ตอนที่ 88 ไม่ได้ทำอะไรที่ต้องละอายแก่ใจตนเอง

แม่สาวเข็มเงิน

ตอนที่ 88 ไม่ได้ทำอะไรที่ต้องละอายแก่ใจตนเอง

เจียงป่าวชิงหลุบสายตาลง

ยาที่แช่เข็มเหล่านั้นไม่มีพิษอย่างแน่นอน แต่สามารถกระตุ้นความเจ็บปวดของมนุษย์ได้เป็นอย่างดี

คุณสมบัติยาจะค้างอยู่ในจุดฝังเข็มเป็นเวลานาน ถือว่าให้หานอิงฉีคนนี้ได้ลิ้มรสความรู้สึกของอาการกระดูกหักสักหน่อย

เจียงหยุนชานดึงเจียงป่าวชิงให้ห่างจากฝูงชน แต่รูปลักษณ์ของทั้งสองคนค่อนข้างดึงดูดสายตาผู้คนมากเกินไป จึงเห็นลูกกะจ๊อกของหานอิงฉีชี้มาที่เจียงป่าวชิงกับเจียงหยุนชานพร้อมกับก่นด่า “ตอนนั้นไอ้ขอทานสองคนนั้นก็อยู่ในเหตุการณ์เช่นกัน พวกมันจะต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้แน่นอน”

จากนั้น เจ้าหน้าที่ก็เดินเข้ามาอย่างโหดเหี้ยมเพื่อจะเข้ามาจับพวกเขา

เจียงป่าวชิงกับเจียงหยุนชานไม่มีอะไรต้องหลบ  เจียงหยุนชานจับมือเจียงป่าวชิงไว้ “ไม่ต้องห่วง เราไม่ได้ทำอะไรที่ต้องละอายแก่ใจตนเอง”

เจียงป่าวชิงที่เป็นตัวการก่อเรื่องพยักหน้า “ใช่เจ้าค่ะ เราไม่ได้ทำอะไร”

นางก็ไม่ได้ทำอะไรจริง ๆ เพียงแค่ให้ไอ้เดนมนุษย์ที่รังแกพี่ชายของนางได้ลิ้มรสความเจ็บปวดที่เขาได้รับ มีอะไรให้ต้องละอายใจด้วยล่ะ ?

เจียงป่าวชิงกับเจียงหยุนชานเดินเข้าไปหาเจ้าหน้าที่ด้วยท่าทางไม่ลุกลี้ลุกลน  เจ้าหน้าที่พาทั้งสองคนเข้าไปในวงล้อม ในขณะนี้ ในวงล้อมถือได้ว่าถูกล้างสถานที่จนสะอาดเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และไม่มีคนอื่นเหลืออยู่แล้ว

หานอิงฉีจับแขนตัวเองไว้แน่น ตาก็มองเจียงหยุนชานกับเจียงป่าวชิงอย่างโหดเหี้ยมไปด้วย “ใช่! ข้านึกออกแล้ว ข้าแค่สัมผัสพวกมันสองคนเบา ๆ จากนั้นแขนของข้าก็กลายเป็นเช่นนี้ จะต้องเป็นฝีมือของพวกมันแน่ ๆ! รีบไปจับพวกมันมาให้ข้า” ประโยคหลังนี่ เขาหันไปพูดกับพวกเจ้าหน้าที่ที่อยู่ ณ ที่แห่งนั้น

ฟึ่บ!

เจ้าหน้าที่เกือบทุกคนชักมีดออกมาจากเอวทันทีและจ่อปลายมีดไปที่เจียงป่าวชิงกับเจียงหยุนชาน

“น้องสาวข้านั้นเป็นเพียงเด็กผู้หญิงที่อ่อนแอ นางจะมีความสามารถในการทำเรื่องเช่นนั้นได้อย่างไร ?” เจียงหยุนชานออกแรงยกแขนซ้ายของตัวเองขึ้นสูง “ส่วนข้า… คุณชายหาน หากว่าข้ามีความสามารถนั้น เหตุใดข้าถึงถูกเจ้าต่อยจนแขนหักเช่นนี้เล่า ?”

เจียงหยุนชานตัดสินใจลาออกจากโรงเรียนแล้ว เขาจึงไม่จำเป็นที่จะต้องอดกลั้นไม่ต่อปากต่อคำกับหานอิงฉีอีกต่อไป

หานอิงฉีทรมานเพราะความเจ็บปวดอย่างรุนแรงที่แขน เขาจึงไม่มีเวลาคิดอะไรมากมายนัก เขาหอบหายใจและพูดด้วยใบหน้าที่บูดบึ้ง “ต่อให้ไม่ใช่พวกเจ้า ไอ้ขอทานอย่างพวกเจ้าก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้อยู่ดี!   เจ้าหน้าที่! พวกเจ้ามัวยืนงงอะไรอยู่! รีบไปจับพวกมันมาเฆี่ยนประเดี๋ยวนี้!”

คนที่เป็นผู้นำคือหัวหน้าสายตรวจที่หน่วยงานราชการในอำเภอ เขาลังเลอยู่เล็กน้อย “คุณชายหาน ถ้าหากว่าไม่มีหลักฐาน…”

หัวหน้าสายตรวจยังพูดไม่ทันจบ หานอิงฉีก็หยิบก้อนหินที่อยู่ข้างตัวเขาและปาใส่หัวหน้าสายตรวจ จากนั้นก็ก่นด่ายกใหญ่ “เจ้าจะพูดไร้สาระอะไรกันนักหนา! ข้าสั่งให้พวกเจ้าจับพวกเจ้าก็จับเซ่! หลักฐานบ้าบออะไรเล่า คำพูดของข้าเป็นหลักฐานที่ใหญ่ที่สุด จำไว้!”

หัวหน้าสายตรวจหลบไม่ทันจึงทำให้ก้อนหินกระทุ้งใส่ตัวเขาอย่างแรง เสื้อผ้าบาง ๆ ในฤดูร้อนไม่สามารถต้านแรงจากก้อนหินนี้ได้  หัวหน้าสายตรวจส่งเสียงไม่พอใจเล็กน้อย เขาไม่กล้าขัดคำพูดของหานอิงฉีอีก

หานอิงฉียังคงร้องเอะอะอยู่ตรงนั้น “ตัดแขนพวกมันให้ข้าก่อน! ไม่อย่างนั้นข้าจะไปฟ้องพี่สาวข้าและให้พี่เขยของข้าถอนยศของพวกเจ้าซะ!”

“โอ้! คำพูดของคุณชายหานช่างใหญ่คับฟ้าจริง ๆ” จู่ ๆ เสียงที่ผสมไปด้วยความเยาะเย้ยก็ดังขึ้น “ถึงแม้ว่าพวกเขาจะเป็นเพียงนักการในศาลว่าการ แต่ถึงอย่างไรพวกเขาก็ได้รับเบี้ยของประเทศ คุณชายหานบอกจะถอนยศพวกเขาก็คือถอนได้เลย ช่างหน้าเกรงขามเสียเหลือเกิน”

เมื่อเจียงป่าวชิงได้ยินเสียงนั้น ในใจของนางก็เหมือนมีอะไรมากระทบกันอย่างรุนแรงทันที

ราวกับฝูงชนมีพลังอย่างไรอย่างนั้น พวกเขาค่อย ๆ หลีกทางให้คนที่พูดอย่างช้า ๆ จากนั้นหลาย ๆ คนก็เห็นผู้ที่แต่งตัวเหมือนองครักษ์กำลังเข็นรถเข็นมาจากนอกโรงเรียน

บนรถเข็นเป็นชายหนุ่มในชุดจีน รูปโฉมของเขาทั้งสูงศักดิ์และหล่อเหลาเป็นอย่างยิ่ง  สีหน้าของเขาสงบนิ่งและผสมไปด้วยความเยาะหยันเล็กน้อย

องครักษ์เข็นรถเข็นเข้ามาในวงล้อม ไม่รู้ว่าตั้งใจหรือเปล่า แต่รถเข็นคันนั้นถึงได้มากั้นระหว่างสองพี่น้องกับหานอิงฉีอย่างพอดิบพอดี

ถึงแม้ว่าหานอิงฉีจะเจ็บจนแทบเสียสติไปแล้ว ทว่าเมื่อเขาเห็นการแต่งตัวของชายหนุ่มคนนั้น ในใจของเขาก็เหมือนมีอะไรมากระทบกัน จากประสบการณ์ที่ค่อนข้างยาวนานของเขา กลับไม่คิดว่าเขาจะจำไม่ได้ว่าชายหนุ่มใส่ชุดอะไร

อย่างไรก็ตาม หานอิงฉีเกิดความขลาดกลัวในใจอย่างน่าแปลกประหลาด

ทว่าเมื่อเขานึกได้ว่าตอนนี้เขาอยู่ที่อำเภอฉือเจีย ฟ้ากับดินจะใหญ่มากเพียงใดแต่ก็ใหญ่ไม่เท่าพี่เขยของเขา พี่สาวของเขาเป็นที่โปรดปรานเสียขนาดนั้น พี่เขยของเขาจึงเป็นกำลังสนับสนุนที่แข็งแกร่งที่สุดของเขา มีอะไรให้ต้องกลัวล่ะ ?

“ไอ้ง่อยมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร…?”

เพี๊ยะ!  เพี๊ยะ!

หานอิงฉียังไม่ทันก่นด่าจบ ก็ได้ยินเสียงตบหน้าดังกึกก้องถึงสองครั้ง

มีรอยฝ่ามือสีแดงปรากฏขึ้นบนใบหน้าของหานอิงฉี ดูก็รู้ว่าผู้ที่ลงมือตบแรงเยอะเพียงใด ทว่าไม่มีใครเห็นว่าหานอิงฉีถูกตบอย่างไร

องครักษ์ที่ยืนอยู่ข้างชายหนุ่มบนรถเข็นสะบัดมือเล็กน้อย จากนั้นเขาก็พูดเตือน “หากให้ข้าได้ยินเจ้าพูดจาไม่สุภาพกับเจ้านายของข้าอีก ต่อไปมันจะไม่ใช่สิ่งที่สามารถแก้ไขได้ด้วยการตบหน้าเพียงแค่สองครั้ง”

ชายหนุ่มบนรถเข็นนั่งอยู่บนรถเข็นด้วยสีหน้านิ่ง ๆ แต่ให้ความรู้สึกเหมือนนั่งอยู่บนที่นั่งสูงในห้องโถงหรูหราอย่างไรอย่างนั้น

หานอิงฉีตกตะลึงเป็นอันดับแรก แต่จากนั้นเขาก็เดือดดาลต่อ

คนอย่างหานอิงฉี ตั้งแต่พี่สาวของเขาเป็นเมียน้อยของขุนนางฉือ เขาก็ไม่เคยได้รับความอัปยศอดสูเช่นนี้มาก่อน

หานอิงฉีตะโกนสั่งเหล่าเจ้าหน้าที่อย่างบ้าคลั่ง “พวกเจ้ายังยืนงงอะไรกันอยู่ ยังไม่รีบไปตัดหัวมันอีก!”

ปลายมีดของเจ้าหน้าที่จ่อไปที่เจ้านายและผู้ที่แต่งตัวราวกับองครักษ์คู่นี้อีกครั้ง

ในใจของเจียงป่าวชิงเหมือนมีอะไรมากระทบกัน จากการที่ได้อยู่ด้วยกันมาหลายวัน ถึงแม้ว่าเจียงป่าวชิงจะไม่รู้เกี่ยวกับภูมิหลังของกงจี้ นางก็รู้ดีว่ากระบี่และมีดของเขาไม่มีตา นอกจากนี้ กงจี้ยังเดินไม่ได้ ถ้าหากว่า…

เจียงป่าวชิงเดินมาขวางหน้ากงจี้ จากนั้นนางก็พูดเพื่อให้เขาเสียขวัญ “ข้าขอเตือนพวกเจ้าว่าอย่าวู่วามเลย ไม่อย่างนั้นผลที่ตามมาจะไม่ใช่สิ่งที่พวกเจ้าจะแบกรับไว้ได้”

กงจี้มองเด็กผู้หญิงที่ขวางอยู่ตรงหน้าเขา สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปทันที การเย้าหยอกบนใบหน้าไม่เหลือให้เห็นแล้ว แทนที่ด้วยความประหลาดใจเล็กน้อยซึ่งทำให้สีหน้าของเขาดูแปลกไป

“หลีกไป” กงจี้พูดเสียงแข็ง

เจียงป่าวชิงหมุนตัว สีหน้าของนางเจือความร้อนรน นางพูดขึ้นเสียงเบา “ เป็นเรื่องยากที่ผู้มีอำนาจจะรับมือกับผู้มีอิทธิพลท้องถิ่น คุณชายกง เจ้าคิดทบทวนให้ดี ๆ”

กงจี้ยกยิ้มมุมปากอย่างเย้ยหยัน เขาวางข้อศอกไว้บนที่วางแขนของรถเข็นและโบกมือไล่เจียงป่าวชิง “เจ้าหลีกไปได้แล้ว พวกเขาทำอะไรข้าไม่ได้หรอก”

ไม่รู้ทำไม เมื่อเจียงป่าวชิงเห็นท่าทีไม่สนใจของกงจี้ จู่ ๆ นางถึงได้รู้สึกโกรธขึ้นมาเสียดื้อ ๆ นางไม่กลัวว่ามันจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ เลวร้ายที่สุดคือนางยังมีไม้เด็ดในการฝังเข็ม และที่แย่ที่สุดคือนางกับพี่ชายอาจจะต้องลี้ภัยไปสุดขอบฟ้า

เวลานี้กงจี้อาฆาตอย่างที่สุด เรื่องราวจึงบานปลายไปกันใหญ่ ต่อให้ไป๋จีจะเก่งกล้าขนาดไหน แต่เขาตัวคนเดียว หากว่าคนอื่นทำให้เขาได้รับบาดเจ็บล่ะจะทำอย่างไร

เจียงป่าวชิงจ้องกงจี้เขม็ง และตอนนี้เองกงจี้ก็รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาบ้างแล้ว “เจียงป่าวชิง หลีกไป”

เจียงป่าวชิงรู้สึกโมโหกับท่าทางของกงจี้

เจียงหยุนชานรีบดึงเจียงป่าวชิงออกมาด้านข้างและถามเสียงเบา “ป่าวชิง เจ้ารู้จักพวกเขาสองคนรึ ?”

เจียงป่าวชิงยังคงโมโห “ข้าไม่รู้จัก”

กงจี้แค่นเสียงออกมาอย่างเย็นชา ขณะที่ไป๋จีพูดขึ้น “แม่นางเจียง นายท่านของข้าเป็นห่วงความปลอดภัยของเจ้านะ…”

“ไป๋จี!” กงจี้ตวาดเสียงแข็ง ทำให้ไป๋จีรีบปิดปากทันที จากนั้นก็ก้มหน้าและแสร้งทำเป็นว่าไม่เคยพูดอะไร

หานอิงฉีตะโกนเสียงดัง: “ ข้าไม่สนว่าพวกเจ้าเป็นใคร! เจ้าหน้าที่ จับตัวพวกมันแล้วพาไปขังไว้ในคุกใหญ่ และลงโทษทัณฑ์พวกมันซะ!”

เจ้าหน้าที่เดินเข้าประชิดหนึ่งก้าว

กงจี้นั่งนิ่งอยู่บนรถเข็น เขาส่งเสียงหัวเราะเล็กน้อย จากนั้นก็พูดขึ้นอย่างเชื่องช้า “ไปเรียกขุนนางอำเภอของพวกเจ้ามา ข้าจะรอดูว่าขุนนางอำเภอคนนั้นจะน่าเกรงขามสักแค่ไหน”

ท่าทางอย่างผู้ที่อยู่เหนือกว่าเช่นนี้ ทำให้หัวหน้าสายตรวจที่เคยชินกับการมองผู้คนรู้สึกขาอ่อนแรงอยู่เล็กน้อย