ่ผิดจากภาพลักษณ์ในอดีตอย่างหาได้ยาก

จินเฟยเหยาถือป้ายลึกลับลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ถ้าพกป้ายนี้ก็ต้องถูกไป๋เจี่ยนจู๋ตามล่าสังหารตลอด ถ้าโยนป้ายนี้ทิ้ง ตนเองจะออกไปอย่างไร แต่ไม่เคยได้ยินมาก่อนว่ามีคนสามารถอยู่ในดินแดนลึกลับลั่วเซียนได้ ได้ยินไป๋เจี่ยนจู๋ด่าทอตนเองอย่างเดือดดาล ในที่สุดนางก็ทนไม่ไหวลูบคลำจมูกเอ่ยว่า “เจ้าก็ใจแคบเกินไป เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ ต้องดำเนินการล่าสังหารข้าตั้งหลายปีด้วยหรือ? อีกทั้งตอนนี้ข้าก็เป็นคนของตำหนักลั่วเซียน ข้าเป็นผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานของสำนักเฉวียนเซียน เจ้าฆ่าข้าไม่ได้หรอก”

“สำนักเฉวียนเซียน? คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะเป็นคนของสำนักเฉวียนเซียน ข้ามอบหมายภารกิจในสำนักเฉวียนเซียนให้ตามหาเจ้า คิดไม่ถึงว่าจะไม่มีใครพบเจ้า” ได้ยินจินเฟยเหยาประกาศตนเป็นคนของสำนักเฉวียนเซียน ไป๋เจี่ยนจู๋ก็ไม่เข้าใจทันที หรือว่าสำนักเฉวียนเซียนมีคนมากมายถึงขั้นนี้ แต่ละคนล้วนเห็นภารกิจแต่กลับไม่รู้ว่าคนซ่อนอยู่ใกล้ๆ?

ได้ยินเขาเอ่ยถึงภารกิจ จินเฟยเหยาอยากจะหัวเราะ “เจ้าหมายถึงภารกิจที่หอชิงซวีมอบหมาย คนในประกาศหน้าบวมจนเหมือนหัวสุกร ผู้ใดจะจำได้เล่า”

“เหมือนหรือไม่เหมือนหัวสุกรก็ไม่เป็นไร อย่างไรเสียข้าก็หาเจ้าพบแล้ว” ไป๋เจี่ยนจู๋ยกมือขวาขึ้น มีไผ่เขียวหยาบเท่านิ้วมือปรากฏขึ้นในมือ ผอมบางและมีสีเขียวมรกต มีใบไผ่ที่มีชีวิตชีวาอยู่บนนั้นราวกับเพิ่งหักลงมาจากบนต้น

จินเฟยเหยาถอยหลังไปก้าวหนึ่งตะโกนใส่เขา “เหตุใดคนของหอชิงซวีจึงสังหารคนไปทั่ว ข้าก็บอกแล้ว ว่าข้าเป็นคนของสำนักเฉวียนเซียน อย่างมาก อย่างมากข้าจะคืนสิ่งของให้เจ้า ตอนนั้นเจ้าเป็นผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐาน ข้าเพิ่งเป็นผู้บำเพ็ญเซียนขั้นฝึกปราณ เหตุใดเจ้าจึงใจแคบยิ่งนัก ต้องล่าสังหารข้าซึ่งเป็นผู้เยาว์รุ่นหลังในตอนนั้นให้ได้ เจ้าเป็นผู้บำเพ็ญเซียนของหอชิงซวีประสาอะไร ช่างคิดเล็กคิดน้อย”